คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 242 สำนักฉีเทียนที่เย็นชา
ศิษย์เฝ้ายามของสำนักฉีเทียนถูกจินเฟยเหยาพามาที่นี่อย่างกะทันหัน เบื้องหน้าทั้งหมดเป็นผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่ที่ปกติไม่ได้เห็นเลย ทำให้เขาหวาดกลัวจนขนาดพูดยังพูดไม่ออก
เขาถูกจินเฟยเหยาใช้ศอกกระทุ้งอย่างแรง เจ็บจนแยกเขี้ยว จึงเอ่ยอย่างหวาดกลัว “ผู้…ผู้อาวุโสทุกท่าน นี่คือคนของสำนักตงอวี้หวง อาจารย์ลุงผู้ดูแลเคยกำชับพวกเราไว้ บอกว่ามีคนของสำนักตงอวี้หวงจะมาโดยสารเรือ ตรวจ…ตรวจสอบแล้ว”
ชายชราที่มีลักษณะเทพเซียนคนหนึ่งในนั้นมองจินเฟยเหยาหลายครั้ง ราวกับไม่พอใจที่นางมาสาย เอ่ยถามอย่างเข้มงวด “เหตุใดเจ้าจึงเพิ่งมาตอนนี้ สำนักตงอวี้หวงส่งคนไม่ตรงต่อเวลามาหรือ!”
จินเฟยเหยาแลบลิ้นในใจ เอ่ยพร้อมยิ้มประจบ “อาจารย์ลุงอาจารย์อาโปรดอภัยให้ด้วย ระหว่างทางเกิดเรื่องขึ้น มีผู้บำเพ็ญเซียนอิสระหลายคนกำลังปล้นชิงผู้บำเพ็ญเซียนระดับต่ำ ข้าบังเอิญผ่านมา จะเห็นการตายโดยไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร ดังนั้นจึงมาสาย”
ได้ยินคำพูดของนางสีหน้าของผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้จึงอ่อนโยนขึ้นหน่อย “ในเมื่อเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ยังพอสามารถอภัยให้ได้ เจ้ารีบขึ้นเรือเถอะ เรือเหาะกำลังจะออกเดินทางแล้ว”
“ขอบคุณอาจารย์อาอาจารย์ลุง ศิษย์ขอตัวก่อน” จินเฟยเหยาปล่อยศิษย์เฝ้ายามคนนั้น คารวะผู้อาวุโสของสำนักฉีเทียนสามท่าน แล้วรีบวิ่งเข้าประตูเรือเหาะที่กำลังจะบินขึ้น
จินเฟยเหยาเพิ่งก้าวเข้าไปในเรือ ประตูเรือก็ปิด จากนั้นมีศิษย์สำนักฉีเทียนซึ่งมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวมช่วงปลายอายุสามสิบกว่าปีคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง เอ่ยวาจาเย็นชากับนาง “ขอเชิญสหายเซียนทางนี้ ตามข้าไปที่ดาดฟ้าพบศิษย์พี่ศิษย์น้อง”
“ขอบคุณศิษย์พี่ ทำให้พวกท่านต้องรอแล้ว” ถึงแม้จินเฟยเหยาจะรู้สึกไม่พอใจเขาก็ยังยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
ทว่าผู้อื่นไม่ให้เกียรตินางสักนิด ยังเอ่ยอย่างเฉยชาดังเดิม “เจ้าไม่ต้องขอบคุณ ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่ได้คิดจะรอเจ้า”
“แบบนี้เอง เช่นนั้นข้าคงโชคดี ถือว่ามาทัน” หลังจินเฟยเหยาเอ่ยคำพูดนี้จบ ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นก็ไม่พูดกับนางอีก นำนางเดินขึ้นบันไดไม้ไปดาดฟ้า
เรือเหาะลำนี้เล็กมาก ยาวไม่ถึงหนึ่งร้อยจั้ง ยังขาดอีกหนึ่งจั้ง ในตัวเรือแบ่งเป็นสองชั้นใช้บันไดไม้เชื่อม ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ชั้นล่างสุด
ที่นี่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย เหมือนห้องเก็บสินค้าอย่างยิ่ง ถ้าเป็นเรือธรรมดาจินเฟยเหยายังเข้าใจได้ ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนคนใดบ้างไม่มีถุงเฉียนคุนที่สามารถบรรจุสิ่งของขนาดหลายสิบจั้งได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรือที่ยาวรวมทั้งหมดไม่ถึงร้อยจั้ง หรือว่าใช้สำหรับกองถุงเฉียนคุน
ถึงผู้บำเพ็ญเซียนสำนักฉีเทียนคนนี้จะไม่สนใจนาง จินเฟยเหยายังทำหน้าหนาเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ท่านนี้ นี่น่าจะเป็นห้องสินค้าสินะ แต่ไม่มีสิ่งของให้บรรจุ เพราะเหตุใดจึงว่างเปล่า?”
ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้มองนางอย่างดูแคลน ไม่ได้หยุดฝีเท้าลง ทว่าเอ่ยอย่างดูเบา “โลกระดับเทพมีสิ่งของบางอย่างที่เก็บไว้ในถุงเฉียนคุนไม่ได้ ย่อมต้องเว้นที่ไว้วาง”
“สิ่งของอะไรจึงใส่ถุงเฉียนคุนไม่ได้ บอกข้าหน่อยสิ” พอจินเฟยเหยาได้ยินก็รู้สึกสงสัย คิดไม่ถึงว่ายังมีสิ่งของที่ถุงเฉียนคุนใส่ไม่ได้ด้วย ถ้าเป็นพื้นที่มิติจะเก็บสิ่งของเหล่านี้ได้หรือไม่?
ไม่รู้ว่าจินเฟยเหยาเหยาพูดมากจนเขาไม่อยากสนใจหรือนี่คือความลับ ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้เพียงแค่มองดูนาง แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง “นี่เป็นความลับของสำนักฉีเทียน เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”
จินเฟยเหยาถูกปฏิเสธ ในใจด่าทอเขาหลายประโยคอย่างไม่พอใจ ต่อมานางก็ไม่พูดมากอีก เพียงติดตามด้านหลังเขาเงียบๆ
หลังขึ้นมาถึงชั้นสอง ในตัวเรือยังเป็นพื้นกระดานไม้ว่างเปล่า ไม่ได้กั้นเป็นห้อง มีเพียงโครงบันไดไม้สองสายอยู่ในตัวเรือ
อาจจะเป็นพื้นฐานว่าต้องพูดสักหน่อย ศิษย์พี่ผู้เย็นชาคนนี้พลันเอ่ยว่า “นี่คือสถานที่พักผ่อนของทุกคน ขณะผ่านชั้นเมฆดำทุกคนต้องอยู่ที่นี่ ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือไม่ได้”
เห็นห้องสินค้าอันว่างเปล่า จินเฟยเหยาก็เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ไม่มีอะไรเลยจะพักผ่อนได้อย่างไร ให้บุรุษสตรีพักรวมกันหรือ?”
“ผู้บำเพ็ญเซียนไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันมาก เจ้าไม่ได้มาเสพสุขเสียหน่อย ถ้ารังเกียจพื้นกระดานแข็งๆ ก็พกเบาะกลมมาเอง ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีอย่างพวกเจ้า ปกติก็ทนความลำบากไม่ได้ ไม่รู้ว่าสำนักตงอวี้หวงให้เจ้ามาทำอะไรที่โลกระดับเทพ” เห็นได้ชัดว่าผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ไม่พอใจจินเฟยเหยาอย่างยิ่ง จัดให้นางอยู่ในคนประเภทถูกตามใจจนเคยตัวทันที
นางเหล่มองเขาพลางเอ่ยว่า “ข้ามาทำอะไรที่โลกระดับเทพก็เป็นความลับของสำนักตงอวี้หวง ท่านไม่จำเป็นต้องรู้”
“ฮึ” ทั้งสองคนส่งเสียงฮึพร้อมกัน มองเมินอีกฝ่ายแล้วเดินขึ้นบันไดมาถึงดาดฟ้า
เพิ่งเหยียบดาดฟ้า สายลมคลั่งก็พัดมาทำให้ดวงตาลืมไม่ขึ้น จินเฟยเหยารีบกางม่านแสงกั้นลมไว้ จากนั้นพอมองไปรอบด้านก็ตะลึงงัน
เรือเหาะลำนี้หยาบจริงๆ ไม่มีตึก มีเพียงห้องเล็กแคบห้องเดียวด้านหลังดาดฟ้า บนดาดฟ้าเรือมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมสิบห้าสิบหกคนยืนอยู่ มีทั้งหมดตั้งแต่ขั้นหลอมรวมช่วงต้นถึงขั้นหลอมรวมช่วงปลาย แต่ละคนล้วนกางม่านแสง และทุกคนเป็นบุรุษ
ไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีจินเฟยเหยาเข้าใจได้ แต่สิ่งที่ทำให้นางไม่เข้าใจคือ เพราะเหตุใดบนดาดฟ้าจึงมีสถานที่สีดำสนิทมากมายขนาดนี้ราวกับเคยถูกอะไรเผา ทำให้เรือเหาะทั้งลำแลดูเก่าและโทรม ไม่รู้ว่าเรือที่ต้องจ่ายหนึ่งแสนศิลาวิญญาณชั้นกลางจึงสามารถโดยสารได้ที่เมืองวั่นเซียนสุ่ยจะเป็นเช่นไร เก็บเงินแพงขนาดนั้น ต้องดีกว่าเรือลำนี้มากแน่ เรือเหาะลำนี้ทำให้คนสะท้านขวัญจริงๆ
“ทุกท่าน นี่คือคนของสำนักตงอวี้หวงที่จะโดยสารเรือ” ลมแรงมาก โชคดีที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมใช้พลังวิญญาณเอ่ยวาจา ลมแรงขนาดนี้ยังสามารถถ่ายทอดถึงหูทุกคนได้
เพียงแต่คนเหล่านี้เย็นชาเกินไป ทุกคนเพียงแค่มองจินเฟยเหยาแวบหนึ่ง แล้วต่างคนต่างยุ่งเรื่องของตนเองต่อ ไม่สนใจจินเฟยเหยาเลยสักนิด เสียทีที่นางแสดงใบหน้ายิ้มแย้มคิดจะมอบสีหน้าดีๆ ให้กับคนเหล่านี้ คิดไม่ถึงว่าจะเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ[1]
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมของสำนักฉีเทียนทุกคนเคยถูกสตรีหลอกใช่หรือไม่ ถึงไปโลกระดับเทพครั้งนี้จะให้พวกเขาไปขุดศิลาวิญญาณ แต่สิ่งที่ขุดคือศิลาวิญญาณชั้นกลาง ทำไมต้องตีหน้าเคร่งขรึมกันหมด ไม่ได้ไปงานศพท่านพ่อเสียหน่อย ท่าทางเย็นชาขนาดนี้ทำให้จินเฟยเหยาไม่สบายใจ จึงสาปแช่งพวกเขาทั้งหมดในใจรอบหนึ่ง
อีกทั้งสำนักเทียนฉีทำอะไร คิดไม่ถึงว่าบนเรือเหาะจะไม่มีแม้แต่ม่านกันลม ต้องตากลมโล้นๆ กันแบบนี้
จินเฟยเหยาคงม่านแสงไว้แล้วเดินมาข้างลำเรือ พอมองลงไป ยอดเขาหลิงชางของสำนักฉีเทียนหายลับไปนานแล้ว เรือเหาะลำนี้เหาะได้รวดเร็วยิ่ง ทิวทัศน์ด้านล่างถอยหลังไปอย่างรวดเร็วราวกับสายน้ำไหล จินเฟยเหยามองอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกเบื่อหน่าย ทั้งยังไม่มีใครสนใจนาง นั่งเรือเหาะที่บรรยากาศอึมครึมแบบนี้ ติดกับดักของฉือชางเจินเหรินจริงๆ
จินเฟยเหยาครุ่นคิด แล้วลงไปยังห้องสินค้า ยืนอยู่ด้านบนมองใบหน้าแข็งทื่อเหมือนซากศพของคนสิบกว่าคน มิสู้นั่งที่นี่ดีกว่า ถึงจะไม่มีอะไรเลยทว่าอย่างน้อยก็ไม่มีคน
เพียงแต่ ใครขับเรือลำนี้?
ในเมื่อมาแล้วก็อยู่ไปและทำให้ดีที่สุด จินเฟยเหยานั่งขัดสมาธิบนพื้น ค้นเบาะกลมซึ่งเย็บด้วยมุกล้ำค่าที่ทำในเมืองลั่วเซียนออกมาจากของจิปาถะในถุงเฉียนคุน ตั้งกี่ปีมาแล้ว ดูเหมือนเคยใช้ไม่กี่ครั้ง
เหลียวซ้ายแลขวาเล็กน้อย น่าเบื่อสุดขีดจริงๆ อีกทั้งขณะที่นางเหยียบเข้าห้องสินค้าก็ใช้เวทแปลงโฉมเปลี่ยนบนใบหน้านิดหน่อย คนของหอฉีเทียนน่าจะจำตนเองไม่ได้ ถ้ามีคนค้นหาตนเองร้อยปีเพื่อเรื่องเล็กน้อยก็โง่งมเกินไป
จินเฟยเหยานำพั่งจื่อและต้านิวออกมาจากถุงสัตว์ภูติ ตอนนี้มีต้านิวควบคุมดูแลพั่งจื่อ ลดเรื่องยุ่งยากไปได้มากจริงๆ
“ต้านิว จุดไฟดูหน่อยว่ามีอะไรกินบ้าง ทำมาฆ่าเวลา ข้าจะนอนสักครู่ ทำเสร็จแล้วค่อยเรียกข้า” จินเฟยเหยาหาว ใช้เบาะกลมเป็นหมอนหนุนแล้วลงนอนตะแคง
เนื่องจากตอนนี้นางกินตานสัตว์ปิศาจ ดังนั้นอาหารส่วนมากล้วนใส่ไว้ในถุงเฉียนคุนใบหนึ่งและห้อยไว้บนคอของต้านิว พวกมันอยากกินอาหารก็ทำกันเอง ถ้าจินเฟยเหยาอารมณ์ดีก็นั่งกินด้วย ถ้าอารมณ์ไม่ดีไม่อยากอาหารก็คร้านจะกิน แต่นางแทบไม่เคยอารมณ์ไม่ดีเลย
ไม่รู้ว่าต้านิวทำอะไร แขวนหม้อที่ทำขึ้นโดยเฉพาะไว้ ก่อนหน้านี้จินเฟยเหยาอยู่ว่างๆ จึงทำหม้อขึ้นใบหนึ่งเพื่อให้สะดวกในการทำอาหาร เตาและหม้ออยู่ในร่างเดียวกัน ด้านบนเป็นหม้อ ด้านล่างมีขาตั้ง จากนั้นก็เป็นร่องลึกลงไป ด้านบนใส่ของกิน ด้านล่างเผาพวกฟืน สะดวกเป็นพิเศษ อีกทั้งหม้อใหญ่มากไม่แตกต่างจากอ่างอาบน้ำ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้กลิ่นเปรี้ยวเผ็ดนิดๆ จินเฟยเหยาลุกขึ้นนั่งทันที พอมองดูในหม้อ “เอ๋? กลิ่นประหลาด ดมแล้วเหมือนเปรี้ยวมาก ทว่ากลับสดชื่น น้ำลายไหลออกมาแล้ว”
ในหม้อมีผลไม้เปรี้ยวที่ถูกหั่นเป็นสิบกว่าชิ้นกำลังเดือดขึ้นลงอยู่ในน้ำแกง ผักป่ากองหนึ่งที่ไม่รู้ว่าต้านิวไปเด็ดมาจากที่ใดโยนลงในหม้อผสมปนเปกัน ที่จริงผักป่าเหล่านี้เป็นพวกใบและก้าน จินเฟยเหยาไม่เคยเห็นมีคนกินสิ่งของเหล่านี้มาก่อน อีกทั้งไม่รู้ว่าเอามาจากที่ใด
ทว่าด้วยฝีมือของต้านิวก็อร่อยเกินคาด สำหรับเรื่องมีพิษหรือไม่ จินเฟยเหยาคร้านจะใส่ใจ คาดว่าต้านิวน่าจะลองชิมมาก่อน รสชาติดีและไม่มีพิษถึงตายจึงเด็ดมา
เพื่อไม่ให้ตนเองต้องแบกรับภาระทางใจ นางจึงไม่เคยมองสิ่งของเหล่านี้ว่าเด็ดมาจากพืชชนิดใด บางครั้งแม้แต่ที่มาของพวกเนื้อสัตว์ก็คร้านจะยุ่งเกี่ยว ทั้งสองตัวเป็นสัตว์ภูติขั้นห้า ชนิดสัตว์ที่สามารถจับมากินได้มีมากมาย ขอเพียงจัดการจนสะอาด ไม่ให้ดูแล้วน่ากลัวก็พอ
ผักป่าหนึ่งในสามส่วน เนื้อสองในสามส่วน นี่เป็นของโปรดของพวกจินเฟยเหยา และเป็นหม้อไฟเนื้อที่สะดวกที่สุด เพียงแต่ รสชาติในวันนี้แตกต่างออกไป เป็นรสเปรี้ยวเผ็ด เหมาะจะใช้กระตุ้นความอยากอาหารในสถานที่อึมครึมแบบนี้พอดี
“เฮ้อ ข้ายังนึกว่ามีตานสัตว์ปิศาจกรอกท้องจะกินอาหารไม่ลงเสียอีก คิดไม่ถึงว่ากระเพาะที่กินตานสัตว์ปิศาจและกินเนื้อจะอยู่คนละที่กัน ดังนั้น ต่อให้กินตานสัตว์ปิศาจจนอิ่ม แต่มีอาหารอร่อยแบบนี้ก็ยังสามารถใส่ลงไปได้” จินเฟยเหยาแย้มยิ้มอย่างเบิกบาน ยื่นมือไปขอตะเกียบกับชามจากต้านิว
ต้านิวและพั่งจื่อมองนางอย่างดูแคลน ข้ออ้างเช่นนี้ยังใช้ออกมาได้ ไม่ใช่วัวเสียหน่อย จะได้มีสี่กระเพาะ
……………………………………..
[1] เอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ หมายถึง แสดงความเป็นมิตรแต่ถูกเย็นชาใส่