คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 252 เมืองซันจือ
ขบวนคุ้มครองส่งไห่หลันอินยิ่งมายิ่งใหญ่โต เหาะกลางอากาศในโลกระดับเทพส่วนนอกราวกับกองทัพ เนื่องจากมีสภาวะใหญ่โต การโจมตีของสัตว์ปิศาจที่ไห่หลันอินกัดนิ้ววาดหวังไว้จึงไม่ปรากฏขึ้น พวกเขายังไม่เข้าใกล้ สัตว์ปิศาจก็ตกใจวิ่งหนีไป ต่อให้เป็นสัตว์ปิศาจขั้นแปดก็ไม่ยอมเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่หลายร้อยคน
ระหว่างนั้นยังมีนกเซ่อที่คนเผ่ามารเลี้ยงไว้บินมาอย่างต่อเนื่อง สังเกตการณ์เส้นทางการเดินทางของขบวนนี้อยู่ไกลๆ พวกเขาไม่เข้าใจว่าผู้บำเพ็ญเซียนมากมายขนาดนี้มารวมตัวกันทำไม คิดจะโจมตีเขตแดนเผ่ามารใช่หรือไม่ ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำมาตลอดทางกลับสังหารนกเซ่อทิ้งจำนวนมาก
ไม่มีสัตว์ปิศาจลอบโจมตี ไม่มีเผ่ามารก่อความวุ่นวาย ขบวนเดินทางก็มาถึงชายขอบของโลกระดับเทพอย่างราบรื่น
ร่องลึกที่ถูกเมฆหมอกคลี่คลุมสายหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทุกคน กว้างห้าร้อยกว่าจั้ง ความยาวกลับมองไม่เห็นขอบเขต ด้านบนมีสะพานแขวนห้าสาย ส่วนฝั่งตรงข้ามสะพานแขวน ก็คือโลกระดับเทพส่วนในซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองซันจือ
ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหมดหยุดอยู่ข้างสะพานแขวน ไม่ได้บินข้ามร่องลึกสายนี้ทันที ดังนั้นในที่สุดจินเฟยเหยาที่นั่งหลับตาอยู่บนเรือทงเทียนหรูอี้ก็ลืมตาขึ้น
หลายวันนี้จินเฟยเหยาแทบจะหลับตาพักผ่อนตลอดเวลา แต่ละคนนึกว่านางกำลังนั่งสมาธิ ที่จริงนางกำลังประวิงเวลากินตานสัตว์ปิศาจ ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้เฝ้าอยู่ด้านข้างราวกับสัตว์ร้ายล่าเหยื่อ ทำให้นางหาเวลาว่างไปล่าสังหารสัตว์ปิศาจไม่ได้ ถึงหาเวลาว่างได้ สัตว์ปิศาจก็หนีไปไกลลิบเนื่องจากหวาดกลัว
ปริมาณตานสัตว์ปิศาจในตัวมีไม่มากนัก ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงลากถ่วงเวลากินตานสัตว์ปิศาจ ถ้าไม่หลับตานั่งสมาธิ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่และขั้นหลอมรวมรอบด้านจะทำให้นางเป็นบ้า
นางรู้สึกว่าตนเองราวกับสุนัขป่าที่เบียดเสียดอยู่ในฝูงแพะ รอบตัวเป็นอาหารทั้งหมดแต่กลับกินไม่ได้ ได้แต่นั่งมองน้ำลายไหล ในนรกขุมที่สิบแปดต้องมีสถานที่ทรมานแบบนี้แน่ๆ กระหายก็ไม่ให้ดื่ม หิวก็ไม่ให้กิน จินเฟยเหยาใช้มือถูใบหน้าอย่างแรง ทำจิตใจให้สดชื่น และให้ทงเทียนหรูอี้หยุดอยู่ข้างสะพานแขวน
เว่ยอันมีการติดต่อกับจินเฟยเหยามากหน่อย โดยพื้นฐานแล้วความคิดเห็นของทุกคนล้วนให้เขาเป็นคนไปบอกไห่หลันอิน ดังนั้นยามนี้จินเฟยเหยาจึงมองเขา “สหายเซียนเว่ย ตอนนี้หยุดอยู่ที่นี่ทำไม?”
“ร่องลึกสายนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ถ้ามีผู้บำเพ็ญเซียนเหาะผ่านด้านบน การรับรู้และพลังวิญญาณจะถูกยับยั้งแล้วร่วงตกลงไปในทะเลเมฆด้านล่างทันที ไม่สามารถกลับมาได้อีก ดังนั้นจึงสร้างสะพานแขวนด้านบนเพื่อให้ทุกคนเดินเท้าเข้าโลกระดับเทพส่วนในได้สะดวก” เว่ยอันอธิบาย
“และเพราะเหตุนี้ สัตว์ปิศาจมากมายในโลกระดับเทพส่วนนอกจึงไม่อาจข้ามร่องลึกแห่งนี้เข้าสู่โลกระดับเทพส่วนในได้” เว่ยอันยังเอ่ยถึงข้อดีอีกอย่างหนึ่ง
ความคิดแบบนี้ทำให้จินเฟยเหยาอดรู้สึกว่าโลกระดับเทพคือไข่ที่มีเปลือกไม่ได้ เปลือกไข่ชั้นนอกสุดคือชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพ เนื้อไข่ขาวๆ คือโลกระดับเทพส่วนนอก และโลกระดับเทพส่วนในที่อยู่ตรงกลางคือไข่แดง
ทุกคนต่างเหยียบย่างบนสะพานแขวนเข้าสู่โลกระดับเทพส่วนใน จินเฟยเหยาก็ลากไห่หลันอินเดินไป เพิ่งเดินลงจากสะพานแขวนบนพื้นโลกระดับเทพส่วนใน ความรู้สึกที่ทำให้คนหนาวเหน็บตลอดร่างก็พลุ่งขึ้นมา นี่เป็นปราณวิญญาณอันเข้มข้นและบริสุทธิ์ ลอยอ้อยอิ่งไปมาข้างกายทุกคนแบบไร้สภาพ ปราณวิญญาณเข้มข้นเช่นนี้ทำให้คนไม่อยากไปจากที่นี่
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อที่นี่ เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ต่อให้กำลังมีการสู้รบกับเผ่ามารอย่างชุลมุน แต่ก็ไม่กระทบถึงสถานที่อันยอดเยี่ยมในการฝึกบำเพ็ญแห่งนี้ ตอนนี้ขาดเพียงได้รับใยทองมาและส่งจดหมายของสำนักตงอวี้หวง สุดท้ายไปขุดศิลาวิญญาณเล็กน้อยในเหมืองศิลาวิญญาณ ก็สามารถไปหาสถานที่ซึ่งมีทิวทัศน์งดงามและมีสัตว์ปิศาจมากมายสงบจิตใจฝึกบำเพ็ญได้
“สหายเซียนเว่ย พวกเรายังอยู่ห่างจากเมืองซันจือมากเพียงใด?” จินเฟยเหยาเห็นทุกคนข้ามสะพานแขวนก็เหยียบของวิเศษไปทันที ไม่มีความคิดจะหยุดลงสักเค่อ
เว่ยอันคำนวณคร่าวๆ “สามวัน อีกสามวันก็ถึงเมืองซันจือ”
จินเฟยเหยามองผู้บำเพ็ญเซียนที่มีอยู่เต็มไปหมด เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มขมขื่น “สหายเซียนเว่ย ท่านไม่รู้สึกว่าคนที่มามีมากเกินไปจริงๆ หรือ ต่อให้ภูเขาเต้าไถมีอำนาจและเงินทอง เกรงว่าเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้คงทำให้เขากลายเป็นยาจก พวกท่านก็ไม่ควบคุมจำนวนคนสักหน่อย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ทุกคนคงไม่มีทางได้ศิลาวิญญาณ”
“เรื่องนี้ง่ายดายยิ่ง ถ้าภูเขาเต้าไถมอบศิลาวิญญาณมากขนาดนี้ให้ไม่ได้ ก็สามารถเปิดเหมืองที่เมืองซันจือหลายวัน ให้ทุกคนไปขุดตามสบาย ขุดได้มากหรือน้อยก็ต้องแล้วแต่โชคของตนเอง เขาจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก ความเสียหายก็ไม่มากเกินไป” เว่ยอันเคยครุ่นคิดถึงเรื่องนี้นานแล้ว เวลานี้จึงไม่ปิดบังจินเฟยเหยา บอกนางไปตามตรง
จินเฟยเหยาส่ายศีรษะแล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านคิดได้ไม่เลว คงมีความคิดนี้ตั้งแต่แรกสินะ รู้ชัดๆ ว่าไม่มีใครมอบศิลาวิญญาณชั้นบนมากมายขนาดนั้นออกมาได้ ยังเรียกคนพวกนี้มาอีก”
“สหายเซียนจินคิดมากไปแล้ว ถ้าคนไม่มากไม่น้อย ภูเขาเต้าไถที่ให้รางวัลจะรู้สึกเสียดาย ถ้าเขาไม่อยากให้ จำนวนคนของพวกเราไม่เพียงพอ ระดับพละกำลังก็ไม่เพียงพอ คงไม่อาจบังคับให้ตระกูลของนางยอมเปิดเหมืองที่เมืองซันจือได้”
“จริงสิ ข้าเกือบลืมไปว่าตระกูลข้ามีเหมืองศิลาวิญญาณ พวกเจ้าแค่เข้าไปขุดไม่กี่วัน คาดว่าศิลาวิญญาณหลายล้านก้อนนี้ท่านพ่อข้าน่าจะยินยอม” คำสนทนาของพวกเขาไม่ได้หลีกเลี่ยงไห่หลันอิน นางที่หดหู่คอตก ได้ยินคำสนทนาของจินเฟยเหยาและเว่ยอันก็มีกำลังใจขึ้นมาทันที
คิดถึงว่าคนเหล่านี้จะไม่ได้ศิลาวิญญาณมากมายขนาดนั้น และสามารถใช้เหมืองของตนเองขับไล่ไปได้ ไห่หลันอินก็เบิกบานขึ้นมา
เห็นนางยินดีโดยไม่ใช้สมอง เว่ยอันก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “คุณหนูคุณชายของโลกระดับวิญญาณแบบนี้มีอยู่มากมาย ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีบางคนฝึกถึงขั้นหลอมรวมช่วงปลายเพียงเพื่อแต่งงานกับสำนักอื่นเท่านั้น พวกเขาไม่รู้จักความยากลำบากในการฝึกบำเพ็ญ ทำอะไรเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ ถ้าข้างกายมีคนอยู่ด้วยนั้นยังดี ถ้าไม่มีคนอยู่ด้วยก็เป็นเพียงลูกแกะเล็กๆ ที่รอถูกเชือด”
“คิดไม่ถึงว่าพี่เว่ยจะเป็นคนอารมณ์รุนแรง ทอดถอนใจแบบนี้ทำให้คนรู้สึกเหนือความคาดหมาย” จินเฟยเหยาหรี่ตามองเขา
“พวกเราเดินทางเถอะ ถึงเร็วจะได้ผ่อนคลายเร็วๆ” เว่ยอันเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้ต่อบทสนทนา ทว่าหยิบของวิเศษออกมาเหยียบเหาะขึ้นกลางอากาศก่อน
จินเฟยเหยาหันหน้ามามองไห่หลันอินแล้วพานางติดตามทุกคนไป
ตั้งแต่วันที่พูดคุยกับผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ จินเฟยเหยาก็เข้าใจโลกระดับเทพส่วนในอย่างคร่าวๆ เนื่องจากเจ้าของเขตแดนมีการผลัดเปลี่ยนค่อนข้างเร็ว ดังนั้นมีเพียงสถานที่ซึ่งมีเหมืองศิลาวิญญาณจึงมีเมือง เนื่องจากเมืองในสถานที่อื่นๆ ไม่มีเหมืองศิลาวิญญาณ หลังจากผ่านไฟสงครามหลายครั้งก็ไม่มีอะไรเหลือเลย
ทั่วทั้งโลกระดับเทพส่วนใน มีเมืองขนาดใหญ่อย่างเมืองซันจือไม่ถึงห้าแห่ง จำนวนนี้นับรวมเมืองทางเขตแดนเผ่ามารแล้ว
สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนในโลกระดับวิญญาณ โลกระดับเทพคือดินแดนอันอุดมสมบูรณ์มีทรัพยากรและประชากรมากแห่งหนึ่งที่ช่วงชิงกับเผ่ามารมานับพันปี เจ้าแย่งข้าชิง สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถขับไล่ใครออกไปได้ ที่นี่มีศิลาวิญญาณชั้นบน สัตว์ปิศาจจำนวนนับไม่ถ้วน และหญ้าวิญญาณอันล้ำค่านานาชนิดงอกอยู่เต็มไปหมด ล้วนเป็นเป้าหมายที่ทุกคนต่างแย่งชิง
ที่จริงโลกระดับเทพไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่จินเฟยเหยาเห็น จินเฟยเหยาเห็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งระหว่างโลกระดับเทพส่วนในและโลกระดับเทพส่วนนอกเท่านั้น ปราการธรรมชาติที่กั้นระหว่างโลกระดับเทพส่วนในและโลกระดับเทพส่วนนอกเป็นเพียงมุมหนึ่งของโลกระดับเทพส่วนนอกเท่านั้น ส่วนโลกระดับเทพส่วนนอกอีกด้านหนึ่งราวกับเมฆขาวอันไร้ขอบเขตและไร้ที่สิ้นสุด
จินเฟยเหยาใช้เวลานานจึงเข้าใจชัดเจน ที่แท้สถานที่ซึ่งมีร่องลึกสายนี้ไม่ใช่โลกระดับเทพส่วนใน โลกระดับเทพส่วนในถูกบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนจัดการหมดแล้ว เป็นสถานที่ซึ่งค่อนข้างปลอดภัย จากนั้นค่อยใช้ร่องลึกเป็นเขตแดน สถานที่ซึ่งยังไม่ได้จัดการ ไม่ว่าจะมีร่องลึกหรือไม่ล้วนถือเป็นโลกระดับเทพส่วนนอก
ส่วนเกาะลอยได้กลางท้องนภาที่สร้างขึ้นเป็นโลกระดับเทพมีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไป สะพานแขวนที่เชื่อมระหว่างเกาะลอยได้เหล่านั้นตอนแรกสุดล้วนใช้เถาวัลย์ที่งอกขึ้นเองระหว่างเกาะทำขึ้น ไม่เช่นนั้นบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนไม่มีทางเหาะข้ามร่องลึกและสร้างสะพานแขวนไปยังเกาะอื่นๆ ได้
ฟังแล้วดูเหมือนยุ่งยากอยู่บ้างแต่จินเฟยเหยาก็เข้าใจ เมื่อนางได้ยินว่าเกาะลอยได้บางแห่งที่มีขนาดไม่กี่หมู่หรือไม่กี่สิบหมู่ถูกผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากยึดครองเป็นถ้ำเซียนของตนเองก็รู้สึกหวั่นไหว
จินเฟยเหยารู้สึกว่าตนเองสมควรครุ่นคิดเรื่องหาถ้ำเซียนฝึกบำเพ็ญสักหน่อย เคล็ดวิชาของตนเองใช้แล้วมีปราณสีดำพวยพุ่งจะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าตนเองมีปัญหา
แต่ในมือของจินเฟยเหยายังไม่มีเคล็ดวิชาดีๆ อะไร มิสู้ฝึกเคล็ดวิชาสร้างร่างมารก่อนดีกว่า ใช้ร่างกายต่างของวิเศษ แบบนี้จะมากจะน้อยก็ไม่ถูกคนพบว่ามีความเกี่ยวพันกับเผ่ามาร ต่อไปถ้าได้เคล็ดวิชาขั้นสุดยอด ค่อยเปลี่ยนไปใช้เคล็ดวิชาอื่น
ส่วนไฟนรก ขณะที่ยังไม่เปิดเผยฐานะ ก็ใช้สังหารสัตว์ปิศาจในสถานที่ที่ไม่มีคน ตอนพบคนที่สามารถฆ่าปิดปากได้ก็ใช้ได้ดีทีเดียว
ทำแบบนี้ตนเองก็เปลี่ยนเป็นฝึกบำเพ็ญร่างกายอีกครั้ง จินเฟยเหยาอดยิ้มไม่ได้ กี่ปีมาแล้วที่ไม่ได้หาสถานที่ฝึกบำเพ็ญอย่างวางใจ ตอนนี้ใช้ชีวิตอย่างเสียเปล่ามาก ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจจะกลายเป็นลูกล้างผลาญ
เมืองซันจือเป็นเมืองที่ใกล้เคียงโลกระดับวิญญาณที่สุด ถึงแม้ตอนมาจะทรมานอยู่หลายปี แต่ก็ถือว่าจินเฟยเหยามาถึงจุดหมายปลายทางได้ในที่สุด เพียงแต่ไม่รู้ว่าข่าวสารในป้ายยกในอกเสื้อของนางจะกลายเป็นขยะที่หมดอายุไปนานแล้วหรือไม่
เมืองซันจือที่ถูกม่านแสงรูปวงกลมปกคลุมไว้แห่งนี้ปะปนอยู่ในป่า มีผู้บำเพ็ญเซียนเดินขวักไขว่ในม่านแสงเหมือนนก
บอกว่ามันเป็นเมืองก็ไม่ค่อยเหมาะสม เนื่องจากเมื่อพวกจินเฟยเหยาเหาะเข้ามาในม่านแสงของเมืองซันจืออย่างใหญ่โตอลังการ สิ่งที่เข้าสู่สายตานางนอกจากป่าแล้วก็ยังเป็นป่า
ไม่มีบ้าน ไม่มีถนน มีเพียงต้นไม้ใหญ่ขนาดสิบกว่าคนถึงยี่สิบคนโอบต้นแล้วต้นเล่า ลำต้นถูกขุดเป็นถ้ำต้นไม้ให้คนอาศัยอยู่ ถ้ำต้นไม้เหล่านี้บ้างเล็กบ้างใหญ่ บางแห่งยังมีชื่อร้านค้าแขวนไว้ ตรงรากต้นไม้มีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากตั้งแผงแบกะดิน
สุ่มหาใต้ต้นไม้ที่ไม่มีคน ปูหนังสัตว์หรือผ้า แล้วโยนสิ่งของที่คิดจะขายลงไปก็กลายเป็นแผงเล็กๆ ที่ไม่มีใครควบคุมแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนที่ตั้งแผงแบกะดินเหล่านี้ คนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรย่ำแย่ที่สุดคือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม ที่ดีหน่อยก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ บ้างนั่งบนพื้นบ้างนั่งยองๆ ตั้งแผงแบกะดินเล็กๆ ราวกับเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณและขั้นสร้างฐานในอดีต
เรื่องนี้ทำให้คนหมดวาจาจริงๆ ฝึกบำเพ็ญมาหลายร้อยปี สุดท้ายต้องใช้ชีวิตที่ไม่แตกต่างอะไรเลยกับในอดีต ไห่หลันอินเพิ่งมาโลกระดับเทพเป็นครั้งแรก เห็นเมืองที่แปลกประหลาดและงดงามแบบนี้ก็เบิกบานใจจนลืมสิ้นทุกสิ่ง นางเหลียวซ้ายแลขวาอย่างสนอกสนใจ
ขณะเหาะผ่านร้านค้าแห่งหนึ่ง จินเฟยเหยาก็ยินดีอย่างยิ่งราวกับถูกสายฟ้าฟาด เห็นบนลำต้นของต้นไม้อันล้านเลี่ยนมีป้ายร้านแขวนอยู่ด้านนอกถ้ำต้นไม้ บนนั้นเขียนอักษรห้าตัวอย่างเป็นระเบียบว่า ‘ร้านพื้นที่มิติ’
นี่คือร้านขายพื้นที่มิติ!
มีจริงด้วย! ไม่ได้หลอกลวงจริงๆ โลกระดับเทพมีร้านขายพื้นที่มิติจริงๆ! จินเฟยเหยาคิดจะเข้าไปดูอย่างอดใจรอไม่ไหว ที่แท้ด้านในขายสิ่งใด มีพื้นที่มิติอันยอดเยี่ยมจำนวนมากซึ่งทำให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนลุ่มหลงใช่หรือไม่
ตอนนี้นางมีเพียงความคิดเดียวคือทุกคนเดินทางเร็วหน่อย รีบไปรับศิลาวิญญาณ ตานสัตว์ปิศาจ และใยทอง จากนั้นจะไปเดินดูในร้านพื้นที่มิติให้เบิกบานใจ