คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 253 ที่พักผู้ฝึกบำเพ็ญเซียน
คนกลุ่มนี้โดดเด่นสะดุดตาเกินไป ทำให้คนที่เมืองซันจือนึกว่ามีบุคคลยิ่งใหญ่คนใดมา ทุกคนจึงมองมาอย่างสงสัย
เนื่องจากจะได้พบท่านพ่อแล้ว ไห่หลันอินเริ่มกังวลและไม่สบายใจ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นศิลาวิญญาณก้อนใหญ่ ตอนนี้การปลอบใจเพียงอย่างเดียวคือจินเฟยเหยาที่รู้จักตอนแรกสุด นางไม่ทันได้ถามมากความ ได้แต่คว้าชายเสื้อของจินเฟยเหยาไว้แน่น
จินเฟยเหยามองนางที่ตึงเครียดแทบตาย ก็ตบหลังนางแล้วเอ่ยปลอบใจ “เจ้าไม่ต้องตื่นเต้นมาก เจ้าไม่ได้ทำความผิดใด เวลานี้สมควรดีใจหน่อย ข้าได้ยินว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่สามารถกลับมาจากชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพได้ ไม่มีใครที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำกว่าขั้นว่างเปล่าสักคน ตอนนี้เจ้าเป็นวีรสตรีแล้ว มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวมช่วงต้นก็สามารถออกมาจากชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพได้โดยไม่บุบสลายสักนิด”
“นี่…ข้าจะยินดีได้อย่างไร มีคนมากมายปานนี้มาทวงค่าตอบแทน” ไห่หลันอินยังกังวลใจ ถึงอย่างไรเหมืองศิลาวิญญาณที่เมืองซันจือ ดูเหมือนตระกูลตนเองจะไม่ได้ครอบครองเพียงตระกูลเดียว
จินเฟยเหยาก้มลงกระซิบข้างหูนาง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า พวกเราอยู่ที่ชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพ คนที่ออกความคิดนี้เพื่อตามหาเจ้าก็ไม่ใช่เจ้าเสียหน่อย ผู้ใดออกความคิดก็ให้ไปหาคนผู้นั้น เจ้าแค่บอกว่าไม่รู้เรื่องก็พอแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ยืนกรานจะติดตามเจ้ากลับมาเอง เจ้าก็ปฏิเสธไม่ได้ อีกอย่างหนึ่ง ตลอดทางก็อาศัยใบบุญของพวกเขา พวกเราจึงไม่ได้พบสัตว์ปิศาจและเผ่ามารสักคน”
“ดูเหมือนเจ้าจะพูดได้ถูกต้อง…” ไห่หลันอินจึงวางใจลงได้บ้าง ในใจรู้สึกขอบคุณจินเฟยเหยาอย่างยิ่งที่ดูแลนางมาตลอดทาง บุรุษพึ่งพาไม่ได้จริงๆ สหายสิพึ่งพาได้มากกว่า
“สาเหตุของเรื่องนี้ก็เพราะเรือของเจ้าถูกฟ้าผ่า ถ้าท่านพ่อไม่ให้เจ้ามาโลกระดับเทพ เจ้าคงไม่ถูกฟ้าผ่าที่ชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพ ดังนั้นจะว่าไป เจ้าก็เป็นผู้ประสบเคราะห์” จินเฟยเหยาเอ่ยยิ้มๆ
ดวงตาไห่หลันอินมีประกายวาบขึ้น เอ่ยกระซิบว่า “ที่จริงข้าแอบหนีออกมา ท่านพ่อไม่อนุญาตให้ข้ามาหาศิษย์พี่ที่โลกระดับเทพ”
“…” จินเฟยเหยาหมดวาจาทันที
“แต่ข้าไม่ได้เห็นศิษย์พี่หลงมานาน ตั้งสามสิบกว่าปีแล้ว ดังนั้นข้าอยากพบเขาหน่อย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะหนีมาโลกระดับเทพ” เสียงไห่หลันอินเบาราวกับยุง ตัวนางเองก็เข้าใจดีว่าครั้งนี้แส่หาเภทภัยใส่ตัว
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า” จินเฟยเหยากัดฟัน เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวและมั่นใจ
“หา? ไห่หลันอินมองนางอย่างประหลาดใจ ขนาดนี้แล้ว เรื่องนี้ยังไม่เกี่ยวกับตนเองอีกหรือ?
จินเฟยเหยาหรี่ตาบอกกับนาง “เรื่องนี้ต้องโทษศิษย์พี่หลงของเจ้า หากมิใช่เขาไม่กลับมาหาเจ้าเป็นเวลานาน และไม่ส่งจดหมายมาหาเจ้า เจ้าคงไม่คิดจะเสี่ยงชีวิตมาเยี่ยมเขาหรอก”
ไห่หลันอินสงสัยอยู่บ้าง “แต่โลกระดับเทพและโลกระดับวิญญาณส่งจดหมายหากันไม่ได้ นกถ่ายทอดเสียงก็ไม่บินกลับมา”
“เจ้าพูดอะไรน่ะ! เรื่องนี้อยู่ที่พฤติการณ์ของคน เขาต้องมีสตรีอื่นแน่ ดังนั้นจึงไม่ยอมกลับไป เจ้าไม่ลองคิดดูล่ะ เจ้าก็มาหาเขาแล้วนี่นา เขาคิดจะกลับไปไม่ง่ายกว่าหรือ” จินเฟยเหยายังเอ่ยโน้มน้าวต่อไป ไห่หลันอินรับฟังจนเริ่มรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ผิดจริงๆ
“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ลองคิดดู ระหว่างผืนฟ้าและแผ่นดินมีอะไรยิ่งใหญ่กว่าความรัก เทียบกับผู้บำเพ็ญเซียนที่ไร้หัวใจ เจ้าที่มีความรักมั่นคงเป็นสิ่งที่ล้ำค่าและหายากเพียงใด ฉวยโอกาสนี้บอกความคิดของเจ้ากับหลงซิงและท่านพ่อของเจ้าดังๆ ถ้าใช้เมืองซันจืออันงดงามแห่งนี้จัดงานแต่งงานคงเหมาะสมอย่างยิ่ง”
คำพูดที่ทำให้คนเคลิบเคลิ้มของจินเฟยเหยาดูเหมือนจะได้ผล ยามนี้ไห่หลันอินมีสายตาแน่วแน่ และสงบจิตใจลงได้ ศิลาวิญญาณนับล้านก้อนถูกนางโยนทิ้งไว้นอกสวรรรค์เก้าชั้นฟ้า
คิดไม่ถึงว่าเมืองซันจือจะใหญ่โต พวกเขาผ่านต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่าจึงมาถึงหน้าบ้านต้นไม้ที่ภูเขาเต้าไถพักอาศัยอยู่ หลี่อี เจ้าสำนักภูเขาเต้าไถ ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลางกำลังกระวนกระวายใจ ยังหาบุตรีสุดที่รักไม่พบ คิดไม่ถึงว่าหยกเชื่อมวิญญาณที่ทิ้งไว้ข้างกายเขาจะยังไม่แตกสลาย แสดงว่านางยังมีชีวิตอยู่ แต่สภาพการณ์ของชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพไม่กระจ่างชัด อาจจะเอาชีวิตน้อยๆ ของนางได้ทุกเมื่อ ถ้านางตายพวกซือจุนของภูเขาเต้าไถจะเตะตนเองออกจากภูเขาเต้าไถหรือไม่!
“ท่านพี่ไม่ต้องร้อนใจ ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเราเชิญผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตบุกไปค้นหาที่ชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพดีหรือไม่?” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นกำเนิดใหม่ช่วงต้นที่งดงามข้างกายหลี่อี ใช้มือเรียวงามแตะบนไหล่ของเขาพลางเอ่ยปลอบโยนอย่างห่วงใย
นางไม่พูดยังพอทำเนา พอนางพูดก็ทำให้หลี่อียิ่งหงุดหงิดมากขึ้น “เรื่องนี้ต้องโทษเจ้า! ข้าให้เจ้าสั่งสอนนางให้ดีๆ แล้วเจ้าทำอย่างไรจึงทำให้นางแอบโดยสารเรือเหาะไปโลกระดับเทพ! ถ้านางตาย ข้าจะดูสิว่าผลสุดท้ายเจ้าจะเป็นอย่างไร!”
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นกำเนิดใหม่ขมวดคิ้วเรียวงาม เอ่ยอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ข้าสั่งสอนนางจนทำอะไรไม่เป็นสักอย่างแล้ว ทั้งยังหาวิธีที่คนธรรมดาสั่งสอนบุตรีมาจากที่อื่น ทำเอาตาเฒ่าเหล่านั้นบอกว่าข้าควบคุมนางมากเกินไป ข้าก็ขัดขวางอย่างสุดกำลังแล้ว ตอนนี้แล่นไปยังโลกระดับเทพเพื่อเยี่ยมหลงซิง ยังมิใช่เพราะข้าสั่งสอนหรือ ข้าเสียสละเพื่อพวกท่านพ่อลูกมากขนาดนี้ ยังมาโทษข้าอีก”
นางยิ่งคิดก็ยิ่งมีโทสะ นั่งบนเก้าอี้แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น เอ่ยอย่างดุร้ายว่า “หลงเอ๋อร์เป็นบุตรชายของท่าน กลับยอมรับบิดาผู้ให้กำเนิดไม่ได้ ได้แต่ใช้แซ่เดิมของท่าน อีกทั้งข้าซึ่งเป็นมารดาของเขา ยังไม่อาจยอมรับอย่างเปิดเผยได้ ให้ท่านแต่งกับสตรีแปลกหน้าเพื่อภูเขาเต้าไถเฮงซวยนั้นช่างเถิด ตอนนี้สตรีผู้นั้นตายแล้ว คิดไม่ถึงว่าท่านจะให้บุตรชายของข้าแต่งกับบุตรสาวบ้าผู้ชายของสตรีผู้นั้น!”
“เรื่องประเภทพี่ชายแต่งงานกับน้องสาว ท่านยังทำออกมาได้ ถ้าหลงเอ๋อร์รู้เรื่องนี้ ในใจเขาจะคิดอย่างไร ฐานะและตำแหน่งของเขาในตอนนี้ ต่อไปถึงเป็นเจ้าสำนักภูเขาเต้าไถ ยังจะมีหน้ามาปรากฏตัวในโลกระดับวิญญาณอีกหรือ!”
เห็นคนรักของตนเองเริ่มกล่าวหาทั้งน้ำตา หลี่อีก็รู้สึกผิด ได้แต่ลุกขึ้นเอ่ยปลอบใจ “ถ้ามิใช่ตาเฒ่าเบื้องบนเหล่านั้นต้องการให้เจ้าสำนักมีความสัมพันธ์ทางสายโลหิตกับพวกเขา ข้าคงไม่ให้หลงเอ๋อร์แต่งงานกับหลันอินหรอก ถึงอย่างไรก็เพียงแค่ในนาม ตอนนี้ความแข็งแกร่งของหลงเอ๋อร์ยังเป็นเจ้าสำนักไม่ได้ ขอเพียงสร้างชื่อเสียงอีกหน่อย ต่อไปพอแต่งงานกับหลันอิน ภูเขาเต้าไถก็เป็นของตระกูลหลงเราแล้ว เจ้าอดทนมาได้หลายปีขนาดนี้ ก็ทนอีกไม่กี่ปี ฉวยโอกาสการขับไล่คนเผ่ามารออกนอกโลกระดับเทพส่วนในครั้งนี้ทำให้ตาเฒ่าพวกนั้นตายไปหลายๆ คน แล้วพวกเราค่อยจัดการชำระสำนักก็สามารถนอนหลับได้อย่างไร้กังวลแล้ว”
“ฮึ เพราะข้าเชื่อท่าน หลายร้อยปีมานี้จึงได้รับความอับอาย ข้าไม่อยากเป็นอาจารย์อบรมสั่งสอนนางเสียหน่อย พอได้ยินชื่อไห่หลันอิน ข้าก็นึกถึงไห่เหม่ยเอ๋อร์ซึ่งเป็นมารดาของนาง แล้วจิตใจรู้สึกไม่ค่อยสบาย” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีมองหลี่อีอย่างขุ่นเคืองแง่งอน และเอ่ยวาจาอย่างเดือดดาล
ทันใดนั้น นางก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “หลงเอ๋อร์ไม่ชอบไห่หลันอินมาตลอด หลายปีก่อนพลันเปลี่ยนท่าที ท่านบอกเขาแล้วใช่หรือไม่?”
“บอกแล้ว เขาก็เห็นด้วย แต่เขาบอกว่ารักคนอื่นแล้ว ยินยอมแต่งงานกับนางเพียงห้าสิบปี ถ้าห้าสิบปีต่อมายังแก้ปัญหาไม่ได้ เขาจะลงมือด้วยตนเอง” หลี่อีเอ่ยเสียงเบา ราวกับกำลังบอกว่าจัดการลูกสุนัขหรือลูกแมวสักตัว
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีถอนหายใจเบาๆ “พวกท่านพ่อลูกโหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนกันจริงๆ ถ้าคนหนึ่งไม่ใช่สามีของข้า อีกคนหนึ่งไม่ใช่บุตรชายแท้ๆ ของข้า ข้าคงหวาดกลัวพวกท่าน”
“รุ่ยหมิ่น เจ้าพูดอะไรอย่างนั้น พวกเราต่างก็ทำเพื่ออนาคตของหลงเอ๋อร์นะ” หลี่อีดึงมือของรุ่ยหมิ่นมาแล้วตบเบาๆ
ในเวลานี้เอง ด้านนอกพลันมีเสียงรายงานดังมา “เจ้าสำนัก คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว มีผู้บำเพ็ญเซียนส่งกลับมา!”
“อา! รีบออกไปดูเร็ว” หลี่อียินดี รีบทิ้งมือของรุ่ยหมิ่น สาวเท้าเดินออกไป พอกวาดดูใบหน้างามเย้ายวนของรุ่นหมิ่น นางกลับคืนสู่ท่าทีราวกับมองเห็นทุกอย่างเป็นหมอกควัน และเดินตามออกมา
คนทั้งสองเหยียบย่างออกจากบ้านต้นไม้ พริบตาก็ตะลึงงัน
ต้นไม้สิบกว่าต้นที่ภูเขาเต้าไถยึดครองไว้ถูกผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนห้าหกร้อยคนเบียดเสียดจนน้ำรั่วออกมาไม่ได้สักหยดราวกับถูกคนมาล้อมปราบสำนัก สิ่งที่ให้คนหวาดผวาคือ คิดไม่ถึงว่ายังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่มาสามร้อยกว่าคน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ หรือว่ามีคนคิดจะฆ่าล้างสำนักภูเขาเต้าไถเรา
หลี่อีมองผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ด้วยสีหน้างุนงง ในสมองมีเพียงความคิดนี้ปรากฏขึ้น
“เจ้าสำนัก ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ส่งอินเอ๋อร์กลับมา พวกเขามา…มารับเงินรางวัลที่เจ้าสำนักบอกไว้” ในเวลานี้เอง บุรุษหล่อเหลาคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนแท่นราบตรงประตูบ้านต้นไม้เอ่ยเบาๆ
“อะไรนะ!” หลี่อีตะลึงงันไปทันที มองเขาแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง
“เจ้าสำนัก ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้บอกว่าพวกเขาช่วยอินเอ๋อร์กลับมา ดังนั้นจึงตามมาด้วย” บุรุษผู้นี้มีคิ้วกระบี่นัยน์ตาดวงดาว ใบหน้าเที่ยงธรรม กิริยาระหว่างที่ยกมือวางเท้าแฝงไว้ด้วยความสง่างาม
“คนมากมายปานนี้…” ครั้งนี้หลี่อีจึงฟังเข้าใจ เห็นผู้บำเพ็ญเซียนมากมาย นี่เป็นศิลาวิญญาณชั้นบนหลายล้านก้อนเชียวนะ เขาพลันสติหลุดไป แม้แต่ไห่หลันอินอยู่ที่ใดยังไม่คิดจะถาม
“ท่านพ่อ! ศิษย์พี่หลง!” ในเวลานี้เอง อาชญากรคนสำคัญอย่างไห่หลันอินก็ฉุดดึงมือของจินเฟยเหยาปรากฏตัวขึ้นกลางฝูงชนภายใต้การสนับสนุนของจินเฟยเหยา
“อินเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไร ดียิ่งนัก” หลี่อีถูกเสียงตะโกนของนางเรียกสติ ในดวงตามีความไม่พอใจวาบผ่าน แล้วเปลี่ยนเป็นรักและเมตตาทันควัน
เห็นบิดาของตนเองไม่มีโทสะเนื่องจากมีผู้บำเพ็ญเซียนติดตามมามากมาย ไห่หลันอินก็ได้ใจ ฉุดดึงจินเฟยเหยาวิ่งมาอย่างยินดีราวกับนกน้อย
นางขึ้นบ้านต้นไม้ พุ่งหัวทิ่มเข้าไปในอ้อมอกหลี่อี ร่ำไห้อย่างเอาแต่ใจ “ท่านพ่อ ข้ากลัวมาก ต้องโทษศิษย์พี่ หากมิใช่เขามาโลกระดับเทพหลายสิบปีไม่มาเยี่ยมข้าบ้าง ข้าคงไม่มาหาเขาและคงไม่เจออันตรายแบบนี้ ท่านพ่อ ข้าเกือบตายเลยนะ เกือบถูกฟ้าผ่าและเกือบจะถูกยักษ์ตาเดียวกิน ทั้งหมดเป็นความผิดของศิษย์พี่ ต้องโทษเขา”
“เอาละๆ ตอนนี้ก็กลับมาแล้วมิใช่หรือ ขอเพียงเจ้ากลับมาก็ดีแล้ว เห็นเจ้าปลอดภัยไร้อันตรายข้าก็วางใจ นี่เป็นความผิดของศิษย์พี่เจ้า อีกเดี๋ยวข้าจะลงโทษเขา” หลี่อีลูบศีรษะของนางพลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน
ไห่หลันอินเอียงศีรษะ ทำปากยื่นเอ่ยว่า “ห้ามท่านลงโทษศิษย์พี่ ถ้าจะลงโทษก็ให้ข้าลงโทษ ข้าจะลงโทษให้ศิษย์พี่เล่นเป็นเพื่อนข้า ห้ามไปไหนทั้งนั้น”
“ได้ อินเอ๋อร์ว่าอย่างไรก็อย่างนั้น ให้ศิษย์พี่หลงอยู่เป็นเพื่อนเจ้า เจ้าอยากจะลงโทษอย่างไรก็ได้” หลี่อีเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
ผู้บำเพ็ญเซียนนับร้อยมองดูพวกเขาสองคนแล้วเงียบกริบโดยสิ้นเชิง ฉากนี้แปลกประหลาดเกินไปจริงๆ ทุกคนรู้สึกว่าเขารักและเอ็นดูนางเกินไป ถ้าในใจไม่มีแผนร้ายก็คงคิดจะปล้นชิง
จินเฟยเหยาก็ยืนอยู่ใกล้ๆ ทางด้านข้าง มองเจ้าหมอนี่กำลังเล่นละคร แล้วเหล่มองไห่หลันอินกับศิษย์พี่หลง มีมาดอยู่บ้างจริงๆ เพียงแต่ขณะที่เขาได้ยินคำสนทนาของพวกไห่หลันอินพ่อลูก ในดวงตาก็มีไอสังหารจางๆ วาบขึ้น ทำให้จินเฟยเหยามองดูจนอยากจะหัวเราะ
“อินเอ๋อร์ เหตุใดเมื่อครู่เจ้าจึงฉุดดึงมือผู้อื่น รู้หรือไม่ว่าทำเช่นนี้ไม่ดี” ราวกับคิดจะหาเรื่องโดยไม่มีเหตุผล หลงซิงจึงเอ่ยอย่างชืดชา
“อา…สหายเซียนจินนาง…” ไห่หลันอินกลัวหลงซิงจริงๆ ด้วย ได้ยินเขาถามแบบนี้ก็รู้สึกลนลานอยู่บ้าง
“สหายเซียนหลง ท่านพูดเช่นนี้ หรือว่าข้าเป็นบุรุษ ต่อให้พวกท่านสองคนรักกันมากเพียงใด ท่านคงไม่ได้หึงแม้กระทั่งสตรีกระมัง? ตลอดทางคุณหนูไห่ไม่ได้ลงจากของวิเศษของข้าและก็ไม่ได้สนทนากับบุรุษอื่นเลย ท่านยังพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก ใจแคบเกินไปแล้ว” จินเฟยเหยาไม่ชอบเลย บุรุษอะไรกัน ไม่กลัวว่าแพร่ออกไปจะขายหน้าบ้าง
หลงซิงก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงกวาดมองจินเฟยเหยาอย่างเย็นชา แล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“ข้าน้อยไร้สามารถ บังเอิญช่วยคุณหนูไห่ไว้ได้ ตอนนั้นไม่ทราบว่าเจ้าสำนักหลี่ตามหาคุณหนูใหญ่ไปทั่ว ดังนั้นคุณหนูไห่จึงสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์แก่ข้าเล็กน้อย นอกจากรู้สึกขอบคุณ ก็คิดจะให้ข้าส่งนางกลับมา เพียงแต่ตอนนั้นสิ่งของที่พวกเราตกลงกันไว้เล็กน้อยมาก มีเพียงตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นห้าร้อยพวง ศิลาวิญญาณชั้นบนหนึ่งพันก้อน บวกกับของวิเศษป้องกันชั้นยอดหนึ่งชิ้น” จินเฟยเหยาไร้ยางอายโดยสิ้นเชิง ยิ้มแย้มและเริ่มทวงสิ่งของ อีกทั้งนี่มิใช่ราคาที่ตกลงกับไห่หลันอินไว้ เป็นสิ่งของที่นางเรียกในราคาสูงลิ่วตอนแรก
หลี่อียังไม่ทันเตรียมตัวจะมอบของรางวัลให้ ได้ยินสิ่งของที่จินเฟยเหยาเอ่ยถึง อดสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่ได้ “สหายเซียน อีกสักครู่พวกเราค่อยสนทนากันเรื่องนี้ได้หรือไม่ ข้ายังต้องจัดงานเลี้ยงเชิญทุกท่านร่วมดื่มสักจอก เรื่องนี้พวกเราดื่มพลางสนทนาเถอะ”
ไห่หลันอินในอ้อมกอดของหลี่อีก็ถลึงตาใส่นางหลายครั้ง ราวกับคิดจะซักไซ้นางว่า เหตุใดสิ่งที่พูดออกมาจึงไม่ใช่สิ่งของที่ตกลงกันไว้
จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เดิมทีตกลงกันไว้แบบนี้ ทว่าคุณหนูไห่ตระหนี่ ยืนกรานไม่ยอมมอบสิ่งของเหล่านี้ให้ ดังนั้นสิ่งที่พวกเราตกลงกันต่อมาคือใยทองชิ้นหนึ่ง ยังมีตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นสิบพวง และศิลาวิญญาณชั้นบนหนึ่งพันก้อน แต่ภายหลังเจ้าสำนักหลี่บอกว่าจะมอบศิลาวิญญาณชั้นบนให้อีกหนึ่งหมื่นก้อน ดังนั้นผู้น้อยขออภัยที่ต้องรับศิลาวิญญาณหนึ่งหมื่นหนึ่งพันก้อนพร้อมสิ่งของเหล่านี้”
“นี่…ไม่ต้องรีบร้อน ทุกคนพักผ่อนก่อนสักครู่” หลี่อีไม่อยากจะสนทนาเรื่องนี้ที่นี่ ถึงแม้สิ่งของจำนวนนี้จะไม่มาก ทว่าทางด้านนั้นยังมีสุนัขป่าหิวโหยฝูงหนึ่ง ถ้าตนเองตอบรับนางง่ายๆ แล้วจะไม่ให้ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนหลายร้อยคนได้หรือ
จินเฟยเหยาลูบศีรษะยิ้มอย่างขัดเขิน “เจ้าสำนักหลี่ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเห็นว่าท่านยังมีแขกอีกมากมาย ข้าขอรับสิ่งของไปก่อนดีกว่า จะได้ให้ท่านมีเวลามารับแขก”
หลี่อีเอ่ยถามแบบหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม “ไม่ทราบว่าสหายเซียนหลายร้อยท่านนี้ ช่วยบุตรีของข้าพร้อมสหายเซียนจินด้วยหรือไม่?”
คิดจะให้ข้าล่วงเกินผู้อื่น? จินเฟยเหยามองดูด้านล่าง ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหมดมองนางด้วยสายตาเย็นชา ในฐานะที่เป็นคนช่วยไห่หลันอินออกมาคนแรกสุด ถ้านางบอกว่าไม่รู้จักคนเหล่านี้ต่อหน้าทุกคน เกรงว่าจุดจบหลังจากนี้จะอเนจอนาถยิ่ง แต่ถ้าบอกว่าคนเหล่านี้ก็เป็นคนช่วยไห่หลันอิน ภูเขาเต้าไถก็ยากจะปฏิเสธเงินก้อนใหญ่นี้ได้ ถึงตอนนั้นจะผลักภาระทั้งหมดมาไว้ที่ตนเอง
ในเวลานี้ จะตอบว่าอย่างไรดีนะ! จินเฟยเหยาลังเล ถ้าพูดไม่ดี ตนเองอาจจะตอแยหาความยุ่งยากใส่ตัว