คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 265 เจ้าเป็นของข้าแล้ว
ในช่วงวิกฤติ แสงสีม่วงทางด้านข้างพุ่งมาโจมตีศีรษะของเทาเที่ยอย่างหนักหน่วง เทาเที่ยหันหน้าไปคำราม บนศีรษะมีโลหิตสดไหลลงมาทันที
จู๋ซวีอู๋ฉวยโอกาสนี้บนร่างปรากฏแสงสีเขียวสายหนึ่งลอยออกไปพันบนต้นไม้ด้านข้างแล้วฉุดลากตัวเขาออกห่างจากปากเทาเที่ย
“ขอบคุณอาจารย์” จู๋ซวีอู๋ร่างกระแทกพื้น เอ่ยขอบคุณเบาๆ
พอใช้การรับรู้ตรวจสอบดูอีกครั้ง จู๋ซวีอู๋ก็ยิ้มอย่างขมขื่น กระดูกทั่วร่างหักเจ็ดสิบสามแห่ง นี่แค่กรงเล็บเดียวของเทาเที่ยเท่านั้น หรือว่าเพื่อให้กินสะดวกจึงทุบกระดูกให้หักก่อน
“เจ้าอย่าทำเรื่องน่าขำอีก ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าสามารถสอดมือได้แล้ว” ข้างกายจู๋ซวีอู๋มีสาวน้อยอายุสิบขวบคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยน่ารัก สวมชุดกระโปรงลายดอกไม้เล็กๆ สีม่วง แต่งหน้าทาแป้งงดงามอย่างยิ่ง นางมองจู๋ซวีอู๋ด้วยสายตาตาข่ายลมคม รัศมีสีม่วงโอบล้อมทั่วร่าง กระพริบแสงสีม่วงวิบวับ
เวลานี้เทาเที่ยถูกผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ล้อมไว้ จู๋ซวีอู๋มองสาวน้อยข้างกายอย่างจนใจ เอ่ยพึมพำว่า “อาจารย์ ถึงอย่างไรข้ากับนางก็เคยรู้จักกัน”
“เจ้ากำลังพูดเหลวไหลอะไร! เพราะเหตุใดเจ้าจึงเข้าสู่หนทางแห่งการบำเพ็ญเซียน หรือว่าเพื่อใจอ่อนเหมือนสตรี? ถ้าเป็นเช่นนี้ เจ้าสลายพลังฝึกปรือแล้วกลับลงไปอยู่โลกมนุษย์เถอะ” สาวน้อยมองเขาอย่างเย็นชาแล้วตวาด
“อาจารย์ ศิษย์ทราบความผิดแล้ว” จู๋ซวีอู๋ถอนหายใจยาว เอ่ยเสียงแผ่วเบา
พอมือของสาวน้อยถอยไป จู๋ซวีอู๋ก็ถูกผลักเข้าไปในวงเวทการป้องกันที่เตรียมไว้นานแล้ว นี่คือสถานที่ซึ่งให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่ได้รับบาดเจ็บหลบชั่วคราวโดยเฉพาะ จากนั้นนางก็ก้าวเข้าไปใกล้เทาเที่ยอย่างสง่างาม
เทาเที่ยถูกผู้บำเพ็ญเซียนหลายสิบคนล้อมไว้ ราวกับมันรู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้คิดจะจับเป็นมัน จึงไม่ได้ลงมืออย่างอำมหิต ดังนั้นเทาเที่ยจึงไม่กลัวพวกเขาสักนิด ถึงกับคิดฉวยโอกาสที่พวกเขาไม่กล้าลงมือรุนแรง ซ้อนแผนคิดจะกินคนเพิ่มอีกหลายคน
ความตะกละและเจริญอาหารของมันทำให้คนทอดถอนใจ เพิ่งถูกเชือกทองเส้นหนึ่งล่ามไว้ มันก็ร้องคำรามแล้วเอาหัวพุ่งชน ทำเอาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตสองคนถูกชนลอยออกไป สะบัดหางทีหนึ่ง สายลมคลั่งก็พัดม้วนขึ้น ผิวดินหนาหลายจั้งถูกตัดออกไปทันที เทาเที่ยฉวยโอกาสที่ตนเองมีเรี่ยวแรงเยอะทำลายเวทป้องกันนานาชนิดที่บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนใช้อย่างต่อเนื่อง
มีตาข่ายขนาดยักษ์ลอยมาปกคลุมมันไว้จากหัวจรดเท้าอีก เทาเที่ยพยายามดึงตาข่ายและส่งเสียงร้องคำรามขึ้นฟ้า จากนั้นฉีกกระชากอย่างแรง คิดไม่ถึงว่าของวิเศษชั้นบนชิ้นนี้จะถูกมันฉีกจนขาดและมุดออกมาจากข้างในครึ่งตัว
“เก็บ!” ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่าที่โยนของวิเศษชิ้นนี้ออกมา สายตาของเขาเคร่งเครียด ทำมุทราแล้วถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป ตาข่ายขนาดยักษ์ที่ขาดก็เริ่มรวบเข้าหากันและรัดบนร่างของเทาเที่ยแน่น
“โฮก!” เทาเที่ยคำรามอย่างเดือดดาล ร่างถูกตาข่ายขนาดยักษ์รัดจนโลหิตสดไหล ขาหน้าก้าวมาข้างหน้า ไอปิศาจสีดำแผ่ออกมา ในไอปิศาจมีเปลวเพลิงสีดำปะปนอยู่ เปลวเพลิงสีดำแล่นไปตามตาข่ายขนาดยักษ์ และเผาตาข่ายขนาดยักษ์ขาดทันที
ถ้าจินเฟยเหยาเจอของวิเศษชั้นบนเช่นนี้ ต่อให้นางใช้เรี่ยวแรงดูดน้ำนมมารดาก็ไม่มีทางใช้ไฟนรกเผาตาข่ายขาด ทว่าในมือของเทาเที่ยมีปริมาณไฟนรกมากกว่าตอนที่จินเฟยเหยาใช้หลายเท่า
“ทำให้มันบาดเจ็บแล้วค่อยจับ!” เห็นว่าถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ถ้าถูกคนเผ่ามารพบเห็นก็ยุ่งแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่าอีกคนหนึ่งโยนกระบี่บินที่มีแสงสีแดงกระพริบออกมาฟันเทาเที่ย
เทาเที่ยก็อ้าปากยิงแสงสีขาวสายหนึ่งออกมา แล้วกลายเป็นโล่ขนาดยักษ์อย่างรวดเร็วไปสกัดกระบี่บินเล่มนั้นไว้เสียงดังเคร้ง โล่ยักษ์เห็นได้ชัดว่าโปร่งใส ตรงกลางมีริ้วสีแดงและสีทองปะปนอยู่เล็กน้อย โล่ยักษ์และกระบี่บินปะทะกันเสียงดัง
นี่คืออะไร! ทุกคนตะลึงงัน เทาเที่ยยังมีของวิเศษแก่นชีวิตด้วย?
ในเวลานี้เอง เทาเที่ยอ้าปาก แสงสีขาวอีกสายหนึ่งก็ลอยออกมา ค้อนหัวสุนัขป่าอันหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ทุบกระบี่บินที่กำลังต่อกรกับโล่ยักษ์ กระบี่บินส่งเสียงดังติงแล้วก็ถูกค้อนหัวสุนัขป่ากระแทกออกไป
ทงเทียนหรูอี้ภายใต้เจตจำนงของเทาเที่ยกลายเป็นรูปร่างนานาชนิดโจมตีใส่ผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้าน จากนั้นมันก็สลัดหลุดออกจากเวทป้องกัน กระโดดขึ้นงับแขนของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่าคนหนึ่งขาดจึงหลบหนีออกจากวงล้อม
“โจมตี! โจมตี! อย่าให้มันหนีไปได้!” เสียงเร่งเร้าอย่างรีบร้อนดังขึ้นในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียน
จู๋ซวีอู๋นอนอยู่บนพื้น มองแขนของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่าที่ถูกมันคาบหนีไป พลันเอ่ยว่า “ถ้าตอนนั้นข้าบอกนางตรงๆ จากนั้นเลี้ยงอาหารนาง เกรงว่าคงไม่กลายเป็นเช่นนี้ อ้อมค้อมก็เป็นความผิดอย่างหนึ่งสินะ หึหึหึ”
นอกจากเขา ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ต่างหัวเราะไม่ออก เป็นไปไม่ได้ที่จะล้อมไว้ทันที จะทุบตีก็ต้องควบคุมระดับพลัง ใช้พลังเบาไปก็ไม่ได้ผล ถ้าลงมือหนักไปฟาดตายทันทีจะทำอย่างไร คนหลายสิบคนลงมือพร้อมกันอาจจะทำให้มันตายได้ในกระบวนท่าเดียว
“ทุกคนระวัง อย่าทุบตีให้ตายเด็ดขาด! ต่ำกว่าขั้นแปลงจิตลงไปให้เฝ้าและกักขังเป็นหลัก เลือกขั้นว่างเปล่าออกมาโจมตีคนหนึ่งก็พอ!” ในผู้บำเพ็ญเซียนยากนักที่จะมีผู้นำปรากฏขึ้นออกคำสั่งกรีดมือวาดเท้าอยู่ตรงนั้น
พอทุกคนเห็น เป็นเพียงชนชั้นไร้นามขั้นแปลงจิตคนหนึ่ง ทว่าตอนนี้สับสนวุ่นวายจึงได้แต่เชื่อฟังเขา ขั้นแปลงจิตลงมาต่างถอนการโจมตี ส่วนขั้นว่างเปล่ายามกะทันหันไม่รู้ว่าสมควรเลือกใครดี
“ข้าเอง!” ในเวลานี้มีเสียงนุ่มนวลดังมา พอทุกคนเห็น เป็นอาจารย์ของจู๋ซวีอู๋ สาวน้อยหน้าตาอ่อนเยาว์คนหนึ่งก้าวออกมา
“ถงเมิ่งเจินเหริน ขอมอบให้ท่าน” พอทุกคนเห็นนางก็มอบงานนี้ให้ทันที คนอื่นๆ ไปกักเทาเที่ยต่อ ไม่ให้มันทำร้ายคนและหลบหนีไป
การโจมตีสะเปะสะปะเมื่อครู่ทุบตีจนเทาเที่ยโลหิตอาบร่างแล้ว ขนยาวสีดำถูกโลหิตสดแปะติดไว้ด้วยกันเป็นก้อนๆ สูญเสียความมันวาวในยามปกติไปนานแล้ว ราวกับเทาเที่ยตระหนักได้ถึงอันตราย สายตาของมันมองสาวน้อยที่ไร้พิษภัยคนนั้น
“วายุบงกชม่วง” ถงเมิ่งเจินเหรินกางสองมือออก ก้อนสีม่วงในมือนางบินร่ายรำ อานุภาพกดดันและพลังวิญญาณที่ทำให้คนใจเต้นรัวแผ่ขยายออกมา
ม่านตาของเทาเที่ยหดเล็กลง หลังโก่งขนสีดำชี้ชัน จับจ้องถงเมิ่งเจินเหรินด้วยสายตาดุร้าย
ถงเมิ่งเจินเหรินเป่าเบาๆ ก้อนสีม่วงก็เตรียมลอยออกไป
ทันใดนั้น เจตนาสังหารก็แล่นปราดมาจากรอบด้าน ทุกคนต่างพบเจตนาสังหารที่มาอย่างไม่คาดฝันจึงรีบมองไปโดยรอบ เห็นผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ขั้นกำเนิดใหม่สองร้อยกว่าคนและสัตว์ปิศาจขั้นแปดกระโดดออกมา เจตนาสังหารพุ่งเข้าใส่ทุกคน
“แย่แล้ว! เผ่ามารมาแล้ว” ฉากนี้คุ้นตาเกินไปจริงๆ เป็นเวทหุ่นเชิดของจอมมารหงที่น่าชังของเผ่ามารมิใช่หรือ! คิดไม่ถึงว่าจะได้ข่าวและแล่นมาชิงเทาเที่ย
ถงเมิ่งเจินเหรินเห็นฉากนี้ก็รีบใช้วายุบงกชม่วงโจมตีเทาเที่ย ขอเพียงชิงจับเทาเที่ยได้ก่อนเผ่ามาร ครั้งนี้ก็ถือว่าเผ่ามนุษย์ชนะ!
ก้อนสีม่วงที่มีขนาดใหญ่เพียงกำปั้นลอยไปหาหน้าผากของเทาเที่ยและแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว แสงสีม่วงสายแล้วสายเล่าหมุนวนตามด้านหลังมัน ขณะที่แลเห็นว่ากำลังจะโจมตีโดนเทาเที่ย พลันมีเงาดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหน้าผากของเทาเที่ย
ชุดยาวสีดำล่องลอย เส้นผมสีดำปลิวไสว ผู้มาพอดีเป็นจอมมารหลง มือของเขาผนึกคาถาอย่างรวดเร็วจนดวงตาเห็นเพียงเงาตกค้าง ชั่วพริบตาที่วายุบงกชม่วงเข้ามาใกล้เขาก็ผนึกคาถาเสร็จสิ้น แสงรัศมีลวดลายซับซ้อนสายหนึ่งโจมตีเข้าไปในสมองของเทาเที่ย
ชั่วเวลาครึ่งอึดใจ วายุบงกชม่วงจู่โจมใส่อากาศและบินออกมาจากสถานที่ซึ่งเดิมทีมีเทาเที่ย ส่วนจอมมารหลงหิ้วเทาเที่ยที่สูงเพียงครึ่งตัวคนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เทาเที่ยสูญเสียลักษณะก่อนหน้านี้ไป ดวงตาใต้วงแขนหายไป ลำตัวอวบอ้วนราวกับสุนัขขนาดใหญ่ แทบจะไม่มีพลังการบำเพ็ญเพียรและทั่วร่างมีโลหิตสดหยดลงมาไม่หยุด
หลงหิ้วเทาเที่ยที่เหมือนสุนัขขนาดใหญ่ตัวนี้ เอ่ยกับถงเมิ่งเจินเหรินอย่างเย็นชา “นี่เป็นสัตว์เฝ้าบ้านของข้า พวกเจ้าจะจับมันเคยถามข้าแล้วหรือยัง” สิ้นเสียง เกาะลอยได้ทั้งเกาะพลันเปลี่ยนเป็นมืดมิด
ภายในห้วงการรับรู้ ลวดลายที่จู่โจมเข้าสมองของเทาเที่ยปรากฏขึ้นกลางอากาศของห้วงการรับรู้ หลังจากกระพริบอยู่หลายครั้งก็หายไป จากนั้นกลางอากาศปรากฏจุดสีดำเล็กๆ เทาเที่ยน้อยตัวหนึ่งร่วงลงมาจากท้องฟ้า พุ่งหัวทิ่มลงไปในน้ำทะเลสีดำ จากนั้นมันก็ขึ้นมาบนผิวน้ำและตะกุยขาว่ายน้ำ
จินเฟยเหยาที่ลอยอยู่ในห้วงการรับรู้ค่อยๆ ลืมตาและลุกขึ้นนั่งบนผิวทะเล ลูบศีรษะแล้วมองไปรอบด้าน ทันใดนั้น นางรีบลูบคลำบนร่าง หลังจากพบว่าครบสมบูรณ์ไม่มีสิ่งใดบุบสลายจึงโล่งอกและเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ตกใจแทบตาย ข้านึกว่าจะถูกหยวนเหมิ่งที่น่าชังคนนั้นสังหารทิ้งเสียแล้ว ข้าว่าหาวิธีกลับโลกระดับวิญญาณดีกว่า ที่นี่น่ากลัวเกินไป”
จินเฟยเหยาลุกขึ้นมองและรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง “ข้ามาอยู่ในการรับรู้ได้อย่างไร หรือว่ากายเนื้อของข้าตายแล้ว? ไม่ถูกสิ ถ้าข้าตายคงไม่มีห้วงการรับรู้แล้ว”
ในเวลานี้เอง เทาเที่ยก็ว่ายมาถึงข้างเท้านางและกระโดดขึ้นบนผิวทะเล สะบัดขนทั่วร่างและเงยหน้าขึ้นมองจินเฟยเหยา
“เอ๋? เหตุใดเจ้าจึงมีเลือดเต็มตัว อยู่ที่นี่เจ้าก็กลายเป็นแบบนี้ได้ มีความสามารถมากเกินไปแล้ว เจ้าได้มาอย่างไร?” จินเฟยเหยาเห็นมันอ่อนโยนใจดีจึงลูบหลังมัน พอพบว่าบนมือเต็มไปด้วยโลหิตสดก็อดเอ่ยอย่างตกตะลึงไม่ได้
เทาเที่ยได้ยินคำพูดของนางก็บิดกายอย่างเย่อหยิ่งดำลงไปในน้ำทะเลสีดำทันทีและหายไปโดยไร้ร่องรอย
“เชอะ เสียศักดิ์ศรี” อารมณ์ของมันถ่ายทอดมาถึงจินเฟยเหยาทันที นางอดด่าทอยิ้มๆ ไม่ได้
“จะว่าไปแล้วข้าสมควรออกไปดูหน่อย สัตว์ปิศาจภายนอกมากมายขนาดนั้น คงไม่ได้กินข้าต่างเนื้อย่างหรอกนะ แต่เพลิงใหญ่ขนาดนั้น ต่อให้ย่างสุกก็คงจะดำเป็นถ่าน ใครจะกินลง” จินเฟยเหยาสั่นศีรษะพลางหัวเราะ คิดจะนำการรับรู้ออกจากห้วงการรับรู้
เดิมทีเพียงแค่คิดก็สามารถออกไปได้ นางกลับพบว่าตนเองถึงกับออกไปไม่ได้ ทดลองอยู่หลายครั้งก็ไม่ได้ จินเฟยเหยายืนอึ้งอยู่บนผิวทะเล ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ในขณะที่นางกังวลว่าตนเองต้องอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต กลางท้องนภาพลันมีหลุมสีดำปรากฏขึ้น จินเฟยเหยารู้สึกว่าพอสติวูบไหวคนก็ไปอย่างเลอะเลือน
“ใต้เท้าหลง ท่านบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว” ข้างหูจินเฟยเหยามีคำพูดดังมา คำว่าใต้เท้าหลงทำให้นางสะดุ้งและลืมตาขึ้น จากนั้นก็เห็นจอมมารหลงนั่งยองๆ อยู่ข้างกายนาง
เห็นนางฟื้นขึ้นมา จอมมารหลงก็ยื่นมือมาลูบศีรษะนาง จากนั้นเอ่ยว่า “นับจากวันนี้ไป เจ้าเป็นของข้าแล้ว”
“หา?” จินเฟยเหยามองเขาอย่างงุนงง ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น