คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 268 หลุดพ้น
ฟังคำพูดของพวกเขาแล้ว จินเฟยเหยารู้สึกว่าโลกวิญญาณหนานเฟิงดูเหมือนจะเหมาะสมกับตนเอง คนที่ฝึกเคล็ดวิชาชั่วร้ายกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกัน คงไม่มีใครรังเกียจตนเอง
แต่พอคิดดูอีกที จินเฟยเหยารู้สึกว่าตนเองไปจากที่นี่ไม่ได้ชั่วคราว ตอนนี้ตนเองอยู่ข้างกายจอมมารหลงมีอาหารกินมีที่อยู่ทั้งยังปลอดภัย ถ้าหนีไปสุ่มสี่สุ่มห้าต้องถูกตามจับแน่ คิดๆ ดูแล้วตนเองเป็นที่ต้องการขนาดนี้ ดูเหมือนนางกระหยิ่มใจนิดๆ
คิดไปคิดมา จินเฟยเหยาตัดสินใจอยู่กับจอมมารหลงที่นี่เจี๋ยหยวนอิงแล้วค่อยว่ากัน ถึงอย่างไรหลังจากขั้นกำเนิดใหม่ตนเองก็กลับคืนสู่ร่างมนุษย์ได้ ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถใช้ปลอกคอล่ามตนเองได้
เรือกระดูกร้อยสรรพสัตว์บินๆ หยุดๆ ใช้เวลาหลายวันจึงมาถึงจุดหมาย ระหว่างทางผ่านเกาะลอยได้สิบกว่าเกาะ เรือกระดูกล้วนต้องหยุดลง จากนั้นบนเรือกระดูกก็มีขากระดูกยาวๆ สี่ข้างงอกออกมาใช้เดินข้ามทะเลเมฆ แล้วจึงเริ่มเหาะอีกครั้ง
เห็นฉากประหลาดเช่นนี้ จินเฟยเหยาก็ไม่เข้าใจ ช่องว่างระหว่างเกาะลอยได้ทะเลเมฆใช้สำหรับสกัดสิ่งใดกันแน่ ราวกับเจ้ามาถึงเขตแดนของข้าก็ต้องเดินตามเส้นทางหลัก นอกจากบีบให้คนเดินเท้าแล้วก็ไม่มีประโยชน์อย่างอื่น
จุดหมายปลายทางคือเกาะลอยได้ที่มีขนาดเพียงห้าสิบหมู่ บนเกาะนอกจากตรงกลางมีแท่นราบที่เกิดจากการฟันก้อนศิลายักษ์ก็เป็นทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม ไม่มีต้นไม้และไม่มีก้อนหินที่สามารถซ่อนตัวได้ ทำให้คนมองแวบเดียวก็เห็นหมดทุกอย่าง เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการเจรจาจริงๆ
เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย หลังจากเรือกระดูกมาถึงเกาะลอยได้แห่งนี้ก็ลอยอยู่กลางอากาศตลอดเวลา ไม่ได้ลงจอด รอจนผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ขับเรืออันงดงามมาถึง ทุกคนจึงลงบนเกาะลอยได้พร้อมกัน เวลานี้หลงจึงลุกจากหลังจินเฟยเหยา ส่วนจินเฟยเหยารู้สึกว่าหลังแทบหัก เป็นหมอนอิงมีชีวิตไม่ใช่เรื่องที่คนทำจริงๆ จินเฟยเหยาสะบัดขนยาวทั่วร่างเดินอยู่ด้านหน้าจอมมารหลงแบบจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์ส่ายอาดๆ ลงจากเรือกระดูก
นางเพิ่งร่อนลงบนเกาะลอยได้ก็พบกับสายตาเคียดแค้นและร้อนแรงของผู้บำเพ็ญเวียนเผ่ามนุษย์ นางกินผู้บำเพ็ญเซียนไปไม่น้อย อีกทั้งตอนนี้ยังตกอยู่ในมือของเผ่ามาร มองอย่างไรเผ่ามนุษย์ก็ขาดทุน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเทาเที่ยตัวนี้เดิมทีเป็นเผ่ามนุษย์ ตอนแรกยังนั่งเรือเหาะของเผ่ามนุษย์มาโลกระดับเทพ
ราวกับวันที่สองที่ให้สาวใช้แต่งงานออกไปแล้วจึงพบว่านี่คือสตรีผู้งามล้ำคนหนึ่ง ทำให้ในใจของผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์เหล่านี้รู้สึกย่ำแย่
เวลานี้จินเฟยเหยาแสร้งเป็นใบ้ นางไม่คิดจะให้ทุกคนรู้ว่าตนเองเป็นคนซึ่งคลุมหนังสัตว์ ไม่เช่นนั้นถ้ามีคนมาแก้แค้นก็ยุ่งแล้ว แสร้งเป็นสัตว์ปิศาจที่ไม่รู้เรื่องสะดวกกว่ามาก ต่อให้เจ้ามีความแค้นยังจะเอาเรื่องสัตว์ปิศาจที่ไม่รู้อะไรตัวหนึ่งหรือ อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นช่วงที่สองเผ่าเจรจาร่วมมือกันด้วย
ผู้อาวุโสขั้นแปลงจิตขึ้นไปล้วนต้องไปเจรจาบนแท่นศิลา สองเผ่ากลับแยกกันยืนอยู่คนละฝั่ง เพื่อป้องกันเจรจาไม่สำเร็จเกิดการต่อสู้ขึ้น ส่วนจินเฟยเหยากลับถูกทิ้งไว้ด้านล่างแท่น
นางไม่สนใจจะฟังเรื่องเดิมๆ พวกนี้ และยิ่งไม่อยากถูกจอมมารหลงใช้ต่างหมอนอิง ย่อมต้องชอบอยู่ด้านล่างแท่นราบ จินเฟยเหยานอนอยู่บนพื้นอย่างเกียจคร้าน ใช้มือคว้าดอกไม้เล็กๆ ในพงหญ้ามาเล่น
สถานที่ที่นางอยู่ค่อนข้างใกล้กับเผ่ามนุษย์ เป็นไปได้ว่าหลงไร้เจตนาและก็อาจเป็นไปได้ว่าเขาจงใจทำแบบนี้ คิดจะให้พวกเผ่ามนุษย์มองดูว่าแม้แต่เทาเที่ยข้าก็จับได้ ส่วนพวกเจ้าได้แต่มอง
ผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามารส่วนมากต่างเคยเห็นนาง ทว่าผู้บำเพ็ญเวียนเผ่ามนุษย์กลับมีไม่กี่คนที่เคยเห็นนางในลักษณะนี้ ทุกคนมองอยู่ไกลๆ อย่างสงสัย ไม่มีใครก้าวมาข้างหน้า แต่ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังมีคนเดินมาหยุดอยู่ข้างกายจินเฟยเหยา
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมอง เหตุใดจึงเป็นพวกเขาอีกแล้ว กระดูกที่หักทั่วร่างของจู๋ซวีอู๋เชื่อมต่อกันแล้ว อีกทั้งด้านหลังยังมีไป๋เจี่ยนจู๋ขมวดคิ้วเดินตามมา
ในเมื่อเป็นคนรู้จัก จินเฟยเหยาก็ขัดเขินที่จะนอนต่อจึงลุกขึ้นนั่ง เพียงแต่ตอนนี้นางมีลักษณะเช่นนี้ ต่อให้ลุกขึ้นนั่งก็ดูเหมือนสัตว์ปิศาจตัวหนึ่งลุกขึ้นนั่งเท่านั้น
นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจึงตั้งใจมองพวกเขาสองคนโดยไม่ส่งเสียงสักแอะ
จู๋ซวีอู๋มองนางแล้วถอนหายใจยาว หยิบผลไม้ที่จินเฟยเหยาทิ้งไว้ที่ตำหนักซวีชิงตอนจากไปออกมาจากถุงเฉียนคุน นี่ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นเพียงผลไม้สีแดงสองผล ส่วนสิ่งอื่นๆ คนของตำหนักซวีชิงแบ่งกันกินหมดแล้ว ผลไม้สองผลนี้จู๋ซวีอู๋ใส่ไว้ในถุงเฉียนคุนจนลืม
เขาวางผลไม้สีแดงลูกเท่าศีรษะสองผลลงเบื้องหน้าจินเฟยเหยาแล้วนั่งลงบนพื้นหญ้ายื่นมือออกมาคิดจะลูบขนสีดำของจินเฟยเหยา กลับรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมจึงหดมือกลับแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ข้าว่าตอนนี้เจ้าคงไม่อยากกินผลไม้แล้วสินะ แต่ข้ายังเอามาให้เจ้า”
ไม่กินก็เสียเปล่า เรื่องที่ท่านคิดจะเอาเปรียบข้าข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับท่านเลย ผลไม้ข้าก็จะเก็บคืน จินเฟยเหยามองผลไม้เบื้องหน้าแวบหนึ่ง ใช้กรงเล็บดึงเข้าสู่อ้อมอก กินลงไปโดยไม่กัด
จู๋ซวีอู๋มองนางกินผลไม้ก็ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้ามีความอยากอาหารมากกว่าเมื่อก่อนนะ เพียงแต่น่าเสียดาย ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกลายเป็นเทาเที่ยตอนขั้นหลอมรวม ข้าสำนึกเสียใจอยู่บ้าง ถ้าตอนนั้นข้าพูดกับเจ้าอย่างชัดเจน ก็สามารถนำเทาเที่ยไปตามวิธีการของข้าได้โดยที่ยังไม่มีคนอื่นรู้ เห็นตอนนี้เจ้ากลายเป็นสัตว์ภูติของคนอื่น ทั้งยังถูกล่าม ท่าทางจอมมารคนนั้นคงจะไม่ดีต่อเจ้า”
“ซือจู่ ข้าพูดกับนางสักหลายประโยคได้หรือไม่?” ไป๋เจี่ยนจู๋ยืนอยู่ด้านหลังเขา ขมวดคิ้วพลางเอ่ยวาจา
“อืม เจ้าพูดเถอะ ขอเพียงไม่กระทำเรื่องเกินความเหมาะสม คนเผ่ามารเหล่านี้น่าจะไม่ลงมือ” จู๋ซวีอู๋มองไปทางคนเผ่ามาร พบว่าพวกเขาล้วนผ่อนคลายอย่างยิ่ง ไม่กลัวว่าเทาเที่ยจะถูกชิงไปเลยสักนิด
ที่จริงคนเผ่ามารเหล่านี้ล้วนถูกปริมาณอาหารในแต่ละวันของจินเฟยเหยาทรมานแทบตายแล้ว ตอนนี้อยากจะให้มีคนเผ่ามนุษย์รีบลักพาตัวนางไปใจแทบขาด แบบนี้ตนเองจะได้ปลดแอกเสียที ใต้เท้าหลงเลี้ยงสัตว์เลี้ยง สุดท้ายคนรับเคราะห์กลับเป็นพวกเขา มีชีวิตอยู่มาตั้งหลายร้อยหลายพันปี สุดท้ายคิดไม่ถึงว่าจะร่วงชั้นลงมาเป็นพ่อครัว
จู๋ซวีอู๋ไม่รู้ว่าเผ่ามารกำลังคิดอะไรอยู่ เห็นพวกเขาท่าทางสงบนิ่งนึกว่าบนตัวจินเฟยเหยามีการป้องกันจำนวนมากปกป้องอย่างแน่นหนา คนธรรมดาขโมยนางไปไม่ได้ ดังนั้นจึงกล้าปล่อยให้คนเผ่ามนุษย์เข้าใกล้ได้ตามสบายและไม่เข้ามาตรวจสอบเลยสักนิด
ไปเจี่ยนจู๋มองไปรอบด้าน จากนั้นนั่งยองๆ ลงเบื้องหน้าจินเฟยเหยา เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องอยากพูดแต่กลับไม่พูด เงียบงันอยู่นาน
ส่วนจินเฟยเหยาก็นั่งมองเขาอยู่ตรงนั้นตลอด เห็นเขาไม่เอ่ยวาจาอยู่นานก็คิดจะยกกรงเล็บใส่เขาสักหน่อย ดังนั้นเพิ่งคิดจะขยับกรงเล็บไป๋เจี่ยนจู๋กลับเอ่ยวาจา “ตอนนี้เจ้าต้องเจ็บปวดอย่างยิ่งแน่ มิสู้ให้ข้าส่งเจ้าออกเดินทางเป็นอย่างไร?”
หืม? จินเฟยเหยาเหงื่อแตก นี่หมายความว่าอย่างไร!
จู๋ซวีอู๋ก็มองเขาอย่างตกตะลึง นี่คิดจะทำอะไร คนนับพันยืนอยู่ตรงนี้ เจ้าจะลงมืออย่างไร
ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่มองจู๋ซวีอู๋ ทว่าจ้องมองนัยน์ตาสัตว์ที่เป็นประกายของจินเฟยเหยาแล้วเอ่ยต่อ “พวกเรารู้จักกันมาสองร้อยปี จากศัตรูมาเป็นเพื่อนบ้าน ถือว่ารู้จักกันคราหนึ่ง ถึงแม้จนถึงบัดนี้เจ้าจะไม่ได้บอกว่าเพราะเหตุใดตอนนั้นจึงหัวเราะ แต่ข้าไม่ได้ติดอยู่ในปมนั้นแล้ว บนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเซียนหากสติสัมปชัญญะไม่มั่นคงจะสำเร็จมหามรรคได้อย่างไร ข้านำยาเก้าพิษมาหนึ่งเม็ด หลังกินลงไปยี่สิบชั่วยามต่อมาพิษจะออกฤทธิ์ตาย แบบนี้เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะกระทบถึงสันติภาพของสองเผ่าและสามารถหลุดพ้นจากความเจ็บปวดในตอนนี้ได้”
หลังชะงักไป เขาก็เอ่ยด้วยสายตาแน่วแน่ “คนที่คิดจะฆ่าเจ้าแต่แรกคือข้า ตอนนี้ให้ข้าจบชีวิตเจ้าเถอะ”
“เจี่ยนจู๋ ถ้าตรวจสอบพบ เจ้าต้องตายนะ” จู๋ซวีอู๋อดกระซิบไม่ได้
ไป๋เจี่ยนจู๋ส่ายศีรษะอย่างไม่หวั่นเกรง “ซือจู่ ข้าไม่กลัว อีกอย่างยาเก้าพิษใช้เวลาสิบสองชั่วยามจึงออกฤทธิ์ ถึงตอนนั้นคงเจรจาเสร็จเรียบร้อยแล้ว คนเผ่ามารต้องกลับไปหมด ขอเพียงไม่ยอมรับก็ไม่มีใครสงสัยว่าพวกเราทำ”
“เฮ้อ ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว คาดว่าถ้าเฟยเหยายังอยู่ ต้องเห็นด้วยแน่นอน นางอยากเป็นอิสระมาตลอด คงไม่อยากเห็นตนเองกลายเป็นเช่นนี้”
จินเฟยเหยาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ตอนนี้ข้าใช้ชีวิตมีกินมีแดดอาบดีๆ คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าสองคนจะวางยาพิษข้าให้ตาย อีกทั้งด้านหนึ่งก็ทำเพื่อข้า อีกด้านหนึ่งก็คิดเพื่อข้า คิดจะทำอะไร!
“พวกเจ้าสองคนบ้าหรือเปล่า ยาเก้าพิษอะไร ถ้าจะกินก็เอากลับไปกินที่บ้านเอง” จินเฟยเหยาหรี่ตาพูดใส่พวกเขาสองคนอย่างไม่พอใจ
ถ้ายังไม่พูดอีกไม่แน่ว่าพวกเขาสองคนยังมีกระบวนท่าชั่วร้ายอะไรเตรียมไว้ คิดจะหาโอกาสสังหารตนเองให้ตายได้ทุกเมื่อ
จู๋ซวีอู๋และไป๋เจี่ยนจู๋ขนาดฝันยังคิดไม่ถึงว่าเทาเที่ยตัวนี้จะพูดภาษามนุษย์ได้ อีกทั้งสำเนียงและน้ำเสียงยังเป็นของจินเฟยเหยา ทั้งสองคนตะลึงงันทันที มองนางอย่างตื่นตระหนกอยู่นาน จู๋ซวีอู๋จึงได้สติคืนมา “จินเฟยเหยา?”
“อืม ข้าเอง” จินเฟยเหยาตอบรับ
ราวกับไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่เห็นเบื้องหน้า จู๋ซวีอู๋ยื่นมือไปคลำกรงเล็บของนาง เห็นจินเฟยเหยาไม่ได้หลบเลี่ยงก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “เป็นเจ้าจริงๆ ข้านึกว่าเจ้าหายไปแล้วและกลายเป็นเทาเที่ยโดยสมบูรณ์ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
“ทำให้พวกเจ้าสองคนผิดหวังแล้วที่สังหารข้าไม่ได้” จินเฟยเหยามองพวกเขาสองคนแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ ใบหน้าของไป๋เจี่ยนจู๋เปลี่ยนจากประหลาดใจเป็นงุนงงแล้วกลายเป็นอับอาย ไม่ส่งเสียงเลยสักนิด ยืนขึ้นแล้วเดินจากไปและเข้าไปในกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์
จินเฟยเหยามองท่าทางกระอักกระอ่วนของเขาแล้วเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เขากระอักกระอ่วนอะไร นี่เขาคิดจะวางยาพิษข้าให้ตายก่อนนะ ตอนนี้วางยาไม่ได้ก็เลยไม่พอใจหรือ”
“เจ้ารู้ชัดๆ ว่าเขาไม่ใช่คนเช่นนั้น คิดจะสังหารเจ้าให้ตายยังมิใช่คิดเพื่อเจ้าหรือ” จู๋ซวีอู๋มองพินิจจินเฟยเหยาอย่างละเอียด ไม่รู้ว่ายายนี่เป็นคนเปลี่ยนเป็นเทาเที่ยหรือเพียงแค่ยืมร่างเทาเที่ยคืนวิญญาณ
“พวกท่านสองคนพอเถอะ ก่อนหน้านี้ยังคิดจะวางแผนทำมิดีมิร้ายกับข้า ตอนนี้ยังคิดปล่อยข้าให้เป็นอิสระ มิใช่เห็นข้าอยู่ในมือของคนเผ่ามาร เกรงว่าต่อไปถ้าข้าโตเต็มวัยแล้วจะทำร้ายเผ่ามนุษย์ ดังนั้นจึงส่งพวกเจ้าสองคนมาวางยาพิษข้าให้ตาย” จินเฟยเหยาจุปากเอ่ยถาม
จู๋ซวีอู๋กลับนวดแขนของตนเองพลางเอ่ยว่า “วันนั้นเจ้าใช้ฝ่ามือฟาดกระดูกข้าหักเจ็ดสิบสามแห่ง ลงมือก็อำมหิต ถ้าเจ้าไม่มีเจตนากลายเป็นเทาเที่ยยังดีหน่อย ตอนนี้เจ้าเป็นคนในร่างสัตว์ ข้าก็แค่คิดจะช่วยให้เจ้าหลุดพ้น”
“ข้าขอบอกให้ชัดเจนก่อน กระดูกเจ้าหักเจ็ดสิบสามแห่งเพราะเจ้าแส่หาเรื่องเอง ใครให้เจ้ามีเจตนาร้ายกับข้า บอกว่าเป็นสหายแต่กลับหลอกข้า อีกทั้งตอนนี้ข้ายังอยู่อย่างอิสระ มีกินมีดื่มทั้งยังปลอดภัย พวกเจ้าอย่าคิดเพ้อฝันเอาเองว่าข้ามีชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวดทรมาน อย่าคิดจะช่วยข้าให้หลุดพ้น คนเผ่ามารกลุ่มนี้อยากจะให้พวกเจ้าช่วยทำให้ข้าหลุดพ้นใจแทบขาด แบบนี้พวกเขาจะได้ไม่ต้องรับใช้ข้า” จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูก เอ่ยเตือนอย่างเคร่งขรึม
จู๋ซวีอู๋มองนางอย่างประหลาดใจ “สิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง? เจ้าไม่ยอมตาย?”
“สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง คนโง่จึงยอมตาย ตอนนี้ข้าใช้ชีวิตอยู่อย่างราชา พวกเจ้าสองคนอย่าได้มากระทบถึงข้า” จินเฟยเหยาพยักหน้าอย่างมั่นใจยิ่ง