คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 288 คนใจบุญแห่งเมืองจุ้ยเทียน
จินเฟยเหยาติดตามเหรินเซวียนจือมาถึงเมืองจุ้ยเทียนด้วยความสงสัย เห็นเมืองที่ตั้งอยู่ในโอเอซิสทะเลทรายเบื้องหน้า นางก็โล่งอก นับว่าเจ้าหมอนี่ไม่ได้โกหก
เดิมทีเหรินเซวียนจืออาศัยอยู่ในเมืองจุ้ยเทียน ย่อมไม่จำเป็นต้องหลอกลวงจินเฟยเหยาและไม่มีความรู้สึกซื่อสัตย์อยู่เลย
เห็นเมืองจุ้ยเทียนมีขนาดไม่ถือว่าเล็ก จินเฟยเหยาก็ทอดถอนใจ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ใช้เงินมหาศาลเกินไปแล้ว
เมืองจุ้ยเทียนทั้งหมดสร้างขึ้นจากแก้วที่หลอมจากทราย กำแพง หลังคา แม้แต่ประตูและพื้นก็ปูด้วยแก้ว ส่องประกายระยิบระยับจับตาภายใต้แสงอาทิตย์
ถ้าบอกว่าเมืองจุ้ยเทียนเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนโอเอซิส บอกว่าตัวมันคือโอเอซิสจะดีกว่า นอกกำแพงกระจกที่เรียบลื่นเป็นประกายคือทะเลทรายอันเวิ้งว้าง มียอดต้นไม้ทะเลทรายต้นสูงใหญ่โผล่ออกมาจากบนกำแพงแก้ว มองออกว่าในเมืองต้องมีทั้งน้ำทั้งพืชพรรณ
“ผู้ใดเป็นสร้างเมืองจุ้ยเทียน คิดไม่ถึงว่าจะใช้ทรายหลอมเป็นแก้ว ว่างงานเกินไปแล้ว ต้องใช้เวลามากมายเพียงใด?” จินเฟยเหยาเหาะเข้าไปใกล้เมืองจุ้ยเทียน หยุดลงตรงประตูเมืองและ เงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาถูกแสงสะท้อนของแก้วสาดใส่ตลอดเวลา
“สิ่งนี้ง่ายดายยิ่ง ใช้ลมพัดให้ทรายมากองเป็นรูปร่างที่ต้องการจากนั้นจุดไฟเผาก็พอ” เหรินเซวียนจือเดินมาด้านข้างต่อบทสนทนา
จินเฟยเหยาเบิกตามองเขาราวกับมองดูสัตว์ปิศาจเฒ่าแล้วเอ่ยถาม “พูดนั้นง่ายดาย ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าหรือว่าเจ้าเป็นคนสร้าง?”
เหรินเซวียนจือพยักหน้าอย่างไม่เกรงใจ “ข้าย่อมเป็นคนสร้าง ในโลกนี้ยังมีใครใช้สายลมได้ดีเท่าข้า”
“เจ้าโกหก” จินเฟยเหยาคร้านจะฟังเขาพูดเหลวไหล คนเช่นนี้พอเห็นก็รู้แล้วว่าไม่ทำเรื่องแบบนี้ อีกทั้งคนผู้นี้พูดจาเหลวไหลไม่เชื่อไว้ก่อนเป็นดี
จินเฟยเหยาเดินบนพื้นแก้วที่เรียบลื่นดุจกระจก ยังปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง ลื่นและสว่างเกินไป เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเหรินเซวียนจือเอ่ยว่า “กระโปรงที่เจ้าสวมยาวเกินไป ที่นี่อยู่ในทะเลทราย ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่รังเกียจความร้อนส่วนมากจะสวมกระโปรงยาวครึ่งเดียว ขอเพียงมองบนกระจกก็จะเห็นภาพใต้กระโปรงได้”
จินเฟยเหยาหยุดฝีเท้าทันที มองไปบนพื้นกระจก บนพื้นหลากสีสันสามารถส่องเห็นเงาคนได้ ทว่าเนื่องจากสีสันซับซ้อน จึงมองเห็นไม่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่าพร่าเลือนอย่างยิ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย แค่มองเห็นไม่ชัดจึงสวมกระโปรงสั้น
ทว่าเหรินเซวียนจือกลับอธิบายอย่างไม่ทำให้คนผิดหวัง “อย่าเห็นว่าพื้นกระจกลายตาเกินไป ทว่าสำหรับการมองเห็นของข้ากลับใสกระจ่างราวกับกระจกวารี เพียงแต่ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีมีน้อยเกินไป ข้าทุ่มเทความคิดสร้างเมืองจุ้ยเทียนจนงดงามขนาดนี้ ก็เพียงเพื่อให้มีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีมากกว่าเมืองอีกสองแห่ง เพราะเหตุใดผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ฝึกวิชาชั่วร้ายจึงมีน้อยนัก!”
เห็นท่าทางแค้นเคืองของเหรินเซวียนจือ ในที่สุดจินเฟยเหยาก็เชื่อว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนสร้างเมืองจุ้ยเทียนที่สัปดนแห่งนี้ จงใจทำให้เมืองและพื้นทั้งหมดสว่างไสวก็เพื่อให้เขาแอบมองภาพใต้กระโปรงได้ทุกที่ถ้าผู้บำเพ็ญเซียนสตรีไม่สวมกางเกง
บางทีอาบน้ำแบบไม่สวมอะไรเลยในห้องน้ำกระจกคงถูกเจ้าหมอนี่เห็นหมด บ้าผู้หญิงมากเพียงใดกันแน่ จึงทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้?
“ฉยงฉีเป็นสัตว์ลามกหรือ?” ในที่สุดจินเฟยเหยาก็อดเอ่ยถามไม่ได้
“เป็นไปได้อย่างไร ข้าชอบสตรีก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ข้าได้เคล็ดวิชาดึงพลังหยินมาจากสิ่งตกทอดของผู้อาวุโสที่ล่วงลับท่านหนึ่งโดยบังเอิญ นี่เป็นของวิเศษที่สวรรค์มอบให้ข้า ทำให้ข้าสามารถสำเริงสำราญกับเรื่องที่ดีงามที่สุดในโลกมนุษย์ได้” เหรินเซวียนจือมองจินเฟยเหยาอย่างสง่างาม ราวกับสิ่งที่พูดเป็นเรื่องจริงจังบางอย่าง
จินเฟยเหยารีบเก็บหูกลับ ไม่คิดจะฟังคำพูดสัปดนของเจ้าหมอนี่ สายตาของนางมองไปยังทิวทัศน์รอบด้าน ไม่สนใจเจ้าบ้ากามที่มีท่าทางยินดีด้านข้าง
เมืองจุ้ยเทียนใช้ทรายหลอมสร้าง จึงไม่มีพืชสามารถงอกบนดินได้ ดังนั้นในเมืองทั้งหมดล้วนเป็นแก้วที่เสียดแทงนัยน์ตา ถ้าไม่คิดเรื่องเหรินเซวียนจือเป็นคนบ้ากาม เขาก็เป็นอัจฉริยะด้านสุนทรียศาสตร์และความหลักแหลมจริงๆ
ในบ้านทั้งหมดเขาเหลือสถานที่ซึ่งสามารถปลูกดอกไม้ไว้ให้ ข้างทางมีแปลงดอกไม้ที่สูงหนึ่งคนกว่าและกว้างสองคน เดินไปสิบก้าวข้างทางก็มีต้นไป๋ลู่หยางสูงใหญ่หนึ่งต้น ยอดอันมโหฬารพอดีบดบังแสงอาทิตย์อันร้อนแรงไว้
บนหลังคา หน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมและครึ่งวงกลมล้วนปลูกพืชสีเขียว ออกดอกสีสันสดใส สีแดงสีเหลืองสีม่วงมีทุกเฉดสี ไม่มีใครคิดจะปลูกหญ้าวิญญาณในสถานที่เหล่านี้ ไม่ต้องโตก็ถูกขโมยไปก่อน
ในเมืองย่อมมีวงเวทป้องกันกั้นฝุ่นทรายไว้นอกเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมืองจุ้ยเทียนสะอาดเอี่ยมผิดปกติราวกับเพิ่งใช้น้ำล้าง
“เมืองจุ้ยเทียนงดงามจริงๆ ทำให้คนคิดไม่ถึงว่าจะสร้างขึ้นด้วยน้ำมือคนบ้ากาม” จินเฟยเหยาอดเอ่ยชื่นชมไม่ได้ เมืองแห่งนี้งดงามอย่างยิ่ง สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีชมชอบโดยแท้
“ตอนเจ้าพูดไม่ต้องเอ่ยถึงคำว่าบ้ากามก็ได้ ข้ามีชื่อเสียงในเมืองจุ้ยเทียนดียิ่ง” เหรินเซวียนจือเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
จินเฟยเหยายักไหล่อย่างช่วยไม่ได้พลางเอ่ยถาม “ถ้าไม่มีคำว่าบ้ากาม ก็ไม่สามารถแสดงออกว่าข้าตกตะลึงในความตรงกันข้ามของเจ้าได้”
คนทั้งสองเดินเข้าสู่ถนนสายหลักแล้ว คนบนถนนเพิ่มมากขึ้น คนที่เดินไปมาบนถนนที่กว้างเกินสามจั้งล้วนเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย จำนวนคนน้อยกว่าที่จินเฟยเหยาคิดไว้ ทำให้เมืองจุ้ยเทียนเงียบเหงาอยู่บ้าง ทว่าเหรินเซวียนจือกลับบอกนางว่า ผู้ฝึกเคล็ดวิชาชั่วร้ายส่วนมากชอบความมืดและหนาวเย็น ตอนกลางคืนคนจะเยอะขึ้น กลางวันล้วนหลบซ่อนอยู่ในที่พักของตนเอง
ทว่าคนที่เดินอยู่บนถนนเหมือนกับที่จินเฟยเหยาคิดไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ ซากศพแข็งทื่อเกลื่อนพื้น ผู้ฝึกวิญญาณยังสู้สุนัขไม่ได้ ครึ่งหนึ่งเป็นคนเป็น อีกครึ่งหนึ่งเป็นคนตาย ทางด้านนั้นมีผู้บำเพ็ญเซียนเจ็ดแปดคนที่ไม่รู้ว่าสังกัดสำนักชั่วร้ายอะไร ด้านหลังแต่ละคนมีโลงศพใบหนึ่งลอยอยู่ ใบหน้ามีไอแห่งความตายหนักหน่วง รอบดวงตาเป็นสีดำ
ส่วนประตูร้านอาวุธเวทแห่งหนึ่ง คนที่เข้าออกทั้งหมดล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่แต่งกายหยาดเยิ้มสวมชุดบางเบา บางเบาจนหน้าอกแทบจะทะลักออกมา แปดส่วนต้องฝึกเวทเสน่ห์ดึงพลังหยางเสริมพลังหยินโดยเฉพาะ
พอจินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองป้ายร้านค้าของร้านอาวุธแห่งนี้ เห็นบนนั้นเขียนอักษรตัวใหญ่ไว้ ‘ร้านอาวุธลามก’ อหังการจริงๆ หรือว่ามีผู้ฝึกเวทเสน่ห์เข้าออกมากมายขนาดนี้ อาวุธเวทและของวิเศษที่ขายด้านในทั้งหมดสามารถใช้ยั่วยวนบุรุษได้
นางและเหรินเซวียนจือเพิ่งเดินไป ก็รู้สึกว่าผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเบื้องหน้าแต่ละคนเปลี่ยนเป็นสาวงามหยาดฟ้า ภาพบุรุษสตรีรักใคร่กันลอยมาราวกับภูติพราย เหรินเซวียนจือที่มีสีหน้าวิญญูชนอันเที่ยงธรรมถูกผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเหล่านี้ห้อมล้อม ทว่าเขากลับมีสีหน้าขัดเขิน คิดจะสลัดหลุดจากผู้ฝึกเวทเสน่ห์แบบมือไม้เงอะงะ
จินเฟยเหยาตกตะลึงอย่างหนัก เหรินเซวียนจือแสร้งทำได้เหมือนมาก ถ้าก่อนหน้านี้ไม่ได้เห็นเขาสูบผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนหนึ่งจนแห้งกับตา นางยังนึกว่านี่คือบุคคลจำพวกไป๋เจี่ยนจู๋คนที่สอง สีหน้าและความเคลื่อนไหวนั่นเลียนแบบได้เหมือนจริงราวกับมีชีวิต เป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ฝึกบำเพ็ญเพียงอย่างเดียวตัวเป็นๆ
มองเขาถูกบรรดาผู้ฝึกเวทเสน่ห์กดศีรษะลงบนทรวงอกของพวกนางแล้วผลักมาเบียดไปด้วยสีหน้าไม่ยินยอม จินเฟยเหยาก็อยากจะจิ้มตาตนเอง เวทเสแสร้งของเจ้าหมอนี่ร้ายกาจกว่าตนเองแสร้งทำเป็นใสซื่อหลายเท่านัก
สลัดหลุดจากผู้ฝึกเวทเสน่ห์กลุ่มนั้นได้อย่างยากเย็น จินเฟยเหยามองเหรินเซวียนจือที่มีสีหน้าสงบนิ่งแล้วเอ่ยถามว่า “เมื่อครู่มีสตรีมากมายขนาดนั้นยั่วยวนเจ้า ทำไมเจ้าไปพากลับไปสูบพลังให้หมด”
เหรินเซวียนจือมองจินเฟยเหยาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ถ้าข้าสูบพลังของพวกนาง สตรีฝึกวิชาชั่วร้ายที่ทำเรื่องชั่วดูดพลังหยางของบุรุษโดยเฉพาะจะลดลงไปหลายคน เดิมทีจำนวนก็มีไม่มากอยู่แล้ว ถ้าข้ายังไปทำร้ายพวกนางอีก จะหน่วงเหนี่ยวโอกาสการทำเรื่องชั่วช้าไปมากมายเพียงใด ข้าเป็นคนมีหลักการไม่ได้สังหารหมดทุกคน”
ในเวลานี้ ด้านข้างพลันมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณคนหนึ่งเดินมา เขาหยุดอยู่ข้างทางอย่างระมัดระวัง ประสานมือคารวะเหรินเซวียนจือแล้วเอ่ยว่า “คารวะเจ้าเมืองเหริน ข้าเป็นผู้ฝึกวิญญาณที่เพิ่งเข้าเมืองมาใหม่ รอเจ้าเมืองอยู่หลายวันแล้ว”
“มาใหม่? พลังการบำเพ็ญเพียรของเจ้าเพิ่งขั้นฝึกปราณช่วงต้น เพิ่งฝึกบำเพ็ญสินะ” เหรินเซวียนจือหยุดฝีเท้า เอ่ยด้วยสีหน้าเมตตา
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณคนนั้นแม้แต่หน้ายังไม่กล้าเงย ก้มศีรษะเอ่ยว่า “ตอบเจ้าเมือง ข้าเพิ่งเริ่มฝึกบำเพ็ญจริงๆ”
“เอาแบบนี้ เจ้านำป้ายชิ้นนี้ไปซั่นฟาถัง ไปเอาเคล็ดวิชาเล่มหนึ่ง วิญญาณร้อยดวง และศิลาวิญญาณชั้นล่างสองร้อยก้อน ธงวิญญาณนิลที่เป็นอาวุธเวทชั้นกลางเจ้าก็เอาไปผืนหนึ่ง หลอมวิญญาณเป็นเหล่านั้นเข้าไป รับประกันว่าใช้ควบคุมผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงต้นฝ่ายธรรมะได้อย่างไม่มีปัญหา ถ้าเจ้าสามารถหาวิธีจับวิญญาณผู้ฝึกบำเพ็ญขั้นฝึกปราณช่วงต้นเก็บลงในธงวิญญาณนิลได้ แม้แต่ผู้ฝึกปราณช่วงกลางก็ยากจะหนีคราเคราะห์พ้น” เหรินเซวียนจือล้วงป้ายหยกชิ้นหนึ่งโยนไปให้
จินเฟยเหยามองฉากนี้แบบปากอ้าตาค้าง มองผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงต้นคนนี้จากไปหลังจากขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำอีก สำหรับนางที่ยากจนแทบตายตอนขั้นฝึกปราณ รู้ราคาสิ่งของที่เหรินเซวียนจือมอบให้เป็นอย่างดี
นี่คือการช่วยเหลือผู้เริ่มฝึกบำเพ็ญอย่างใหญ่หลวง ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้เริ่มต้นดียิ่งกว่าเข้าสู่สำนักอันเที่ยงธรรมเสียอีก อีกทั้งที่นี่ยังเป็นเมืองจุ้ยเทียน กลับปรากฏคนดีๆ และเรื่องดีๆ แบบนี้ แม้แต่สำนักอันเที่ยงธรรมก็เป็นไปไม่ได้ที่จะใจกว้างขนาดนี้ นี่ยังเป็นเพียงแค่คนที่เดินมาบนถนนคนหนึ่ง ถ้ารู้จักกันจะช่วยเหลือถึงเพียงไหน
เหรินเซวียนจือมองผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ แล้วเอ่ยอย่างปลาบปลื้ม “แบบนี้ บนโลกนี้ก็มีผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายเพิ่มขึ้นอีกคน และยังสามารถทำร้ายคนดีได้”
“ในใจเจ้าดำมืดจนถึงขั้นไหน? ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลยสักนิด เจ้าช่วยผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายโดยเฉพาะ คิดจะให้โลกนี้มีผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายมากหน่อย ให้พวกเขาทำร้ายคนธรรมดาได้ง่ายๆ หรือ? เจ้าก็ถือว่ากำเนิดในสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียง อีกทั้งตามที่เจ้าว่ามา ตอนนี้ยังอยู่ดีมีสุขในสำนัก การกระทำแปลกประหลาดเกินไปแล้ว เหตุใดจึงมีคนชั่วร้ายขนาดเจ้าได้!” จินเฟยเหยามองเขา รู้สึกว่าไม่เข้าใจคนผู้นี้เลย
เหรินเซวียนจือกลับยิ้มให้จินเฟยเหยา “พลังของคนเพียงคนเดียวนั้นน้อยมาก มีผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายเพิ่มขึ้นหลายคน ต่อให้มีพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำ พวกเขาก็กระทำเรื่องผิดมนุษยธรรมได้หลายเรื่อง รวมน้อยกลายเป็นมาก ข้าลำบากเพียงแค่ยกมือ ช่วยพวกเขาอีกแรงเท่านั้น”
จินเฟยเหยายอมรับว่าตนเองเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่เคยคิดจะช่วยใครอีกแรง มอบศิลาวิญญาณและอาวุธเวทให้ผู้อื่นฝึกบำเพ็ญฟรีๆ เลย เพียงเพื่อเพิ่มคนชั่วในโลกนี้อีกคนเหรินเซวียนจือจึงให้วิญญาณ อาวุธเวท และศิลาวิญญาณแก่ผู้อื่น นี่ถือว่ามีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนหรือช่วยคนเลวทำความชั่ว?
มองจากมุมของผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย เหรินเซวียนจือน่าจะถือว่าเป็นคนดีสินะ ทั้งสร้างเมืองทั้งให้สิ่งของฟรีๆ ทว่ามองจากมุมของสำนักอันเที่ยงธรรม เจ้าหมอนี่เป็นคนชั่วร้ายสุดขีด
นี่เป็นครั้งแรกที่จินเฟยเหยาได้พบคนแบบนี้ แม้แต่คนเลือดเย็นเช่นนางก็รู้สึกสับสนขึ้นมา