คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 90 จากเสียใจกลายเป็นยินดี
“ซีเอ๋อร์…” เนี่ยนซีพลันหยุดกินเนื้อ มองจินเฟยเหยาอย่างอ้างว้าง
“อย่ามองข้า ข้าจนหนทาง ผู้ใดให้ท่านพ่อของเจ้าหนีไปโดยไม่เหลือแม้เงาเล่า” จินเฟยเหยาก้มหน้าลงวาดยันต์ต่อ ตอนนี้นางมีพลังต้านทานสายตาของเนี่ยนซีแล้ว เป็นทารกน้อยชัดๆ กลับมีท่วงท่าอันทรงเสน่ห์ของสตรี ไม่รู้ว่าเติบโตขึ้นมาจะทรมานบุรุษอย่างไรบ้าง
จินเฟยเหยากัดปลายพู่กันเทพประทับ ขมวดคิ้ว สาเหตุเนื่องจากหวาซี เมืองลั่วเซียนจึงเริ่มเฝ้าระวัง แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนบนเกาะทองคำ ถ้าจะออกไปข้างนอกก็ต้องควบคุม ถึงแม้นางสามารถใช้ยันต์ซ่อนกายแอบออกไปได้ แต่สถานที่ซึ่งนางคิดจะไปคือลำน้ำอันมืดมิดที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง ไม่ใช่ออกไปเที่ยวเล่นสะเปะสะปะ
หางตาเหลือบมองเนี่ยนซี ถ้าไม่ใช่เพราะรอหวาซีมารับนางไป จินเฟยเหยาคงแอบจัดการเจ้านี่แล้วไปสำรวจในแม่น้ำอันมืดมิดนานแล้ว ตอนนี้มีทารกหญิงคนนี้เป็นตัวถ่วง จะไปที่ใดก็ไปไม่ได้ เมื่อใดหวาซีจะมานะ
ศิลาวิญญาณในมือมีไม่มากแล้ว ยันต์ชั้นต่ำเหล่านั้นก็ขายในเมืองลั่วเซียนได้เงินไม่เท่าไร ร้านยันต์ส่วนมากล้วนมีผู้เชี่ยวชาญวาดยันต์ ต้นทุนต่ำ จึงไม่รับยันต์จากภายนอกเปะปะ ถ้าจะขาย ต้องขายราคาต่ำมาก ถึงตอนนั้นแม้แต่เงินทุนก็ยังไม่ได้คืน แถมไม่ได้กำไรสักนิด นางจึงเก็บไว้ใช้เองทั้งหมด
คำนวณดูแล้วเป็นเวลานานหลายปีที่ไม่ได้เข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียน น่าจะสะสมศิลาวิญญาณได้หลายหมื่นแล้วสินะ ขนาดต้านิวยังดูเหมือนจะเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียนน้อยครั้ง เจ้ากบขี้เกียจสองตัวนี้ ถึงอ่างมายาจิ่งเทียนจะไม่มีทิวทัศน์ที่งดงาม เป็นแค่สีดำผืนหนึ่ง ดูแล้วก็ไม่ใช่รับไม่ได้ขนาดนั้น จินเฟยเหยาครุ่นคิด ตัดสินใจใช้ศิลาวิญญาณในนั้น มีเพียงสองเส้นทางให้เลือกเดินคือต้องลำบากฝึกบำเพ็ญโดยไร้ยาและศิลาวิญญาณหรือออกไปหาศิลาวิญญาณข้างนอก
“พั่งจื่อ ต้านิว พวกเจ้าสองตัวอยากเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียนด้วยกันหรือไม่?” จินเฟยเหยาโยนพู่กันเทพประทับทิ้งแล้วตะโกนใส่พวกมันสองตัว
“อ๊บ” พั่งจื่อปฏิเสธตรงๆ หาสถานที่ซึ่งมีลมโกรกนอนหลับ ไม่รู้ว่าเสแสร้งหรือไม่
ส่วนต้านิวไม่รู้ว่าเอาชามมาจากไหน ในนั้นไม่รู้ว่าบรรจุอะไรเอาไว้ รีบวิ่งไล่ตามป้อนเนี่ยนซี
จินเฟยเหยามองมันสองตัวอย่างงุนงง แค่เข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียน ต้องกลัวขนาดนี้ด้วยหรือ นางเดินเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียนด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป หายวูบเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียนที่ไม่ได้เข้าไปเสียนาน
“นี่คืออะไร!” จินเฟยเหยาเพิ่งเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียน เท้าเพิ่งร่อนลงพื้นก็จมลงไป นางตกใจจนต้องรีบโยนพรมบินออกมานั่ง
จากนั้นนางก็มองสภาพภายในอ่างมายาจิ่งเทียนอย่างตกตะลึงตาค้าง หอน้อยสองชั้นที่ตนเองสั่งทำเอียงล้ม พืชวิญญาณที่ปลูกไว้หายไปไม่เห็นแม้เงานานแล้ว ในอ่างมายาจิ่งเทียนทั้งหมดเต็มไปด้วยมดหนึ่งผลึกอย่างหนาแน่น ขนาดพื้นที่หยั่งเท้ายังไม่มี
มิน่าเล่าหลายเดือนก่อนให้ต้านิวเข้ามาหยิบเตียงตะกร้าของพั่งจื่อ มันจึงใช้เวลานานมากกว่าจะออกมาได้ ทั้งยังเหงื่อออกเต็มศีรษะ เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดพั่งจื่อจึงไม่ยอมเข้ามาในนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไรกันแน่ คิดไม่ถึงว่าเจ้าสองตัวนี้จะไม่บอกข้า
นางมองมดหนึ่งผลึกเหล่านั้นอย่างหมดคำพูด ต้องมีปริมาณมากจนถึงขั้นไหน จึงเหยียบและกองสุมกันจนสถานที่ไม่พอจะยืน ทรายสีดำถูกมดหนึ่งผลึกอันหนาแน่นบดบังไว้ มองไม่ออกว่ายังมีหรือไม่
“เส้นทางทำเงินของข้าถูกทำลายหมดแล้ว เจ้ามดกลุ่มนี้ให้กำเนิดออกมาทำไมมากมาย ไปตายให้หมด” จินเฟยเหยาคำรามอย่างเดือดดาล ใช้มือชี้มดหนึ่งผลึกที่อยู่ด้านล่าง ไฟนรกขุมหนึ่งเผาไหม้ขึ้นมาจากด้านล่าง
ไฟนรกเผาไหม้อย่างรุนแรง มดหนึ่งผลึกแต่ละตัวถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าธุลี เปลวเพลิงขนาดใหญ่เผาไหม้อยู่หนึ่งชั่วยามเต็มๆ จินเฟยเหยานั่งบนพรมบินอย่างหดหู่ อยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา นางไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ ตอนพบมดราชินี นางน่าจะคิดถึงจุดนี้ได้ ให้กำเนิดมดออกมาอย่างไม่สิ้นสุด พื้นที่ไม่พอ ไม่อาจย้ายมดออกไปได้ จึงยิ่งมายิ่งมากขึ้น มีทรายสีดำเต็มทั่วพื้น ขอเพียงอ้าปากก็สามารถกินอาหารได้ ไม่จำเป็นต้องออกไปหาอาหาร สบายจริงๆ
มดหนึ่งผลึกโดนเผาจนหมด จินเฟยเหยาก็เก็บไฟนรก มองเศษซากเกลื่อนพื้น บนพื้นมีเถ้าธุลีสีดำหนาๆ หนึ่งชั้น ภายในอ่างมายาจิ่งเทียนทั้งหมดถูกมดหนึ่งผลึกกัดแทะจนยุ่งเหยิง ท่าทางช่วงหลังมดหนึ่งผลึกมีมากเกินไป ทรายสีดำก็ถูกพวกมันกินจนเกลี้ยง สุดท้ายขนาดดินที่อยู่ด้านล่างทรายสีดำก็ไม่ละเว้น แม้แต่พื้นดินก็แทะจนทรุด
“โชคร้ายจริงๆ ลองหาดูว่าจะหาศิลาวิญญาณได้กี่ก้อน” จินเฟยเหยาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ โยนเวทม้วนวายุลงไปด้านล่าง ลมหมุนกวาดม้วนเถ้าธุลีทั่วพื้นขึ้น รวมไว้ด้วยกันเพื่อสะดวกในการเก็บกวาด
สิ่งของด้านล่างเผยออกมาให้เห็นตามเถ้าธุลีหนาถึงสองฉื่อที่โดนลมหมุนกวาดม้วนไป จินเฟยเหยาเปลี่ยนจากโศกเศร้าเป็นยินดี
“นี่คืออะไร สวรรค์ดีต่อข้าจริงๆ” ด้านล่างเถ้าธุลีเผยให้เห็นผลึกศิลาวิญญาณเป็นประกาย บนพื้นภายในอ่างมายาจิ่งเทียนทั้งหมดเต็มไปด้วยศิลาวิญญาณส่องประกายวิบวับ นางตื่นเต้นจนกระโดดลงไป ถือศิลาวิญญาณขึ้นมองดูอย่างละเอียด เป็นศิลาวิญญาณของแท้จริงๆ
ที่นี่มีศิลาวิญญาณมากมายเพียงใด จินเฟยเหยาไม่รู้แน่ชัด ทว่าในดวงตานอกจากศิลาวิญญาณแล้วก็มีแต่ศิลาวิญญาณ มดหนึ่งผลึกจำนวนมหาศาลเหล่านี้กินทรายสีดำจนหมด ถ่ายศิลาวิญญาณออกมากองสุมเต็มอ่างมายาจิ่งเทียน
จินเฟยเหยาหยิบกระเป๋าเก็บของออกมาใบหนึ่ง ใส่ศิลาวิญญาณลงไปข้างในอย่างตื่นเต้นยินดี ดีใจจนยิ้มปากแทบฉีกถึงหู “ไม่มีมดหนึ่งผลึกจะกลัวอะไร ศิลาวิญญาณมากมายปานนี้ น่าจะเพียงพอให้ข้าใช้ไปจนตาย”
บรรจุศิลาวิญญาณจนเต็ม จินเฟยเหยาก็กลิ้งตัวบนศิลาวิญญาณหลายรอบ จึงออกจากอ่างมายาจิ่งเทียนด้วยรอยยิ้มปริ่ม พั่งจื่อและต้านิวเห็นนางเข้าไปเนิ่นนานยังไม่ออกมา ก็เดาเอาว่านางต้องมีโทสะแทบตายอยู่ในนั้น หลังออกมาต้องมีสีหน้าปั้นยากแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนางออกมาจะมีใบหน้าสดใส แย้มยิ้มอย่างเจิดจรัส
หลังออกมา จินเฟยเหยาก็เก็บอ่างมายาจิ่งเทียนเหมือนสมบัติล้ำค่า ของสิ่งนี้วางไว้ในห้องใหญ่อีกไม่ได้ ต้องซ่อนไว้ให้ดี ต้องพกติดตัวไว้ ถึงตายก็ห้ามโยนทิ้ง
มีศิลาวิญญาณ จินเฟยเหยาเริ่มซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเซียนฝึกบำเพ็ญ ต้องการสิ่งใดก็ไปซื้อทันที ฝึกบำเพ็ญอย่างรวดเร็ว ภายใต้การใช้ศิลาวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง อัตราความสำเร็จในการวาดยันต์ของนางยิ่งมากขึ้นทุกที วาดยันต์ซ่อนกายขั้นสี่ยี่สิบครั้ง สามารถวาดสำเร็จหนึ่งครั้ง สำหรับคนที่ไม่มีพรสวรรค์โดยสิ้นเชิงอย่างนาง ถือเป็นผลสำเร็จอันยอดเยี่ยมแล้ว
วันนี้ ยันต์ถ่ายทอดเสียงหนึ่งใบบินเข้ามาในจวนกบ พั่งจื่อตวัดลิ้นดึงมันมา ปิดด่านกักตนครึ่งปี จินเฟยเหยาที่ยกระดับการบำเพ็ญเพียรถึงขั้นสร้างฐานช่วงต้นโดยสมบูรณ์กำลังลืมตาอยู่ในห้องฝึกบำเพ็ญ
“พั่งจื่อ ผู้ใดส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงมา?” จินเฟยเหยาขยับกล้ามเนื้อ กระโดดลงมาจากห้องฝึกบำเพ็ญ รับยันต์ถ่ายทอดเสียงมาจากมือพั่งจื่อ
“อืม? เป็นยันต์ถ่ายทอดเสียงของสำนักเฉวียนเซียน หรือว่าเกิดเรื่องขึ้น?” จินเฟยเหยามองยันต์ถ่ายทอดเสียงที่มีสัญลักษณ์ของสำนักเฉวียนเซียนใบนี้ รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องดี สำนักเฉวียนเซียนนอกจากตามจับหวาซีครั้งที่แล้วก็ไม่เคยมีความเคลื่อนไหวอีก ครั้งนี้ต้องมีเรื่องยุ่งยากอะไรอีกแน่
ฉีกยันต์ถ่ายทอดเสียงขาด ด้านในมีข่าวร้ายดังมาจริงๆ จินเฟยเหยาลูบศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ ตนเองลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร ตอนนี้คิดจากไปก็ไม่ทันแล้ว ที่แท้สำนักเฉวียนเซียนแจ้งให้นางไปเข้าร่วมการประลองของโลกระดับดิน คิดไม่ถึงว่าเวลาจะผ่านไปเร็วขนาดนี้ พริบตาก็ผ่านมาหลายปี การประลองของโลกระดับดินมาถึงแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ นางเงยหน้าขึ้นมองปากถ้ำ เนี่ยนซีสวมชุดกระโปรงสีขาวกำลังนั่งอยู่บนแท่นราบ ขาขาวเนียนนุ่มสองข้างห้อยอยู่นอกแท่นราบ มองท้องฟ้าอย่างซึมเซา บางครั้งยังพูดพึมพำกับตนเอง บางครั้งยังน้ำตาไหลเงียบๆ
เห็นเนี่ยนซีที่อายุสี่ขวบแล้วมักจะร่ำไห้เหมือนดอกหลี[1]ต้องฝน จินเฟยเหยาก็รู้สึกปวดศีรษะ เจ้านี่งดงามเกินไปจริงๆ เพิ่งอายุสี่ขวบกว่า ยังเป็นแค่ทารก หน้าตาก็ดึงดูดสายตาของผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยแล้ว อีกทั้งนางยังไม่กลัวร้อน นั่งอยู่บนแท่นราบมองท้องนภาทั้งวัน สายตาแทบจะจับจ้องจนท้องฟ้าทะลุเป็นรู
“เนี่ยนซี ถ้าเจ้าจะตามหาท่านพ่อเข้ามาข้างในก่อนได้หรือไม่ ข้าขุดรูบนกำแพงให้เจ้าแล้วมิใช่หรือ ถ้าเจ้าจะมองท้องฟ้าก็เข้ามามองในถ้ำเซียนได้หรือไม่ เจ้านั่งอยู่ข้างนอกทั้งวัน เจ้าไม่รู้หรือว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนมากมายเพียงใดคิดจะลักพาตัวเจ้าไป ก่อความเดือดร้อนให้ข้ามากถึงเพียงไหน” เห็นใบหน้าอันงามเลิศของนาง จินเฟยเหยาก็รู้สึกว่าตนเองหน้าตาขี้เหร่และอัปลักษณ์อย่างที่สุด
ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนมากมายเพียงใด หลังจากเห็นเนี่ยนซี ก็มาสอบถามว่าใช่เป็นบุตรของนางหรือไม่ หลังจากได้ยินว่าไม่ใช่ ก็ดีใจเป็นล้นพ้น คิดจะรับนางเป็นบุตรสาว อยากพานางไป ทำให้จินเฟยเหยาต้องไล่ตะเพิดไปจนหมด ไม่มีพลังธาตุชัดๆ ถึงจะไม่มีคนรู้ว่านางเป็นสัตว์ปิศาจ ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ยังคิดจะพานางไปราวกับบ้าคลั่ง
“ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้คิดอะไรอยู่ คนยิ่งงดงาม ไม่มีพลังธาตุฝึกบำเพ็ญไม่ได้ อย่างมากยี่สิบกว่าปีใบหน้าก็แก่ชรา อีกทั้งนางสามารถอยู่ได้หลายสิบปีนับว่าไม่เลวแล้ว พาไปจากข้าเลี้ยงได้ไม่กี่ปีก็ตาย”
ผ่านมาหลายปีหวาซียังไม่ได้มารับเนี่ยนซีไป ทำให้นางต้องรอเขามาตลอด แม่น้ำอันมืดมิดใต้ดินสายนั้นก็ไม่ได้ไป ตอนนี้ดียิ่ง ยังโดนสำนักเฉวียนเซียนลากไปเข้าร่วมการประลองของโลกระดับดินอะไรนั่นอีก การแย่งชิงของโลกระดับดินเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ไม่ได้แบ่งภูเขาหรือชีพจรวิญญาณให้ข้าสักหน่อย ไปถึงที่ใดก็ยังต้องฝึกบำเพ็ญใช่หรือ
จินเฟยเหยาบ่นอย่างเดือดดาล เพิ่งออกจากปิดด่านกักตนก็เจอเรื่องเช่นนี้ ทำให้คนดีใจไม่ออกเลยจริงๆ
“พวกเจ้าจับตาดูเนี่ยนซีไว้ อย่าให้นางถูกตาลุงประหลาดพาตัวไป แต่ละคนไม่เคยทำให้ข้าสบายใจเลย” จินเฟยเหยามอบเนี่ยนซีให้พั่งจื่อจอมขี้เกียจและต้านิวที่เป็นบ่าวรับใช้ จากนั้นนำพรมบินออกมาเหาะไปยังห้องโถงหลัก
ไม่มีอะไรพิเศษ ในห้องโถงหลักนอกจากมีของดีๆ ล่อลวงตามปกติยังมีพลังของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเพิ่มขึ้น สุดท้ายยังทำให้ลูกพี่ขั้นกำเนิดใหม่ของสำนักเฉวียนเซียนออกมา ชายชราที่อวบอ้วนคนนี้ใช้ดวงตากวาดมองบนร่างของบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่ไม่ยอมสยบเหล่านี้ พริบตาทุกคนก็รู้สึกว่ามีเหงื่อเย็นเยียบทั่วศีรษะ ในใจยอมรับอย่างจริงใจทันที
จินเฟยเหยาก็ถูกพลังกดดันของขั้นกำเนิดใหม่กวาดใส่จนไม่กล้าขยับตัว ดูท่าไม่อบรมบ่มเพาะศิษย์ของตนเอง แต่รับผู้บำเพ็ญเซียนอิสระขั้นสร้างฐานเป็นศิษย์ในสำนักโดยเฉพาะ มักต้องใช้กำลังมากดดันคน ไม่เช่นนั้นพอเกิดเรื่อง ทุกคนก็จะสะบัดก้นหนีไป คนของสำนักเฉวียนเซียนเกียจคร้านยิ่ง ใช้กำลังบังคับให้พวกเราขายชีวิตให้เช่นนี้ สู้ใช้เวลาหลายร้อยปีบ่มเพาะศิษย์ที่ภักดีเองจะดีกว่า แก่ชราถึงปานนี้แล้วจะได้ไม่ต้องมาทำเรื่องเช่นนี้อีก จินเฟยเหยาก้มหน้า คิดอย่างร้ายกาจ
เดิมทีนึกว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนนี้มาถึงพอแสดงพลานุภาพให้ทุกคนประจักษ์แล้วน่าจะจากไป แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะนั่งลงบนเก้าอี้ ทั้งไม่เก็บพลังกดดันกลับคืนและไม่มีทีท่าว่าจะจากไป
[1] หลี คือ สาลี่