คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 95 ฝันหวานแตกสลาย
“พั่งจื่อ พวกเราขึ้นไปจากตรงนี้เถอะ” จินเฟยเหยาและพั่งจื่อยืนอยู่ด้านล่างภูเขาเห็ด มองบันไดศิลาที่เต็มไปด้วยตะไคร่ ซึ่งนำไปสู่ยอดเห็ดด้านบนซึ่งเป็นชั้นที่ใหญ่ที่สุด มองไกลๆ สามารถเห็นได้ว่าด้านบนมีอาคารอันงดงามหลังหนึ่ง พลังวิญญาณอันเข้มข้นลอยออกมาจากที่นั่นตลอดเวลา ไม่ต้องคิดก็รู้ ด้านในต้องมีของวิเศษจำนวนไม่น้อย
เกรงว่ามีอันตราย เนี่ยนซีและต้านิวจึงกลับเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียน และใส่กล่องหยกที่บรรจุหญ้าวิญญาณเหล่านั้นลงไปด้วย ให้ต้านิวปลูกในกระถางดอกไม้พวกนั้น
“ไป” จินเฟยเหยาพาพั่งจื่อเดินขึ้นบันได การย่างเท้าครั้งนี้สัมผัสถูกการป้องกันของภูเขาเห็ด ทว่ากลับไม่ทำให้คนรู้สึกถึงอันตราย นางยื่นมือออกมาแกว่งในความว่างเปล่าเบื้องหน้า ไม่ปฏิเสธนาง ท่าทางจะเข้าไปได้
จินเฟยเหยาเผยสีหน้ายินดี ขณะกำลังจะเดินเข้าไป “แย่แล้ว หรือว่าต้องส่งตัวอีก?” ไม่รอให้นางมีปฏิกิริยา เบื้องหน้าก็พร่าพราย ภูเขาเห็ดที่อยู่ใกล้แค่นิดเดียวหายไปแล้ว สิ่งที่ปรากฏขึ้นคือทางเดินศิลาอันมืดมิดสายหนึ่ง
และเบื้องหน้านาง มีผู้บำเพ็ญเซียนหกคนกำลังมองนางดุจพยัคฆ์จับจ้องเหยื่อ หนึ่งในนั้นยังถือมุกเม็ดหนึ่งที่กำลังกระพริบแสง เอ่ยเย้ยหยัน “ฮ่าๆ อาศัยมุกทลายเขตแดนก็สามารถลากเจ้าโง่ของโลกหนานซานออกมาจากภาพมายาได้จริงๆ”
จินเฟยเหยามองมุกทลายเขตแดนในมือเขา “เจ้าใช้มุกเม็ดนี้นำข้าออกมาจากทิวทัศน์อันงดงามเมื่อครู่?”
เห็นจินเฟยเหยาใช้หนึ่งต้านรับหก กลับไม่เกรงกลัวเลยสักนิด ทั้งยังถามถึงเรื่องนี้อย่างสบายๆ เขาก็มีสีหน้าปั้นยาก คำรามลั่น “เจ้านึกว่าเจ้าจะหนีเข้าไปได้หรือ? ภาพมายาด้านในถูกมุกทลายเขตแดนทำลายจนสิ้น ตอนนี้กลับไปไม่ได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ของพวกเราจะเป็นสตรี พอดีเลยชิงแก่นชีวิตธาตุหยินของเจ้าจะทำให้พลังการบำเพ็ญเพียรของข้ายกระดับขึ้นอีกขั้น”
“สหายเซียนจู เจ้าพูดเช่นนี้ไม่ถูกนะ เรื่องดีๆ แบบนี้จะให้เจ้ายึดครองคนเดียวได้อย่างไร” ผู้บำเพ็ญเซียนอีกคนที่หน้าตาเจ้าเล่ห์ไม่พอใจ แก่นชีวิตธาตุหยินสามารถยกระดับพลังการบำเพ็ญเพียรได้ เป็นวิธียกระดับพลังการบำเพ็ญเพียรที่สะดวกและประหยัดพลังปราณที่สุด จะยกให้เขาไปเปล่าๆ ได้อย่างไร
“อีกนิดเดียวพลังการบำเพ็ญเพียรของข้าจะถึงขั้นสร้างฐานช่วงปลายอย่างสมบูรณ์แล้ว พวกเจ้าอย่าแย่งข้า อย่างมาก ข้าจะแบ่งสินสงครามเพิ่มให้พวกเจ้าอีกหนึ่งส่วน” ผู้บำเพ็ญเซียนแซ่จูหมดความอดทน เห็นแก่แก่นชีวิตธาตุหยินจึงแบ่งผลประโยชน์ให้นิดหน่อย
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป? ตอนนี้ข้ามีโทสะอย่างยิ่ง กล้าทำลายเรื่องดีงามของข้า รนหาที่ตาย!” เดิมทีจินเฟยเหยายังมีความหวังอยู่บ้างว่ายังสามารถกลับไปในภาพมายาได้อีกครั้ง ตนเองยังไม่ได้ไปหาสมบัติบนภูเขาเห็ดเลย คิดไม่ถึงว่าจะเข้าไปไม่ได้แล้ว ทั้งยังถูกคนเหล่านี้จงใจทำลายและบังคับลากออกมา
เพลิงโทสะของนางแผดเผา ปราณสังหารในดวงตาแผ่ไปโดยรอบ กลายร่างเป็นไฟนรกในพริบตา คำรามลั่นพ่นไฟนรกออกมา ไฟนรกบินเข้าหาพวกเขาอย่างแหลมคม ภายในทางเดินศิลาทั้งหมดผนึกเป็นน้ำแข็งนรกชั้นหนาเตอะ ไฟนรกขนาดหยาบเท่าถังน้ำส่งเสียงครางต่ำๆ อุณหภูมิรอบด้านลดฮวบทันที
“อ๊า!” ถึงจะมีการเตรียมตัวมา ทว่าเผชิญกับการโจมตีอย่างกะทันหันของจินเฟยเหยา ยังทำให้คนทั้งหกตกตะลึงอย่างยิ่ง พวกเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ผ่านศึกมานับร้อย มีปฏิกิริยาว่องไว รีบนำของวิเศษนานาชนิดออกมาทันที ของวิเศษและอาวุธป้องกันบนตัวก็เปล่งแสงสว่างอย่างประหลาด แสงที่แตกต่างกันหลายสายโจมตีกลับมาเอง ผสมเข้าด้วยกันบินไปต้านทานลำแสงไฟนรก
การโจมตีทั้งสองสายปะทะกันมีอานุภาพไม่เบา ส่งเสียงตูมดังสนั่น ภายในทางเดินศิลาถูกหมอกควันปกคลุมในพริบตา เหลือเพียงรัศมีแสงของวิเศษกระพริบอยู่รางๆ
หลังสายลมคลั่งพัดผ่านไป ผู้บำเพ็ญเซียนของโลกเซียวไท่มีคนใช้เวทพายุ พัดหมอกควันที่บดบังสายตาในทางเดินศิลาทั้งหมดไป ถึงแม้ผู้บำเพ็ญเซียนจะสามารถใช้การรับรู้ค้นหาตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ แต่ท่าไม้ตายหรืออาวุธลับบางอย่างกลับต้องใช้ตาเนื้อมอง การมองเห็นไม่ชัดเป็นสิ่งต้องห้ามในการต่อสู้
หลังสายลมพัดพาหมอกควันออกไป ภายในทางเดินศิลาก็กลับสู่สภาพเดิม ภายใต้แสงรัศมีของวิเศษสาดส่อง ทุกคนพบว่าการโจมตีและเสียงระเบิดดังสนั่นเมื่อครู่ไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ แก่ทางเดินศิลา ศิลารองรับฟ้าก้อนนี้เป็นปกติอย่างยิ่ง ทว่า ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือผู้บำเพ็ญเซียนสตรีของโลกหนานซานคนนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงกบขนาดใหญ่ตัวหนึ่งนั่งอยู่ในทางเดินศิลาอย่างโง่งม มองพวกเขาอย่างไร้ความรู้สึก
“คนเล่า? หรือว่ายืมมือเวทพายุ ทิ้งสัตว์ภูติของตนเองไว้แล้วหนีไป?” ผู้บำเพ็ญเซียนแซ่จูสงสัย ไม่ได้เก็บการรับรู้กลับ เวลาที่ใช้เวทพายุเพียงแค่พริบตาเท่านั้น จินเฟยเหยาที่อยู่ตรงนั้นยังอยู่ในการรับรู้ของเขาตลอด หลังเวทพายุผ่านพ้น ก็หายไปจากการรับรู้ พวกเขาไม่เชื่อว่า ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานจะหลบหนีได้อย่างว่องไวภายใต้สภาวะที่มองเห็นไม่ชัดเจน แม้แต่ขั้นตอนการหลบหนีก็ไม่พบ
“สหายเซียนจู พื้นที่ที่นี่เล็กนิดเดียว เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเหยียบของวิเศษหนีไป น่าจะใช้วิธีลับซ่อนตัว” ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งในนั้นเอ่ยเตือนทุกคนเบาๆ อาศัยประสบการณ์ของตนเอง คนเหล่านี้ล้วนไม่เชื่อว่าจินเฟยเหยาหนีไปแล้ว
“รู้หรือไม่ ในพื้นที่เล็กแค่นี้ พวกเจ้าไร้หนทางหลบหนี ถ้าอยู่ข้างนอก ต่อสู้กับพวกเจ้าหกคน ข้าอาจจะหนีทันที ทว่าอยู่ที่นี่ พวกเจ้าไม่มีแม้แต่โอกาสหนี” เสียงจินเฟยเหยาดังขึ้นในทางเดินศิลา เนื่องจากภายในทางเดินศิลามีเสียงสะท้อน เสียงของนางจึงดังก้อง ทำให้คนแยกแยะไม่ได้ว่านางอยู่ที่ใด
คนทั้งหกกางม่านแสง ด้านหน้าลำตัวมีอาวุธเวทป้องกันคุ้มครองร่างกาย ด้านหลังพยายามเข้าใกล้กำแพงศิลาที่อยู่ใกล้ที่สุด ป้องกันตนเองอย่างเข้มงวด ผู้บำเพ็ญเซียนแซ่จูยังตะโกนยั่วยุจินเฟยเหยาดังลั่น คิดจะให้นางมีโทสะจนเผยร่างออกมา
“ต่อให้เจ้าซ่อนตัวก็อย่านึกว่าจะรอดพ้นเงื้อมมือของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานหกคนไปได้ ไม่ดูตนเองเสียบ้าง เพิ่งมีพลังบำเพ็ญเพียรแค่ขั้นสร้างฐานช่วงต้น ถ้าเจ้ายอมมอบแก่นชีวิตธาตุหยินและทรัพย์สมบัติทั้งหมดออกมา แล้วขอร้องพวกเราดีๆ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะปล่อยเจ้าไป เจ้าซ่อนตัวแล้ว แต่สัตว์ภูติของเจ้ายังอยู่ตรงนี้ ถ้าเจ้าไม่ยอมออกมา พวกเราจะค่อยๆ เชือดสัตว์ภูติของเจ้าอย่างช้าๆ จนตาย ให้เจ้าได้รู้ว่าชีวิตที่มืดมนเป็นเช่นไร”
สัตว์ภูติขั้นสองเช่นพั่งจื่อ ในสายตาของพวกเขา ก็คืออาหารที่ไม่เป็นอันตรายจานหนึ่ง ถ้าเป็นสัตว์ภูติขั้นสี่สักตัว อาจจะทำให้พวกเขาคิดจะลงมือ ทว่าตอนนี้ไม่มีใครคิดจะลงมือกับมัน ทั้งหมดระวังป้องกันจินเฟยเหยาที่ใช้ยันต์ซ่อนกาย หลังจากถูกคนแซ่จูเอ่ยเตือน คนหนึ่งในนั้นก็ถือกระบี่สั้นซึ่งเป็นอาวุธเวทชั้นกลาง ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปแล้วขว้างใส่ร่างพั่งจื่อ คิดจะแทงมันให้ตายในกระบี่เดียว เพื่อขู่ขวัญจินเฟยเหยา
เดิมทีอาศัยพลังเวทของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ต่อให้สัตว์ภูติขั้นสองกินยาสัตว์ภูติเป็นประจำ ก็ร้ายกาจกว่าสัตว์ภูติขั้นสองธรรมดาแค่นิดหน่อย แต่เผชิญหน้าการโจมตีด้วยพลังเวทของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่บาดเจ็บเลยสักนิด
ทว่า กระบี่สั้นเล่มนี้กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกไป ปักลงไปตรงตำแหน่งหัวใจของพั่งจื่อ ได้ยินเสียงดังติงตัง หลังกระบี่สั้นกระทบร่างพั่งจื่อก็ถูกกระแทกลงพื้น บนหน้าอกของพั่งจื่อไม่เป็นอะไรเลยสักนิด
“อืม?” คนทั้งหกตะลึงงัน คนแซ่จูเอ่ยปากด่าทอ “เจ้าไม่ได้กินข้าวหรือ แค่กบขั้นสองตัวหนึ่งก็แทงไม่เข้า”
ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ก็งุนงงอย่างยิ่ง ตนเองใช้พลังวิญญาณแล้วชัดๆ อย่าว่าแต่สัตว์ภูติขั้นสอง ต่อให้ขั้นสามก็ปักทะลุเป็นรู
ในขณะนี้เอง ดวงตาของพั่งจื่อกลอกลงด้านล่าง จ้องมองหน้าอกของตนเองแล้วยื่นขาหน้าไปลูบ ทันใดนั้น มันก็ยันขาหลัง พุ่งร่างออกไป ยกขาหน้าตบบ้องหูผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้หลายครั้ง ขาหน้ากลายเป็นเงาตกค้าง หลังจากตบไปแบบพายุฝนกระหน่ำ รอจนผู้บำเพ็ญเซียนด้านข้างมาช่วยเหลือ พั่งจื่อก็ยันขาอีกครั้ง ถอยร่างไปด้านหลังสี่ห้าจั้งหลบการโจมตี ทว่าใบหน้าของผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นถูกมันตบจนบวมเป็นหัวสุกรภายในไม่กี่อึดใจ คาดว่าแม้แต่ท่านแม่ยังจดจำเขาไม่ได้
จากนั้น ฟองแสงนรกจำนวนนับไม่ถ้วนพลันปรากฏขึ้นภายในทางเดินศิลา และมีปริมาณมากขึ้นทุกที ลอยไปลอยมา ยึดครองทางเดินศิลาแถบหนึ่ง
เห็นฟองสีฟ้าเหล่านั้นล่องลอยเหมือนไร้พิษภัย คนทั้งหกก็ไม่กล้าเข้าใกล้ง่ายๆ จ้องมองฟองปราณเหล่านั้นอย่างระวังป้องกัน เห็นฟองเหล่านั้นล่องลอยโดยไร้จุดหมาย บางครั้งกระแทกม่านแสง ทว่าก็ดีดออกมาอย่างอ่อนโยน มองไม่ออกว่ามีประโยชน์ใด
เห็นฟองแสงนรกยิ่งมายิ่งมากขึ้น ไม่ว่าฟองสีฟ้าเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร คนทั้งหกของโลกเซียวไท่ก็ไม่อาจนั่งรออยู่เฉยๆ ได้ ไม่กล้าสัมผัสสะเปะสะปะหรือจะใช้เวทมนตร์ขับไล่ไม่ได้? ผู้บำเพ็ญเซียนที่ใช้เวทพายุเมื่อครู่ ยามนี้ใช้เวทพายุอีกครั้ง คิดจะพัดฟองสีฟ้าทั้งหมดออกไป อีกทั้งขอเพียงขณะที่ฟองสีฟ้าถูกพัดไป สัมผัสเข้ากับจินเฟยเหยาที่ซ่อนกายอยู่ก็จะเด้งออกมาเอง สามารถหาตำแหน่งที่นางอยู่แล้วโจมตีเอาชีวิตนางได้
เวทพายุทำให้สายลมคลั่งพัดพา พัดทุกสิ่งภายในทางเดินศิลาทันที ทว่าฟองแสงนรกกลับเพิกเฉยสายลมคลั่ง ลอยอย่างอ่อนโยนอยู่ในสายลมดังเดิม ราวกับภายในทางเดินศิลาไม่มีลมพัดสักนิด
เห็นเวทพายุไม่ได้ผล ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ต่างปลดปล่อยเปลวเพลิงอันรุนแรง ภายในทางเดินศิลาเต็มไปด้วยการเผาไหม้ของเพลิงแท้ขั้นสร้างฐาน ฟองแสงนรกถูกเผาจนส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ เหมือนจะได้ผล
“รวม!”
ได้ยินเสียงแหลมใสของจินเฟยเหยาดังขึ้นภายในทางเดินศิลา ฟองแสงนรกขนาดเท่าผลส้มลอยมารวมกันอย่างรวดเร็วกลายเป็นฟองปราณขนาดเท่าทางเดินศิลาทันที ฟองปราณเบื้องหน้ารวมเข้าด้วยกัน คนทั้งหกรีบใช้ของวิเศษโจมตีมัน ของวิเศษหกชิ้นรวมกันเป็นลำแสงเจ็ดสีสายหนึ่ง แล้วกลายร่างเป็นมังกรส่งเสียงคำรามพลางพุ่งออกไป
แสงเจ็ดสีทะลุผ่านฟองแสงนรกในพริบตา ไม่ได้ทำให้ฟองแสงนรกแตกอย่างที่คาด ทว่าทะลุฟองแสงนรกไปด้านหลังทันที บนฟองแสงนรกปรากฏรูขนาดเท่าโต่วขึ้นสองรู พริบตาฟองแสงนรกก็ซ่อมแซมตนเองจนเป็นดังเดิม ลอยมาครอบผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหกคนไว้ภายใน
แสงเจ็ดสีบังเอิญบินไปกระแทกจินเฟยเหยาที่กำลังซ่อนกายอยู่ ร่างที่ไฟนรกลุกท่วมของนางพลันปรากฏตัวขึ้นในทางเดินศิลา นางใช้ไฟนรกที่กลายเป็นบอลเพลิงนรกซึ่งมีขนาดหยาบใหญ่เท่าทางเดินศิลาต้านทานแสงเจ็ดสีที่คุกคามเข้ามาใกล้เบื้องหน้า
ได้ยินเสียงดังสนั่น จินเฟยเหยาถูกการโจมตีระเบิดกระเด็นไปไกลสิบกว่าจั้ง หลังจากยืนได้มั่นคง นางยื่นมือออกมาชี้ไปยังคนทั้งหกที่กำลังโจมตีฟองแสงนรกคิดจะหนีออกมา เอ่ยเบาๆ “ลุกไหม้” ภายในฟองแสงนรกมีไฟนรกสีฟ้าลุกไหม้ทันที พริบตาคนทั้งหกถูกกลืนกินจนสิ้น ภายในฟองแสงนรกเหลือเพียงไฟนรก
ส่วนพั่งจื่อก็ลุกขึ้นจากท่ากุมหัวนอนราบ ใช้ขาหน้ากอดอกส่งเสียงฮึอย่างดูแคลนให้ฟองแสงนรกที่เผาไหม้อย่างคึกคักเต็มทางเดินศิลาด้วยท่าทางเย็นชา