ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 260
ซีเหมินจินเหลียนที่เดินมาถึงหน้าประตู เมื่อได้ยินแล้วจึงชะงักฝีเท้าหยุดเดิน “แบบไหนถึงเรียกว่าหยกชั่วร้ายคะ”
“อย่างเช่นหินราชางูของลูก หรือจะให้ยกตัวอย่างอีกก็…ราชาหยก!” หูชีเยี่ยนพูด “หยกที่ส่อเค้าว่ามีชีวิตอย่างชัดเจนแบบนั้น ไม่แน่อาจจะส่งผลร้ายต่อมนุษย์เราก็ได้”
“คุณไม่เคยเห็นหินราชางูกับราชาหยกมาก่อน คุณรู้ได้อย่างไรว่าพวกมันมีสัญญาณของสิ่งมีชีวิต?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย หรือว่าครั้งนั้นในงานพนันหินครั้งใหญ่เขาเคยไปเซี่ยงไฮ้มาก่อน?
“หรือ…งูตัวนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต?” หูชีเยี่ยนหยิบภาพถ่ายใบหนึ่งและส่ายหน้ายิ้มขื่นๆ
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้ารับ ความจริงเป็นแบบนั้น งูตัวนี้เป็นสิ่งมีชีวิต และจากที่ตนเองกับสวี่อี้หรานสรุปผลออกมา มันบ่งบอกว่างูตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่…สิ่งมีชีวิตโบราณยังคงมีชีวิตจนถึงตอนนี้ เท่านี้มันก็ดูน่ากลัวพอแล้ว
“ไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผล ฉันก็ต้องไปตามหาหินปิดฟ้าค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าและหันกายออกไปข้างนอก ที่ด้านหลังมีเสียงของหูชีเยี่ยนที่ถอนหายใจยาว ครั้งนี้เธอไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ความจริงเขาไม่ได้อยากเจอเธอเลย แต่เวลาเธอมาเยี่ยมเยียนถึงหน้าประตู เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะไม่เจอ?
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจกับการกระทำของเขา ทำไมหูชีเยี่ยนไม่ยอมมาเจอเธอ?
เมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่าง เห็นจ่านป๋ายกับเงามืดยืนอยู่ในห้องรับแขก ทั้งสองสีหน้าไม่สู้ดีนัก จนเธอแอบได้กลิ่นของควันดินปืนลอยเข้ามาปะทะจมูก
“เกิดอะไรขึ้นคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“จินเหลียน คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม” จ่านป๋ายเห็นว่าซีเหมินจินเหลียนปลอดภัยดีถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทั้งร่างของหูชีเยี่ยนอาบไปด้วยพลังแห่งความชั่วร้าย ว่ากันว่าเสือแม้จะร้ายแต่ไม่กินลูกตัวเอง แต่ใครจะไปรู้ว่าคนคนหนึ่งเมื่อถึงขั้นไร้มโนธรรมขึ้นมา แม้ว่าเรื่องอะไรก็ทำออกมาได้ทั้งนั้น ดังนั้นหลังจากที่ซีเหมินจินเหลียนเดินขึ้นไปเขาจึงนั่งไม่ติด คอยเดินไปเดินมาอยู่ในห้องรับแขกและครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าจะขึ้นไปสังเกตการณ์ดูข้างบนหรือไม่ แต่กลับถูกเงามืดขวางไว้ตลอด จนสุดท้ายจ่านป๋ายกระวนใจมาก…เลยทำให้ซีเหมินจินเหลียนเห็นเหตุการณ์อย่างที่เห็น
“คุณหนูครับ!” เงามืดโค้งตัวคำนับซีเหมินจินเหลียนเล็กน้อยตามมารยาท
“สวัสดีค่ะ ฉันควรจะเรียกคุณว่าอย่างไรดีคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“นายท่านเรียกผมว่าเม่ยอิ่ง!” เม่ยอิ่งตอบอย่างสุภาพนอบน้อม
เม่ยอิ่ง? ใกล้เคียงกับตัวเขาเหลือเกิน แต่ซีเหมินจินเหลียนคิดว่าเขาชื่อกุ่เงามืดน่าจะเหมาะกว่า
“คุณหูบอกว่าหลินเสวียนหลาน เอ่อ คุณหลินอยู่ที่นี่เหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม เธอไม่ได้ลืมที่หูชีเยี่ยนบอกเมื่อสักครู่นี้ว่าหลินเสวียนหลานอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็เป็นตัวแทนประธานกรรมการของเธอ จนถึงตอนนี้บริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่ก็ยังขาดเขาไม่ได้
“ใช่แล้วครับ” เม่ยอิ่งตอบ
“คุณหูให้ฉันพาเขากลับไปค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“อ้อ?” เงามืดมีสีหน้าลำบากใจเห็นได้ชัด เพราะเขาไม่ได้รับคำสั่งจากเจ้านายโดยตรง “คุณรอสักครู่ได้ไหมครับ ผมจะไปถามนายท่านก่อน?”
“กลัวว่าฉันจะหลอกคุณหรือคะ?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มน้อยๆ
“ผมได้หมายความว่าอย่างนั้น” เม่ยอิ่งส่ายหน้าพูด เดินไปที่ห้องรับแขกอีกฝั่งและเตรียมตั้งท่าโทรไปสอบถามหูชีเยี่ยน ทว่าไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านบน…
หูชีเยี่ยนสวมใส่ชุดฉางเผ่ายาวสีดำ พลิ้วไหวลากพื้นไปตามขั้นบันไดทีละขั้น
“เจ้านาย!” เม่ยอิ่งยื่นหน้าออกมาต้อนรับด้วยความเคารพ
“เอาตัวหลินเสวียนหลานออกมา!” หูชีเยี่ยนสีหน้าไร้อารมณ์
“ครับ!” เม่ยอิ่งไม่กล้าถามให้มากความ ได้แต่รีบตบปากรับคำ
ไม่นานชายร่างกายกำยำใส่ชุดสูทสีดำทั้งสองคนก็นำหลินเสวียนหลานเข้ามา ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าหูชีเยี่ยนเรียกหาหลินเสวียนหลานครั้งนี้ก็เพื่อระบายอารมณ์โกรธที่ได้รับมาจากหูหวัง ไม่รู้ว่าตรรกะอะไรของเขากัน ตัวเองถูกเล่นงานมา แต่ไปหาแพะรับบาปมาระบายอารมณ์
แต่ดูจากลักษณะโดยรวมของหลินเสวียนหลานแล้วยังดูโอเคอยู่ เพียงแต่ใบหน้าซีดเซียวไปหน่อย
“เม่ยอิ่ง ช่วยส่งจินเหลียนแทนฉันด้วย!” หูชีเยี่ยนพูดกำชับ
“ครับ!” เม่ยอิ่งรับปาก
หลินเสวียนหลานมองซีเหมินจินเหลียนสลับกับมองหูชีเยี่ยน เหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่ปริปากเดินตามซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายไปทางข้างนอก
เม่ยอิ่งขับรถพาพวกเขามาส่งยังโรงแรมย่างกุ้ง แกรนด์
เมื่อกลับมาถึงห้องพักของตัวเองในโรงแรมย่างกุ้ง แกรนด์ ซีเหมินจินเหลียนก็เหวี่ยงกระเป๋าในมือลงบนโซฟา จากนั้นตัวเองก็ถลาตัวลงไปบนนั้น จ่านป๋ายรินชามาให้เธอ “เป็นอย่างไรบ้าง”
“จะเป็นอะไรได้อีก?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายศีรษะ “พอเจอหน้าเขา คำพูดที่ฉันอยากจะพูดก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน จริงสิ หลินเสวียนหลานล่ะ?”
“อยู่ห้องข้างๆ คุณมีธุระหรือเปล่า ผมจะได้ไปเรียกเขา?” จ่านป๋ายถาม
เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า จ่านป๋ายจึงรีบออกไปหาหลินเสวียนหลาน ไม่นานทั้งคู่ก็เข้ามาในห้องด้วยกัน ซีเหมินจินเหลียนเห็นหลินเสวียนหลานแล้ว เดิมทีก็มีคำถามอยากจะถาม แต่ตอนนี้ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี…
“พี่หลินคะ พี่เป็นอย่างไรบ้าง?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“หือ?” หลินเสวียนหลานเงยหน้าขึ้นมาอย่างมึนงง ทำไมเธอถึงถามแบบนี้?
“ฉันหมายถึง คุณหูคนนั้นไม่ได้ทำอะไรพี่ใช่ไหมคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามอีกครั้ง จ่านป๋ายลุกขึ้นไปรินชาให้หลินเสวียนหลาน หลินเสวียนหลานรับชามาและกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท จากนั้นมองซีเหมินจินเหลียนด้วยความงุนงง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงถามเช่นนี้
“หรือคุณบอกฉันได้หรือเปล่าว่าตระกูลหลินของพวกคุณกับเขามีความสัมพันธ์กันอย่างไร?” ซีเหมินจินเหลียนถามอีกครั้ง ที่จริงคำถามนี้เธออยากจะถามหูชีเยี่ยนโดยตรง แต่เมื่อเธอเห็นหูชีเยี่ยนไม่มีที่ท่าจะเอ่ยปาก เธอเลยเลือกที่จะไม่ถามดีกว่า
“คุณไม่รู้หรือ?” หลินเสวียนหลานถามเธออย่างสงสัย เธอไม่รู้เรื่องนี้เหรอเนี่ย?
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า เธอจะรู้ได้อย่างไร เธอไม่ใช่เทพเจ้าที่จะทำนายเรื่องราวในอนาคตได้สักหน่อย?
หลินเสวียนหลานคิดเล็กน้อยถึงได้พูดขึ้น “คุณเป็นผู้สืบทอดของสำนักใต้ แต่คุณกลับไม่รู้เรื่องพวกนี้?”
“เขาต่างหากที่เป็นผู้สืบทอดของสำนักใต้!” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างหมดอารมณ์ ตอนนี้เธอพอเข้าใจสิ่งที่อาจารย์และคุณย่าพร่ำสอนเธอหลายต่อหลายสิ่ง แต่ประเด็นสำคัญบางอย่าง หากไม่ใช่ปัญหาเรื่องความทรงจำของเธอ พวกเขาก็ไม่คิดที่จะบอกให้เธอรู้
“ในสมัยปลายราชวงศ์ชิงจนถึงยุคก่อตั้งสาธารณรัฐจีน สำนักใต้เจริญเฟื่องฟูมาก” หลินเสวียนหลานฝืนยิ้มออกมา “ผมก็เป็นแค่ทาสรับใช้ของสำนักใต้เท่านั้น”
“แค่นี้เหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างแปลกใจ นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว? ถึงตอนนั้นตระกูลหลินจะเป็นทาสรับใช้ของสำนักใต้จริง แต่ตอนนี้มันผ่านไปนานโข เกรงว่าคงไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว?
“ตอนนี้เขาใช้ให้คนนำข้าวของของสำนักใต้มาหาพวกเรา แน่นอนในนั้นมีผลประโยชน์บางอย่าง…” หลินเสวียนหลานพูด
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า สังคมที่มีความต้องการทางวัตถุ ขอแค่มีผลประโยชน์ร่วมอยู่ในนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
“ผลประโยชน์อะไร?” จ่านป๋ายถาม
“คุณรู้ดี จะมาถามผมทำไม?” จู่ๆ หลินเสวียนหลานยิ้มเยือกเย็น “ตระกูลจ่านของพวกคุณก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ไหนจะตระกูลอวิ๋น ตระกูลฉินอีก?”
ซีเหมินจินเหลียนนิ่งอยู่นานพูดอะไรไม่ออก ตระกูลที่ร่ำรวยมั่งคั่งของพวกเขา แต่มีช่วงเวลาหนึ่งที่เคยเป็นทาสของสำนักใต้ด้วย
“ตอนแรกผมก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ถึงได้เข้าใจ ไม่น่าล่ะตอนนั้นที่ผมพูดถึงเรื่องจินเหลียนกับฉินเฮ่า เขาจึงบุ่มบ่ามรีบกลับมาจากอเมริกา และตามจีบคุณโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น” ใบหน้าที่อ่อนโยนและสุภาพของหลินเสวียนหลานตอนนี้แสยะยิ้มคมคาย คิดดูแล้วหลายปีมานี้เขาก็แค่ไอ้ทึ่มคนหนึ่ง
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มขมขื่น ตอนนั้นที่จ่านอิ๋นยอมให้จ่านมู่ฮวาเล่นฉากงานหมั้นบ้าบอนั่นออกมา หากตนเองยอมแต่งงานเข้าตระกูลจ่าน นั่นก็ไม่ใช่ผู้หญิงแต่งงานกับชนชั้นสูง แต่เป็นผู้หญิงแต่งงานกับชนชั้นต่ำกว่า จะว่าอย่างไรตัวเธอเองก็เป็นผู้สืบทอดของสำนักใต้ ส่วนตระกูลของพวกเขาก็แค่ทาสรับใช้ของสำนักเรา…
“สำนักใต้มีคำกล่าวเล่าขานกันมา…ยามเมื่อดอกบัวสีทองเบ่งบาน หินปิดฟ้าจะปรากฏขึ้น!” หลินเสวียนหลานมองทางจ่านป๋าย และถามออกไปอย่างดูแคลนว่า “อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้เรื่องนี้?”
จ่านป๋ายไม่พูดอะไรออกมา ตอนนี้สำหรับเขาแล้วรู้เรื่องนี้หรือไม่รู้ก็ไม่สำคัญทั้งนั้น
ซีเหมินจินเหลียนสับสน ที่แท้ไม่ใช่เพราะเสน่ห์หาในตัวเธอที่ทำให้ฉินเฮ่าปฏิบัติตัวดีกับเธอ จ่านมู่ฮวาที่ตามจีบเธอแทบตาย จ่านป๋ายที่อยู่ข้างกายเธอ ถึงหลินเสวียนหลานจะไม่ได้แสดงออกกับเธออย่างชัดเจน แต่เขาก็ยอมหนีจากงานหมั้นของตนเองกับลู่เฟยอวี๋เพื่อมาทำมื้อเย็นให้เธอที่บ้าน สถานการณ์หลายๆ อย่างแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกของเขา
เป้าหมายของพวกเขาก็ง่ายดายเหลือเกิน พวกเขาไม่ได้ทำเพื่อเธอ แต่ทำเพื่อหินปิดฟ้าในตำนาน
หูชีเยี่ยนไม่กังวลที่หูหวังหรือคนอื่นๆ จะตามหาหินปิดฟ้า แต่เขาเป็นห่วงเธอ น่าจะเป็นเพราะคำทำนายนี้สินะ? โดยที่ไม่รู้ตัวซีเหมินจินเหลียนก็ก้มหน้าลงมองดอกบัวสีทองแรกแย้มบนหลังมือตนเอง ในขณะนั้นรู้สึกว่าดอกบัวสีทองสวยกว่าเก่า สีของมันยิ่งดึงดูดใจคน จนกระทั่งแอบรู้สึกว่ามันใกล้จะเบ่งบานเต็มตัว
ยามเมื่อดอกบัวสีทองเบ่งบาน หินปิดฟ้าจะปรากฏตัว…มีตำนานหินซ่อมฟ้าจริงๆ หรือ?
“ผมไม่ได้ต่ำช้าแบบที่คุณคิดนะ!” จ่านป๋ายส่ายศีรษะ “ผมแค่อยากอยู่กับจินเหลียนไปชั่วชีวิตเท่านั้น!”
“เหรอ?” หลินเสวียนหลานตอกกลับอย่างเมินเฉย “ตระกูลของคุณที่รู้เรื่องราวมากที่สุด ผมคงไม่ต้องพูดหรอกใช่ไหม ชายชราตระกูลจ่านยอมตัดขาดลูกในไส้ได้เชียวเหรอ! ผมนี่ละที่อยากจะให้วันที่หินปิดฟ้าเผยออกมา คุณยังจะกล้าพูดหรือเปล่าว่าคุณแค่อยากจะอยู่กับจินเหลียน โดยไม่มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝง”
จ่านป๋ายเอื้อมมือไปแตะที่บ่าของซีเหมินจินเหลียน พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “แน่นอน! ชีวิตของผมเธอเป็นคนช่วยไว้ ชีวิตนี้ของผมยินดีที่จะทำตามคำสาบานของครอบครัว เป็นทาสรับใช้อยู่เคียงข้างเธอไปตลอดชีวิต”
ไม่สนว่าคำพูดนี่จะจริงหรือเท็จ แต่ซีเหมินจินเหลียนฟังแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ทาสรับใช้? ที่ผ่านมาเธอคิดว่าจ่านป๋ายเป็นคนที่น่าพึ่งพาคนหนึ่งในครอบครัว และไม่ใช่ทาสรับใช้
“จินเหลียน เรื่องที่ผมรู้มันไม่เยอะหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าปู่ของผมเคยเป็นลูกศิษย์ลูกหานอกสำนักของหูหวัง พวกเราก็ไม่สามารถก้าวเท้าเข้าไปยุ่งกับสำนักใต้ได้ ดังนั้นหากคุณอยากรู้เรื่องราวที่ผ่านมาของสำนักใต้ คุณไปถามคุณหูเองจะดีกว่า”
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า สำนักใต้หรือ? เธอก็อยากรู้จริงๆ แต่จะให้ไปถามหูชีเยี่ยนเอง เขาจะบอกหรือ?
“นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณรีบพักผ่อนเถอะ ผมก็เหนื่อยล้าเหลือเกิน” หลินเสวียนหลานพูดพร้อมลุกขึ้นยืนกล่าวลา “พรุ่งนี้ผมจะซื้อตั๋วเครื่องบินกลับเซี่ยงไฮ้”
“ไม่รอให้งานประมูลใต้ดินจบก่อนแล้วค่อยกลับพร้อมกันเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนแปลกใจ “คุณไม่ได้ไปร่วมงานประมูลใต้ดินเลยนี่นา”
“แค่ความสามารถเล็กน้อยของผม ดูก็เหมือนไม่ได้ดู ผมยังมีเรื่องที่ต้องจัดการที่บริษัทอีก ผมรีบกลับไปก่อนดีกว่าครับ” หลินเสวียนหลานส่ายหน้า