ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 266
ซีเหมินจินเหลียนกระดิกนิ้วไปมาด้วยความไม่สบายใจ “เขาเคยทำอะไรบ้างคะ”
“เขาต้องการฆ่าคนทั้งหมดที่พยายามจะตามหาหินปิดฟ้า” ลุงงูยิ้มขื่นๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาหลบหนีได้ไว ครั้งนี้ดวงของเขาคงต้องถึงฆาตแล้ว ในใจเขารู้ดีไม่ว่าเรื่องอะไรที่หูชีเยี่ยนตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ไม่ว่าใครก็อย่าหวังที่จะเปลี่ยนใจเขา สิ่งที่น่าเร้าใจก็คือเขาเกลียดหยก เกลียดเทพธิดาหนี่วาขนาดนั้น แต่เขายังอาศัยรายได้จากการพนันหินเพื่อให้ตัวเองร่ำรวยขึ้นมา และก่อตั้งกองกำลังของเขาอย่างรวดเร็ว
แต่ว่าลุงงูคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าเขาควบคุมกองกำลังทหารพม่าส่วนหนึ่งได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องเงินทองอย่างเดียว?
สามเหลี่ยมทองคำทางนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เดิมทีก็เป็นสถานที่ที่ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว ขอแค่มีเงินก็จัดการเรื่องอะไรได้สะดวก
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูดขึ้นว่า “เขาเคยพูดแบบนี้กับหนูเหมือนกันค่ะ”
“จินเหลียน ที่ลุงมาหาหนูก็เพราะเรื่องนี้ ลุงรู้ว่าหากเขาคิดที่จะยืนกรานทำจริงๆ บางทีหนูอาจเปลี่ยนความคิด แต่การตามหาหินปิดฟ้าเป็นความปรารถนาของพวกเราแต่ละรุ่นที่มีกันมา ลุงไม่ไหวแล้ว หูหวังก็แก่เหลือเกิน เพราะอย่างนั้นความหวังทั้งหมดก็คงต้องฝากไว้กับหลานแล้ว” ลุงงูพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ลุงงูคะ ท่านวางใจเถอะค่ะ ถ้าเป็นไปได้หนูจะตามหาหินปิดฟ้าให้เจอ” ซีเหมินจินเหลียนรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ แน่นอนสิ่งแรกคือต้องรู้ว่าหินซ่อมฟ้ามีอยู่จริงหรือเปล่า หากตอนท้ายเพิ่งมารู้ว่าพยายามไปก็เสียเปล่า คงได้ทำให้คนเจ็บปวดใจเหลือเกิน
อีกอย่างเธอก็ยังไม่เข้าใจความคิดของหูชีเยี่ยน ทำไมเขาถึงห้ามเธอไม่ให้ตามหาหินปิดฟ้า? แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเขาเคยเจอเรื่องทุกข์ใจ อย่างมากที่สุดก็แค่ไม่ให้เธอเข้าไปในเหมืองหยก ไม่มีเหตุผลอะไรอีกเลยเหรอ?
หูชีเยี่ยนบอกว่า ‘มนุษย์บนโลกไม่ต้องการตำนานเทพ!’
ตอนนี้คิดๆ ดูแล้วประโยคนี้ก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เขาไม่ยอมให้ใครหน้าไหนตามหาหินซ่อมฟ้า
“ได้ยินที่หนูพูด ลุงก็วางใจแล้ว” ลุงงูลุกขึ้นยืนถอนหายใจ “นี่ก็ดึกมากแล้ว ลุงไปก่อนดีกว่า”
“ลุงงู ลุงพักอยู่ที่ไหนคะ” ซีเหมินจินเหลียนรีบถาม
“ถ้ามีเรื่องอะไรลุงจะติดต่อหนูเอง” ลุงงูเข้าใจความหวังดีของเธอ เขายิ้มและใส่แว่นกันแดดก่อนลุกขึ้นเดินไปข้างนอก และพูดกับจ่านป๋ายว่า “พ่อหนุ่ม มาส่งฉันหน่อย”
ไม่ต้องรอให้เขาพูด จ่านป๋ายก็ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว และเดินไปส่งเขาถึงหน้าประตู ลุงงูหยุดฝีเท้าลง ก่อนถามว่า “นายทำได้อย่างไร?”
จ่านป๋ายงุนงง ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังถาม
“ความหมายของฉันก็คือ…ทำไมจินเหลียนถึงได้เชื่อใจนายได้ถึงขนาดนี้?” ลุงงูถามออกไปตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
“ผมดูเป็นคนที่ทำให้คนอื่นเชื่อใจง่ายเหรอครับ?” จ่านป๋ายยิ้ม สำหรับคำถามนี้เขาก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“ทำไมฉันยิ่งมองนายแล้วยิ่งไม่วางใจเลยนะ?” ลุงงูยิ้มเยือกเย็นขึ้นทันใด
“เป็นไปได้ยังไงกันครับ?” จ่านป๋ายยิ้มขื่นๆ แอบพูดในใจว่า ถ้าท่านวางใจผม ผมคงได้อึดอัดใจแย่ เพราะท่านไม่ใช่จินเหลียน
ลุงงูกวาดสายตามองเขาอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยว่า “อย่ารังแกจินเหลียนของพวกเรา ไม่อย่างนั้นฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่”
จ่านป๋ายได้ยินแล้วอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เขารังแกซีเหมินจินเหลียน นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? แต่เมื่อลองคิดในมุมมองของลุงงูแล้วเขาก็พอเข้าใจ สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ ใครบ้างจะไม่กังวลว่าลูกสาวจะถูกรังแก?
แม้ลุงงูจะไม่ใช่พ่อแม่ของซีเหมินจินเหลียน และไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแม้แต่น้อย แต่เนื้อแท้ของลุงงูก็มีความเป็นพ่อได้มากกว่าหูชีเยี่ยน และเป็นห่วงเป็นใยซีเหมินจินเหลียนยิ่งกว่า
“คุณวางใจได้ครับ” จ่านป๋ายรับปากอย่างหนักแน่น
“อืม” ลุงงูพยักหน้าและหันกายเดินจากไป เมื่อเงาหลังของเขาหายเข้าไปในความมืดแล้ว จ่านป๋ายถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ปิดประตูแล้วเดินเข้ามา เห็นซีเหมินจินเหลียนนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องรับแขก
“กำลังคิดอะไรอยู่เหรอครับ” จ่านป๋ายถามออกมาด้วยความห่วงใย
“ลุงงูพูดอะไรกับคุณเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถาม “เขาถึงได้ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่อยากให้ฉันรู้?”
“เขากลัวว่าผมจะรังแกคุณน่ะ” จ่านป๋ายยิ้ม “ไม่ดูเลยว่าที่จริงผมต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกรังแก”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ ลุงงูก็เป็นแบบนี้ ชอบห่วงว่าเธอจะถูกคนรังแก…ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งตอนนี้
“ตอนที่ฉันยังเด็กเขาก็เป็นแบบนี้ละ ฉันเคยบอกกับคุณแล้ว ตอนฉันยังเด็กลุงงูเคยอยู่บ้านฉันระยะหนึ่ง เขาคอยกังวลว่าฉันจะถูกคนอื่นรังแก…” พูดถึงเท่านี้เธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ พริบตาเดียวก็ผ่านมาหลายปีแล้ว
“ผมดูออกว่าเขารักและเป็นห่วงคุณมาก มากกว่าหูชีเยี่ยนกว่าด้วยซ้ำ” จ่านป๋ายพูดความจริง
“นอนเถอะ!” เมื่อพูดถึงหูชีเยี่ยน ซีเหมินจินเหลียนก็ได้แค่ยิ้มฝืนและลุกขึ้นเดินไปด้านบน
…
“จินเหลียน คุณแน่ใจนะว่าจะเจียรเปลือกหินออกให้หมด?” จ่านป๋ายถือเครื่องเจียระไนไว้ในมือ มองหินหยกดิบขนาดใหญ่และถามขึ้น หินหยกก้อนนี้ซื้อมาจากเถ้าแก่หลี่ ซีเหมินจินเหลียนซื้อมาจากเขาไม่น้อยเลย…ในนั้นมีสมบัติล้ำค่าของเถ้าแก่หลี่ที่สะสมมาหลายปี หินหยกทั้งสองก้อนถูกเธอทุ่มเทซื้อมาด้วยราคาหนักกระเป๋า
แต่การเปิดเปลือกหินครั้งนี้ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ให้เขาใช้วิธีเปิดหินด้วยการลงมีดตัด แต่ให้เขาใช้เครื่องเจียระไนค่อยๆ เจียรผิวหินออก
หินหยกผิวสีดำอีกา ซีเหมินจินเหลียนยังไม่มีแผนคิดจะลงมือ ดังนั้นเขาจึงเลือกผิวสีเทาขาวก้อนนั้นก่อน แน่นอนว่าซีเหมินจินเหลียนไม่มีทางบอกเขาว่าหินหยกก้อนนั้นตัดไม่ได้…ไม่อย่างนั้นหยกเนื้อแก้วสีเขียวสดทั้งเม็ดคงไม่เหลือให้ทำแท่นบูชาผลไม้ขนาดใหญ่ดั่งใจที่หวังไว้แน่
ลงมีดตัดไปก็เท่ากับว่าสูญเสียมหาศาล ดังนั้นแม้จะเป็นการเปิดเปลือกหินเธอก็ต้องคอยระมัดระวัง
ในช่วงที่เธอกับจ่านป๋ายไม่มีอะไรทำ แน่นอนว่าพวกเขาเลยมาฆ่าเวลากับหินหยกใต้ดินเหล่านั้น จ่านป๋ายชอบการเปิดเปลือกหินเป็นพิเศษ เช้าตรู่วันถัดมาก็รีบลงมายังห้องใต้ดินเตรียมลุยงานใหญ่ที่รออยู่ตรงหน้า
เพราะห้องใต้ดินค่อนข้างเล็ก และห้องชั้นล่างของซีเหมินจินเหลียน นอกจากห้องรับแขกและห้องครัวแล้ว ห้องอื่นๆ ก็ยังว่างอยู่ จ่านป๋ายลองคำนวณดูแล้ว ในอนาคตซีเหมินจินเหลียนคงต้องพนันหินและเปิดเปลือกหินอีก ห้องใต้ดินมันก็เล็กเกินไปจริงๆ ดังนั้นจึงจัดการเปิดห้องชุดสองห้องให้เชื่อมต่อกับห้องใต้ดิน กลายเป็นที่ตั้งของหินหยกดิบกองพะเนินและที่สำหรับเปิดเปลือกหิน อีกทั้งสถานที่แปรรูปหยก
แน่นอนมีเขาอยู่ เรื่องระบบความปลอดภัย ซีเหมินจินเหลียนจึงไม่กังวลเลยสักนิด
จ่านป๋ายหยิบเครื่องเจียระไนมาเจียรส่วนที่ผิวหินเบาบาง ไม่นานหยกสีเขียวสดก็เผยออกมาให้เห็น…
“จินเหลียน เนื้อแก้วสีเขียวสด สีมีคุณภาพ!” จ่านป๋ายยิ้ม เพราะซีเหมินจินเหลียนกำชับให้ระมัดระวังเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงกอดความหวังที่ยิ่งใหญ่ไว้อยู่
ซีเหมินจินเหลียนกำลังแกะสลักหยกสีแดงเป็นเทพดาวโซ่ว “เจียรออกมาให้หมด”
“รับทราบครับ…” จ่านป๋ายรีบตอบกลับ
เพราะเนื้อแก้วสีเขียวทั้งเม็ด แถมยังเป็นสีเขียวสดบริสุทธิ์อีก จ่านป๋ายจึงไม่กล้าจะวางใจ ในที่สุดหินหยกดิบทั้งก้อนก็ใช้เวลาเจียรหินทั้งวัน จนถึงเวลาพลบค่ำถึงได้เจียรผิวหินออกมาจนหมด เมื่อมองหินหยกดิบก้อนใหญ่ที่น้ำงามเปล่งปลั่งอยู่เบื้องหน้าแล้ว จ่านป๋ายก็ใช้น้ำใสสะอาดราดลงไปยิ่งทำให้สีเขียวนั่นชัดเจนยิ่งขึ้น
ซีเหมินจินเหลียนไล่สายตามองหยกก้อนนั้นไปทั่ว ตอนที่ซื้อนั้นน่าจะฉุกคิดขึ้นได้บ้าง ตอนนี้อยากจะนำมาทำเป็นภาชนะขนาดใหญ่ คงไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ขั้นแรกต้องคว้านเนื้อหินส่วนตรงกลางออกมาให้หมด แต่หินหยกก้อนนี้ดูไม่ค่อยหนา ถ้าเธอจำไม่ผิดหนาแค่ประมาณหนึ่งเซนติเมตร ถึงมีเยอะก็เยอะไปไม่มากกว่านี้หรอก
รูปทรงดูดีเลย แม้จะไม่ได้กลมมาก แต่รูปร่างก็ถือว่าสวยงาม เสริมกับก้นที่แบนราบ แค่เจียระไนหินนิดหน่อยก็ได้แล้ว ลักษณะภายนอกแกะสลักเป็นลวดลายดอกไม้ก็ลงตัวพอดี
ปัญหาตอนนี้ก็คือ หินตรงกลางเธอจะนำพวกมันออกมาอย่างไรให้ปลอดภัย ไม่อย่างนั้นหากทำไม่ดีก็อาจจะทำให้ผนังหยกของภาชนะใบนี้แตกร้าวก็ได้
“จินเหลียน คุณเป็นอะไรไปครับ” จ่านป๋ายเห็นเธอมองหินหยกดิบก้อนนั้นอย่างเหม่อลอย
“ฉันกำลังคิดว่าจะจัดการกับมันยังไงดี” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“ไม่ตัดออกเหรอ?” จ่านป๋ายสงสัย ของตกแต่งที่ทำจากหยกขนาดใหญ่ขนาดนี้ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน
“เนื้อแก้วสีเขียวสดก้อนเล็กๆ มีเยอะแล้ว จะทำเครื่องประดับหรือของใช้เล็กๆ ก็เพียงพอถมเถ แต่ฉันยังไม่เคยทำชิ้นใหญ่นี่นา” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“ฐานรองนั่งดอกบัวสีเลือดนั่นยังไม่ใหญ่พอเหรอครับ?” จ่านป๋ายได้ยินแล้วก็นึกถึงมันที่วางอยู่ในห้องของซีเหมินจินเหลียน และหยกสีเลือดดอกบัวนั่นถูกเธอใช้เป็นเก้าอี้นั่ง
“เฮ้อ…” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะและพยักหน้า “อันนั้นก็ใช่ แต่อันนั้นยังแกะสลักไม่ละเอียดเท่าไหร่ ฉันอยากจะทำอะไรที่สวยงามกว่านั้น!”
“ถ้าแบบนั้นยังไม่เรียกว่าสวย แล้วต้องแบบไหนกันที่เรียกว่าสวยได้?” จ่านป๋ายถอนหายใจออกมา
ซีเหมินจินเหลียนนึกถึงหินหยกก้อนใหญ่ที่ซื้อมาจากบ้านตระกูลหนิง “หลายสี!”
“คุณก็เรียกร้องสูงเกินไป!” จ่านป๋ายส่ายหน้าถาม “จ่านมู่ฮวาโทรมาชวนคุณกินข้าว คุณจะไปหรือเปล่า?”
“คนเขียนบทภาพยนตร์บ้านั่นอยากจะเปลี่ยนเรื่องราวของฉัน ฉันไม่ไปไม่ได้หรอก” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก พร้อมกับส่ายหน้าไปมา
“ทำไมล่ะครับ” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย
“ใครจะไปรู้ล่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายมือปัด “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปคลับหยกกัน”
…
ป๋ายเหมิงเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์ที่อายุน้อยที่สุดและมีความสามารถมากที่สุดในประเทศจีน เพราะต้นฉบับบทภาพยนตร์เนื้อหาเยอะเกินไป ค่าสายตาของเขาก็เยอะพอๆ กับความโด่งดังของเขา ในคลับหยกที่หรูหราน่าตะลึง ไม่รู้ว่าเขาพูดคำหยาบไปกี่ประโยคแล้ว
นัดเขามากินข้าวก็เพื่อเจรจาเกี่ยวกับบทภาพยนตร์เรื่องหินปิดฟ้าของเทพธิดาหนี่วา แต่นี่เขารอกว่าสี่สิบนาทีแล้ว พวกเขาไม่รู้หรือไงว่าเขาคือนักเขียนบทภาพยนตร์ชื่อดัง และเขาค่อนข้างยุ่งมาก อีกเดี๋ยวคงต้องสั่งสอนพวกเขาสักหน่อย เวลามีค่าดั่งทองคำ เวลาไม่เคยรอใคร ใช้เวลาไม่คุ้มค่ามันใช้ไม่ได้
และในระหว่างที่ป๋ายเหมิงกำลังคับแค้นใจอยู่นั้น ผู้ลงทุนถ่ายหนังเรื่องหินปิดฟ้าของเทพธิดาหนี่วา นักธุรกิจไม่ซื่อตรงอย่างจ่านมู่ฮวาก็เสด็จมาถึงได้เสียที อีกทั้งยังมีหนุ่มสาวอีกคู่เดินตามเข้ามาพร้อมเขา
ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาดูเรียบง่าย หญิงสาวน่ารักสดใส แน่นอนว่าป๋ายเหมิงยกคุณงามความดีทั้งหมดนี้ให้แก่สายตาสั้นของเขา บางทีถ้าตัวเองสายตาดีพออาจจะพบว่า…ความจริงแล้วสองคนนี้ก็ธรรมดามาก ผู้หญิงใบหน้าอาจจะเต็มไปด้วยกระ ส่วนผู้ชายอาจจะหน้าตาอัปลักษณ์มีแผลผุพองที่จมูกก็ได้
หลังจากมองจ่านมู่ฮวา ป๋ายเหมิงถึงได้รู้ว่าผู้หญิงผู้ชายยุคนี้หากหน้าตาดีเกินไปก็เป็นโทษ เขาเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์ ปกติก็พบปะอยู่กับดาราภาพยนตร์ไม่น้อยเลย แต่ผู้ชายอย่างจ่านมู่ฮวายากนักที่จะได้พบเจอ