ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 268
ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยความสงสัย “เตรียมตัวอะไร? หรือการที่เขาชอบฉัน แล้วฉันต้องเตรียมตัวชอบเขาตอบอย่างนั้นเหรอ?”
จ่านป๋ายยิ้ม “คุณชอบเขาหรือเปล่า”
“ฉันชอบคุณยังดีเสียกว่า!” ซีเหมินจินเหลียนหมดอารมณ์จะพูด
“ผม…คุณ…ถ้าอย่างนั้นคุณชอบผมหรือเปล่า” จ่านป๋ายลองถามดู
“ชอบสิ!” ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ปิดบังความรู้สึกของเธอสักนิด พูดออกไปตรงๆ ว่า “ถ้าฉันไม่ชอบคุณ แล้วจะยอมให้คุณมาคอยป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกายฉันทุกวันให้เหม็นขี้หน้าทำไมกัน?”
จ่านป๋ายหันไปขับรถต่อ ซีเหมินจินเหลียนจึงเอียงศีรษะไปมองเขา จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา “คุณก็หน้าแดงกับเขาเป็นเหมือนกัน พระเจ้า…”
จ่านป๋ายที่พยายามอดกลั้นอยู่นานพูดขึ้นว่า “คุณมีความสุขมากใช่ไหมที่ได้ล้อผม?”
“ฉันล้อคุณเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนเบิกตากว้าง มองเขาด้วยท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์
จ่านป๋ายมองการกระทำของเธอแล้วยิ้มไม่หุบ “ของดีๆ คุณไม่เลียนแบบ แต่ชอบเลียนแบบท่าทางใสซื่อของสวี่อี้หรานอย่างนั้นเหรอ? แต่ผมไม่ได้พูดเล่นนะ เขาเป็นคนบ้า ถ้าเขาตั้งใจเมื่อไหร่ เขาจะทำทุกหนทางโดยที่ไม่สนใจว่าร้ายดีเพื่อที่จะแย่งชิงมา เพราะฉะนั้นคุณเตรียมใจไว้ก่อนก็ดี เมื่อวานผมรู้สึกว่าเขาดูแปลกๆ ดึกๆ ดื่นๆ ก็รีบมาหาคุณเพื่อที่จะพูดแค่ประโยคเดียว วันนี้เจอกันอีกครั้งผมจึงยืนยันได้เลยว่าการคาดการณ์ของผมไม่ผิด เขารักคุณเข้าแล้วจริงๆ!”
“บางครั้ง การถูกคนรักก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไปหรอก” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมาเบาๆ “ยามเมื่อฉันเฝ้ารอคอยความรัก แต่มันกลับไม่มา พอเวลาที่ไม่อยากได้…” พูดถึงเท่านี้ เธอก็ส่ายหน้าน้อยๆ ชีวิตคนเราก็เป็นแบบนี้ บางครั้งของที่เราไม่ต้องการ เทพเจ้าบนสวรรค์ก็ยัดเหยียดมาให้เรา
“คุณอย่าพูดอย่างนั้นสิครับ?” จ่านป๋ายยิ้ม “มีคนชอบก็ดีกว่าไม่มีใครชอบนะ”
“แล้วคุณว่าสวี่อี้หรานเป็นยังไงบ้าง” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นมากะทันหัน
“หืม?” จ่านป๋ายนิ่งไป สวี่อี้หราน? หรือว่าเธอจะชอบหมอมองโกลคนนั้น? นี่เป็นไปได้อย่างไร? จากการคาดการณ์ของเขาไม่มีทางผิด ในใจของเธอหลินเสวียนหลานยังครองตำแหน่งสำคัญไว้อยู่ ไม่มีทางเป็นสวี่อี้หรานได้
“เขาก็ดูเป็นคนดี แค่นิสัยใจคอแปลกๆ! ความจริงจ่านป๋ายอยากจะพูดว่า ‘ดีกว่าจ่านมู่ฮวา อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เจ้าชู้หลายใจ’
“ฉันไม่ได้ถามคุณเรื่องนี้” ซีเหมินจินเหลียนพูด “เขาเจ้าชู้หลายใจมันเกี่ยวอะไรกับฉันกัน? ฉันแค่ถามว่า ถ้าหาก…อืม…ฉันบอกว่าถ้าหาก…”
“ถ้าหากพวกเขาทั้งสองคนเจอกัน ใครจะแพ้ใครจะชนะอย่างนั้นเหรอครับ?” จ่านป๋ายเข้าใจความรู้สึกเธอ เธออยากจะปกป้องคนที่เธออยากจะปกป้อง จึงจำเป็นต้องผลักคนคนหนึ่งออกไป แต่ก่อนเป็นตัวเขาเอง แต่ตอนนี้เธออาจจะรู้สึกว่าแค่ตัวเขาคงไม่พอ ดังนั้น…ต้องหาคนที่มีกำลังมากยิ่งกว่า
“ถ้าจ่านมู่ฮวากับสวี่อี้หรานเผชิญหน้ากัน เกรงว่าผลสุดท้ายพวกเราอาจจะควบคุมไม่ได้ จินเหลียน คุณอย่าทำแบบนี้ ถึงทำแบบนี้พวกเขาก็ต้องเลือกจัดการคนที่อ่อนแอที่สุดอยู่ดี” จ่านป๋ายพูดตามตรง
ซีเหมินจินเหลียนที่ถูกเขาเดาใจจนทะลุปรุโปร่ง ก็ได้แต่หักนิ้วอย่างไม่สบายใจ เธอก็ไม่อยากจะทำอย่างนั้น เธอแค่อยากจะให้เป็นแบบนี้ต่อไป
ครั้งแรกที่รู้ตัวว่าถูกคนอื่นรักก็น่ากลัวเหลือเกิน โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รู้ถึงอิทธิพลของสวี่อี้หราน และเป็นประจักษ์พยานในการตายของหวังหมิงเหยา…
เมื่ออำนาจอธิพลของบางคนเหยียบย้ำกฎระเบียบ พวกเขาก็แค่ทำตามกฎกติกาเล่นๆ เมินเฉยทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต
ซีเหมินจินเหลียนพลันคิดถึงประโยคที่หูชีเยี่ยนพูดเอาไว้…อารยะธรรมมนุษย์ไม่ต้องการตำนานเทพ ถ้ามีการคงอยู่ของตำนานเทพ ผู้ที่มีอภินิหารยิ่งใหญ่พวกนั้นคงไม่สนุกกับการเล่นตามกฎกติกาทั้งหมดหรอก จนกระทั่งอาจจะเปลี่ยนกฎทุกอย่างให้หมุนตามตัวเอง?
สิ่งที่เขาพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน!
แต่เธอเคยรับปากกับลุงงูไว้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเธอก็จะตามหาหินปิดฟ้า นี่เป็นภารกิจของสำนักใต้ของพวกเขา สามารถใช้การเล่นพนันหินเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวให้ร่ำรวยมั่งคั่ง เพลิดเพลินกับทรัพย์สินเงินทองในชีวิตที่ผู้อื่นไม่มีทางเข้าใจได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเขาจำเป็นต้องรับผิดชอบเรื่องราวทั้งหมดของสำนักใต้ด้วย พยายามอย่างเต็มกำลังเพื่อตามหาหินปิดฟ้า ตามหาอารยะธรรมที่เคยสูญหายในช่วงนั้น…
“จินเหลียน ถึงแล้วครับ” จ่านป๋ายพูดขึ้นตอนที่ซีเหมินจินเหลียนที่กำลังจมอยู่ในความคิด
ซีเหมินจินเหลียนทอดสายตาผ่านไปเห็นหน้าประตูทางเข้าของย่านหลานเหมย มีรถบรรทุกสินค้าคันสีขาวขนาดใหญ่ ท้ายรถเขียนด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ว่า บริษัท XX ขนส่งสินค้า
ซีเหมินจินเหลียนลงจากรถเดินเข้าไปดู
ประตูฝั่งคนขับรถของรถบรรทุกสินค้าคันใหญ่เปิดออก มีเด็กหนุ่มไว้เคราเล็กน้อยลงมาจากรถ ก่อนจะมองไปที่ซีเหมินจินเหลียน “ไม่ทราบว่าคุณใช่คุณซีเหมินจินเหลียนหรือเปล่าครับ?”
“คุณคือบริษัท XX ขนส่งสินค้าใช่ไหมคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ใช่แล้วครับ” ชายหนุ่มไว้เคราหันตัวกลับไปทางห้องคนขับด้านใน พร้อมทำมือเป็นสัญญาณ ไม่นานประตูรถก็เปิดออกมีผู้หญิงผมยาวสลวยลงมาจากรถ
ซีเหมินจินเหลียนแสดงบัตรประจำตัวประชาชนให้เขาดูเพื่อรับของ แต่ผู้หญิงผมยาวคนนั้นยืนกรานบอกว่าต้องการลายเซ็นและตรวจสอบลายนิ้วมือ
ซีเหมินจินเหลียนฝืนยิ้มออกมา นี่มันเรื่องอะไรกัน? เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพัสดุคืออะไร ตอนนั้นจึงได้แต่ถามออกไป แต่สาวผมยาวก็พูดแต่ว่าต้องรอให้เธอยืนยันลายนิ้วมือก่อนถึงจะบอกได้ว่าพัสดุคืออะไร
ซีเหมินจินเหลียนจนปัญญา จึงทำได้แค่ปั้มลายนิ้วมือลงบนกระดาษแผ่นสีขาว จ่านป๋ายจึงขอให้ตรวจสอบตรงนั้นเลย จากนั้นก็ขอแผ่นกระดาษลายนิ้วมือคืนมา ซีเหมินจินเหลียนเคยทิ้งลายนิ้วมือไว้เป็นหลักฐานที่ธนาคาร หากคนพวกนี้เป็นพวกที่ทำธุรกิจหลอกลวงต้มตุ๋น ผลที่ตามมาก็อย่าได้คิด
สาวสวยผมยาวก็ยินยอม เธอหยิบโน้ตบุ๊กขนาดพกพาเพื่อทำการตรวจสอบลายนิ้วมือให้เสร็จเสียตรงนั้น ก่อนจะพยักหน้าเมื่อผลตรงกัน จากนั้นก็ส่งลายนิ้วมือที่อยู่ในกระดาษสีขาวไปให้ซีเหมินจินเหลียนทำลาย
“ตอนนี้สามารถนำของออกมาให้ฉันได้หรือยังคะ” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกประหลาดใจ คนคนนี้เป็นใครกันแน่ถึงได้มีลายนิ้วมือของเธอ? เมื่อสักครู่ตอนที่เธอยืนอยู่ด้านหลังหญิงสาวผมยาว เธอก็มองเห็นอย่างชัดเจนว่าในคอมพิวเตอร์ของเธอมีลายนิ้วหัวแม่มือซ้ายของเธอ และมันสอดคล้องตรงกับลายนิ้วหัวแม่มือซ้ายของเธอบนกระดาษอย่างสมบูรณ์แบบ
และลายนิ้วมือที่เธอทิ้งไว้เป็นหลักฐานในธนาคารก็คือนิ้วหัวแม่มือซ้าย ไม่ใช่นิ้วหัวแม่มือขวา
“พัสดุก็ใหญ่มาก พวกเราช่วยคุณไปส่งให้ถึงข้างในดีกว่าค่ะ” หญิงสาวผมยาวพูดและเปิดท้ายของรถบรรทุก ข้างในมีกล่องไม้ขนาดหนักอยู่หลายกล่อง มองไม่ออกว่าข้างในบรรจุอะไรไว้อยู่ แต่เท่าที่ดูพอเดาได้ว่ามันน่าจะหนักมาก
“นี่เป็นพัสดุอะไรกันแน่?” จ่านมู่ฮวาที่ไม่พูดไม่จาอยู่นานถามขึ้นด้วยความสงสัย ตามความรู้สึกข้างในกล่องไม้สามกล่องนี้น่าจะหนักสักหลายตันอยู่
ชายหนุ่มไว้เครายิ้มเฝื่อน “ผมบอกแล้วคุณห้ามโกรธเชียวนะครับ ความจริงก็แค่หินไม่กี่ก้อนเท่านั้น แต่ผู้ส่งเน้นย้ำว่าให้ระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไหนจะประกันสินค้าที่แพงหูฉี่อีก พวกเราจึงไม่กล้าชะล่าใจง่ายๆ”
หิน? ซีเหมินจินเหลียนได้ยินยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก แต่ก็พยักหน้าพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนให้พวกคุณช่วยขนพัสดุเข้าไปข้างในแล้วกันค่ะ”
จ่านป๋ายไปจัดการติดต่อแผนกรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน และขับรถนำทางไปคฤหาสน์จินเหลียน รถบรรทุกคันนั้นขับตามมาติดๆ เมื่อถึงหน้าประตูบ้านแล้ว จ่านมู่ฮวาก็ใช้เงินหนึ่งพันหยวนจ้างให้พนักงานรักษาความปลอดภัยหนุ่มใหญ่ของหมู่บ้านออกแรงนำหินหยกทั้งสามก้อนย้ายเข้ามาข้างในคฤหาสน์จินเหลียน
เมื่อรอให้ทุกคนแยกย้ายไปกันหมด ซีเหมินจินเหลียนก็นั่งพิงโซฟาและมองไปยังกล่องไม้ด้วยความสงสัย
“อย่ามัวอึ้งอยู่เลย หาเครื่องมือมาเปิดมันดูเถอะ!” จ่านมู่ฮวารีบร้อนและพูดตรงๆ
ไม่ต้องรอให้เขาพูด จ่านป๋ายที่อยู่ในห้องใต้ดินก็หยิบเครื่องมือออกมาแล้ว กล่องไม้แข็งหนา เห็นได้ชัดว่าเป็นกล่องไม้หยาบที่ใช้สำหรับจัดส่งเป็นพิเศษและแข็งแรงทนทานกว่าทั่วไป
เขาหยิบค้อนและคีมปากจิ้งจกรวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ มาช่วย สูญเสียพลังนิดหน่อยถึงเปิดกล่องไม้กล่องแรกออกมาได้สำเร็จ ข้างบนมีฟางยัดไว้เพื่อป้องกันแรงเสียดทานและกระทบกระแทก จ่านป๋ายนำฟางพวกนั้นออกและเรียกเธอขึ้น “จินเหลียน มันคือหินหยกครับ…” แถมหินหยกดิบพวกนี้ยังมีหมายเลขด้วย ถ้าเขาจำไม่ผิดน่าจะเป็นหินหยกดิบในงานประมูลใต้ดินที่พม่าที่ไม่สามารถประมูลกลับมาได้ก้อนนั้น
“จริงเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนรีบเดินเข้าไปดู และมันเป็นหยกสีเขียวจักรพรรดิก้อนนั้นที่เธอพลาดไปในงานประมูลหยกใต้ดินที่พม่าจริงๆ
ของหายแล้วได้คืน ในตอนนี้เธอไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ในเมื่อมีสีเขียวจักรพรรดิ หรือนั่นหมายความว่าหินสีส้มแสงอาทิตย์ก้อนนั้นอาจจะอยู่ภายในกล่องไม้สามกล่องนี้?
“เร็ว! รีบเปิดกล่องไม้ทั้งสองกล่องนี้เร็ว!” ซีเหมินจินเหลียนรีบพูดขึ้น ในใจบ่นพึมพำว่าเป็นใครกันที่ล้อเล่นกับเธอแบบนี้?
จ่านมู่ฮวาเข้ามาช่วยลงแรงอีกคน ไม่นานกล่องไม้กล่องที่สองก็ถูกเปิดออก เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ เป็นหินหยกดิบสีส้มแสงอาทิตย์ก้อนนั้นที่อยู่ด้านบน ส่วนด้านล่างมีหินหยกเกรดต่ำที่เหลือคอยเสริมแต่งอยู่…ความจริงเซทของหินหยกดิบเหล่านี้ หินสีส้มแสงอาทิตย์ก้อนนั้นก็คือหินหยกเกรดต่ำนั่นเอง
เห็นได้ชัดว่าคนที่ให้ของขวัญเธอรู้ดีว่าสิ่งที่เธอชอบก็คือหินหยกดิบก้อนนี้ จึงนำมาไว้ด้านบนสุด
จ่านป๋ายเองก็กลัดกลุ้มมาก เป็นใครกัน? ที่ล้อเล่นใหญ่โตขนาดนี้ ไม่รู้เลยเหรอว่าวันนั้นซีเหมินจิน เหลียนเสียใจร้องห่มร้องไห้ขนาดไหน?
ในขณะที่กล่องไม้ลังที่สามเปิดออก จ่านป๋ายก็รู้ชัดแจ้งในใจแล้วว่าคนที่เล่นใหญ่ขนาดนี้เป็นใคร
หินหยกดิบข้างในกล่องไม้กล่องที่สาม เขาก็เคยเห็นมาก่อนและสัมผัสมาเองกับมือ หินหยกดิบก้อนนั้นมีอุณหภูมิข้างในที่อุ่นร้อน ถึงตอนนี้จะสัมผัสหินหยกก้อนนี้มันก็ยังคงอุ่นๆ ไม่เหมือนกับหินหยกทั่วไปที่เย็นยะเยือก
หูชีเยี่ยน…คนคนนี้แปลกประหลาดเหนือคนจริงๆ แม้แต่ส่งของขวัญให้ลูกสาวยังคิดวิธีแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร
ช่วงเวลาที่ซีเหมินจินเหลียนเห็นหยกเพลิงไฟก้อนนั้นก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง มันก็เป็นแค่การหยอกล้อด้วยความหวังดีของหูชีเยี่ยนเท่านั้น เพียงแต่…เธอดูอย่างไรก็เหมือนการกลั่นแกล้ง
โตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้วยังจะเล่นแบบนี้อีก? เมื่อคิดถึงเงินประกันราคาสิบล้านยูโร ซีเหมินจินเหลียนก็เจ็บหัวใจแวบหนึ่ง ถึงจะมีเงินก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเอามาใช้จ่ายแบบนี้นี่?
“จินเหลียน ใครกันที่ใจกว้างขนาดนี้ ทำไมถึงได้ส่งหินหยกดิบให้คุณตั้งมากมายนักล่ะ?” จ่านมู่ฮวาถามอย่างสงสัย
“เพื่อนที่รู้จักกันที่พม่าคนหนึ่งน่ะ” จ่านป๋ายตอบแทนเขา เขาไม่ยอมบอกเรื่องของหูชีเยี่ยนกับจ่านมู่ฮวาหรอก
จ่านมู่ฮวาเข้าใจผิด จึงขมวดคิ้วพูดขึ้น “ดูอย่างนี้แล้ว มารหัวใจของผมยิ่งมากขึ้นเข้าทุกวัน!”
“คนคนนี้นายก็วางใจได้ เขาเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของจินเหลียน!” จ่านป๋ายพูด
“งั้นเหรอ?” จ่านมู่ฮวาแสดงออกว่าไม่ค่อยเชื่ออย่างชัดเจน ผู้อาวุโสเหรอ? พ่อแม่ของซีเหมินจินเหลียนเสียไปแล้วทั้งคู่ ถึงพ่อกับแม่ของตัวเองจะตายจากโลกนี้ไปเกรงว่าก็คงไม่ยอมใช้เงินมากมายขนาดนี้ทุ่มให้ลูกหลานแน่ หินหยกดิบพวกนี้ราคาของมันคงไม่ต้องพูดถึง เพราะมีเงินประกันกว่าสิบล้านยูโรค้ำหัว มันไม่ใช่เลขจำนวนน้อยเลย
“ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว ก็คงไปได้แล้วใช่ไหมคะ?” ซีเหมินจินเหลียนกลอกตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์