ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 269
จ่านมู่ฮวาหน้าหนาเหมือนฉาบปูนซีเมนต์ “คุณรีบไล่ผมไปอย่างนี้เลยเหรอ? จินเหลียน ผมกำลังคิดว่าผมจะย้ายมาอยู่ที่นี่ดีหรือเปล่า…”
“คุณว่ายังไงนะ?” ซีเหมินจินเหลียนที่เดิมทีกำลังเตรียมตัวขึ้นไปด้านบน เมื่อได้ยินเข้าจึงหยุดฝีเท้าลงและถามแปลกใจ
“ผมบอกว่า ผมสามารถย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ได้หรือเปล่า” จ่านมู่ฮวาใบหน้าปนยิ้ม
ทันใดนั้นใบหน้าของจ่านป๋ายก็พลันเปลี่ยนสี ซีเหมินจินเหลียนแค่นเสียงใส่ “ฝันอยู่เหรอ คุณน่ะ?”
“คุณยังรับมู่หรงไว้ได้เลย แล้วทำไมจะรับผมไม่ได้ล่ะ?” จ่านมู่ฮวาหัวเราะแห้ง “คุณจะฝนตกไม่ทั่วฟ้าแบบนี้ไม่ได้นะ”
ครั้งนี้ซีเหมินจินเหลียนก็ไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไร รีบขึ้นไปด้านบน เมื่อเดินไปถึงโค้งบันได จู่ๆ ก็เหมือนนึกคิดอะไรขึ้นได้ “เสี่ยวป๋าย…”
“มีอะไรเหรอครับ” จ่านป๋ายเงยหน้าขึ้นมอง
“พรุ่งนี้ช่วยไปซื้อสุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ เอาตัวที่ดุร้ายที่สุดกลับมาให้ฉันตัวหนึ่ง ฉันอยากได้สุนัขเฝ้าบ้าน!” ซีเหมินจินเหลียนพูดเสียงดัง
จ่านป๋ายนิ่งงัน แต่ไม่นานก็เข้าใจขึ้นมาในทันที รีบตกปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่จ่านมู่ฮวากลับสีหน้าไม่เปลี่ยน ทอดสายตาส่งซีเหมินจินเหลียนขึ้นไปด้านบน และเหลือบมามองจ่านป๋ายแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไป
“ไม่ส่งแล้วนะ!” จ่านป๋ายแค่นเสียงใส่
“น้องรัก มันต้องเป็นอย่างที่ฉันหวังแน่ แกรอดูเถอะ!” จ่านมู่ฮวาเดินไปถึงปากประตูและพูดขึ้นอย่างเรียบนิ่ง
จ่านป๋ายไม่ได้พูดอะไรออกมา เมื่อเห็นว่าเขาเดินออกจากประตูไปแล้วจึงรีบสะบัดประตูปิดอย่างแรง ในใจแอบพูดว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันอาจจะปล่อยผ่านไป แต่ตอนนี้นายไม่รู้หรอกว่าจินเหลียนมีพ่อวิปริตขนาดไหน ขืนแกกล้าทำอะไรขึ้นมา เขาไม่สับแกเป็นชิ้นๆ ก็แปลกแล้ว
เดิมทีเห็นความสัมพันธ์ของหูชีเยี่ยนกับซีเหมินจินเหลียนค่อนข้างตึงเครียด แต่สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็แค่ความเห็นต่างในการพนันหิน อีกอย่างซีเหมินจินเหลียนอาจจะเข้าใจหูชีเยี่ยนผิดไปบางอย่าง ตอนนี้ที่ได้มองหินหยกดิบเขาก็พอจะแน่ใจได้ว่า หูชีเยี่ยนรักลูกสาวคนนี้ขนาดไหน
จากที่เขากับลุงงูวิเคราะห์ดูแล้ว คนคนนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทิ้งขว้างลูกสาวไว้หลายปีโดยที่ไม่ได้สนใจ แต่นั่นเป็นเพราะว่าใจปรารถนาแต่ไร้แรงกายต่างหาก ตอนที่เขายังมีความสามารถมากพอ เกรงว่าในอนาคตเขาต้องยื่นมือเข้ามาแทรกแซงในชีวิตของซีเหมินจินเหลียนด้วย และคงสามารถทำให้จ่านมู่ฮวาไม่มายุ่งย่ามได้?
…
หูปิงเป็นคนขับรถแท็กซี่ในเซี่ยงไฮ้มาเกือบสิบปี คนมากหน้าหลายตาต่างก็รู้จักเขา วันนี้เขารับลูกค้ามาคนหนึ่ง
ดูเป็นคนชนบทตามแบบฉบับ ทั้งร่างสวมด้วยชุดสูทจงซานสีกรมท่า สไตล์การตัดเย็บแบบเก่า คอเสื้อและแขนเสื้อผ่านการซักหลายครั้งจนเริ่มซีดขาว กางเกงขายาวทรงกระบอก เท้าทั้งสองสวมใส่รองเท้าพื้นพันชั้น ส้นเท้าเหยียบพื้นไม่ได้ยกขึ้นมา ในมือถือห่อสัมภาระสีกรมท่าเช่นเดียวกัน
เมื่อลงจากรถไฟก็เหลียวซ้ายแลขวามองไปมา ดูแล้ว ก็เหมือนบ้านนอกเข้ากรุงครั้งแรก
หูปิงไม่ได้ปริปากถามให้เปลืองน้ำลายมาก กวักเรียกเขาเข้ามานั่งในรถแท็กซี่ของตน คนที่เคยอยู่แต่บ้านนอกคอกนาเมื่อเข้ามาในเมืองก็มีเป้าหมายเพียงแค่สองอย่าง หนึ่งคือมาทำงาน สองคือมาหาญาติ เมื่อลูกหลานทำงานอยู่ในเซี่ยงไฮ้ พวกเขาเลยต้องเข้าเมืองมาเยี่ยมเยียน
หูปิงจัดระเบียบแว่นสายตาสั้นของเขาและทอดสายตามองชายบ้านนอกคนนี้อย่างสงสัย “คุณจะไปไหนครับ”
“ย่านหลานเหมย บ้านเลขที่สามหนึ่งสี่” ชายบ้านนอกคนนี้พูดขึ้น
“โอ้…” หูปิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ย่านหลานเหมย? นั่นเป็นที่ตั้งที่แพงที่สุดในเซี่ยงไฮ้นี่ หรือว่าชายบ้านนอกคนนี้จะมีญาติพักอยู่ที่ย่านหลานเหมย?
“คุณมาหาญาติเหรอครับ” หูปิงถามอีกครั้ง
“อืม มาเยี่ยมลูกสาวน่ะ” ชายบ้านนอกพยักหน้าพูดความจริง
“คุณก็โชคดีเหลือเกิน!” หูปิงพูดด้วยความอิจฉาสุดขีด คนที่สามารถซื้อบ้านในย่านหลานเหมยได้ ต้องไม่ใช่คนร่ำรวยล้นฟ้าธรรมดาๆ
ชายบ้านนอกได้แต่ยิ้ม หูปิงเห็นท่าทางของเขาดูสงสัยเป็นอย่างมาก เอาแต่วิวทิวทัศน์ที่นอกหน้าต่างรถไม่หยุด จึงรีบใช้โอกาสนี้แนะนำเกี่ยวกับทิวทัศน์หรือสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในเซี่ยงไฮ้ให้เขาฟัง
และเป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ชายบ้านนอกคนนั้นก็ดูรู้สึกสนอกสนใจมากเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่เขาจะรับหน้าที่เป็นคนพูดบรรยาย ส่วนชายบ้านนอกคนนั้นรับบทเป็นผู้ฟังที่ดี
…
หูปิงชะลอความเร็วลงเมื่อถึงทางเข้าของหมู่บ้าน และพูดกับชายบ้านนอกว่า “คุณโทรไปหาลูกสาวเถอะครับ ผมจะได้เข้าไปส่งให้ถึงข้างใน” พูดจบเขาก็คว้าโทรศัพท์ส่งไปให้ชายบ้านนอก ในใจก็รู้สึกสงสัยว่าเขาจะใช้เป็นหรือเปล่า?
“อืม” ชายบ้านนอกพยักหน้า ก่อนจะกดโทรศัพท์อยู่พักหนึ่ง เมื่อโทรติดแล้วก็พูดประโยคง่ายๆ บอกลูกสาวของเขาว่าเขามาเซี่ยงไฮ้แล้ว
พนักงานรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านสอบถามนิดหน่อยจึงเปิดทางให้เขาเข้ามา
“ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ” หูปิงถามอย่างสงสัย
“อืม แซ่หู” ชายบ้านนอกตอบกลับ
“บังเอิญอะไรขนาดนั้น?” หูปิงรู้สึกแปลกใจ “ผมก็แซ่หู คุณดูนี่สิ นี่คือนามบัตรของผม…จริงสิ แล้วภรรยาของคุณไม่เข้าเมืองมาเที่ยวด้วยกันเหรอครับ?”
“เขาเสียตั้งนานแล้วล่ะ” ชายบ้านนอกถอนหายใจ ระหว่างที่พูดนั้นก็รับนามบัตรของเขามาถือไว้ในมือ “ไม่แน่ว่าห้าร้อยปีก่อนเราอาจจะเป็นคนในตระกูลเดียวกัน”
หูปิงหัวเราะ ผู้ชายคนหนึ่งเลี้ยงดูลูกสาวให้เติบใหญ่ขึ้นมามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ย่านหลานเหมย บ้านเลขที่สามหนึ่งสี่ ในใจของหูปิงยิ่งกลุ้มใจกว่าเดิม ที่แท้ก็เป็นวิลล่าที่สร้างขึ้นบนเนินเขา คนที่สามารถซื้อที่นี่ได้ต้องร่ำรวยล้นฟ้าขนาดไหน
เวลาบ่ายสามโมงตรง จ่านป๋ายยืนรออยู่หน้าประตูเพื่อรับหูชีเยี่ยน แต่เมื่อเขาเห็นการแต่งกายของหูชีเยี่ยนแล้ว ก็ต้องอ้าปากค้างตกตะลึงไปชั่วขณะ ทำไมมันดูไม่ค่อยเข้ากัน…
โอ้ สวรรค์ คนคนนี้เป็นถึงผู้ทรงอิทธิพลในพม่า หูชีเยี่ยนคนลึกลับซับซ้อนคนนั้น? ทำไมดูแล้วไม่ต่างไปจากชายบ้านนอกคอกนาเลย
“คุณหู คุณมาแล้ว!” จ่านป๋ายฝืนใจพูด
หูชีเยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง พอดีกับที่ซีเหมินจินเหลียนเดินออกมาจากข้างใน เมื่อเห็นสภาพของหูชีเยี่ยนแล้ว เธอก็เบิกตาโตเช่นเดียวกัน ผ่านไปนานกว่าจะได้สติกลับมา
“คุณมาที่นี่ได้อย่างไรคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าหูชีเยี่ยนจะมาเซี่ยงไฮ้ และยังมาหาเธอถึงที่นี่ นี่เป็นเรื่องที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว
แต่ประโยคนี้ของซีเหมินจินเหลียนเมื่อผ่านเข้าหูของหูปิงกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน สมัยนี้ก็เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น ลูกหลานมีชีวิตดีๆ อยู่ในเมือง และลืมพ่อแม่คนที่เลี้ยงดูพวกเขาเติบใหญ่มาด้วยความยากลำบาก จนกระทั่งกลัวว่าเวลาพ่อแม่เข้ามาในเมืองแล้วจะทำเรื่องอับอายขายขี้หน้า จึงห้ามไม่ให้พวกเขาเข้ามาในเมือง
“นั่งรถไฟมา” หูชีเยี่ยนพูด
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ค่ะ ฉันถามคุณว่าทำไมคุณถึงได้มาเซี่ยงไฮ้?” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
หูชีเยี่ยนยังไม่ทันได้พูดอะไร หูปิงก็ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาเปิดประตูรถลงมาและชี้หน้าของซีเหมินจินเหลียนพร้อมก่นด่าว่า “ฉันก็เคยเห็นคนหัวสูง แต่ไม่เคยเห็นคนหัวสูงที่ตีตนเท่าเธอมาก่อนเลย พ่อของเธอเลี้ยงดูเธอมาอย่างลำบากขนาดไหน ส่งเสียเธอเรียนหนังสือ ตอนนี้พอเธอได้ดีเข้ามาซื้อบ้านในเมืองก็ไม่รู้จักเขาแล้วเหรอ? คงคิดว่าพ่อแก่ๆ เข้ามาในเมืองจะทำให้เธออับอายขายขี้หน้ามากสินะ?”
ซีเหมินจินเหลียนน้ำท่วมปาก นี่มันเรื่องอะไรกัน? แต่ประโยคนี้ฟังอย่างไรก็ดูคุ้นหูไม่ใช่เหรอ? หูชีเยี่ยนพูดอะไรกับเขา?
“จินเหลียน พ่อไม่มีเงินติดตัวมาเลย” ในเวลานี้หูชีเยี่ยนก็ยิ่งใส่ไฟเข้าไปเพิ่มความสนุก
ซีเหมินจินเหลียนเหลือบไปมองจ่านป๋าย จ่านป๋ายเข้าใจในทันที หยิบกระเป๋าเงินหนังแท้และยื่นเงินหนึ่งร้อยหยวนไปให้หูปิง “ไม่ต้องทอนนะครับ แต่ถ้าไม่มีอะไรก็อย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่นจะดีกว่า”
หูปิงโกรธเป็นอย่างมาด โดยปกติคนที่ร่ำรวยก็มักจะดูถูกเหยียดหยามคนที่ต่ำต้อยกว่า ไม่นานก็สบถด่าออกมา “คุณเห็นผมเป็นตัวอะไร? แค่มีเงินสกปรกๆ มากกว่าก็ดูถูกคนอื่นได้อย่างนั้นเหรอ?” เมื่อพูดจบเขาก็พูดเสียงสูงว่า “ผู้อาวุโสหู ต่อไปหากคุณมีธุระอะไรที่เซี่ยงไฮ้ก็โทรหาผมได้ตลอดเลยนะครับ!”
“อืม พ่อหนุ่มน่าสนใจดี” หูชีเยี่ยนตอบกลับด้วยความจริงใจ
หูปิงกลอกตามองใส่ซีเหมินจินเหลียน “ดูแลพ่อของเธอให้ดีหน่อย!” จากนั้นถึงได้หันหลังขึ้นรถและสตาร์ทรถออกไป
เมื่อเห็นว่าคนขับรถแท็กซี่ที่น่าสนใจคนนั้นจากไปแล้ว หูชีเยี่ยนก็เงยหน้าขึ้นมองคฤหาสน์ของซีเหมินจินเหลียน “ลูกอยู่ที่นี่เหรอ? ที่นี่ไม่เลวเลยนี่นา เสียดายที่เล็กไปหน่อย ถ้ากว้านซื้อที่ดินแถวนี้ไว้ทั้งหมดแล้วสร้างเป็นบ้านพักสไตล์สวนหยวนหลินคงไม่เลวเลย”
ครั้งนี้แม้แต่จ่านป๋ายเองก็ยังรู้สึกอยากจะด่าคนขึ้นมา แต่ว่าคนที่พูดนั้นก็เป็นหูชีเยี่ยน
“ทำไมเมื่อครู่นี้คุณถึงไม่พูดต่อหน้าคนขับแท็กซี่คนนั้นล่ะครับ? แกล้งเป็นคนจนทำไมกัน” จ่านป๋ายพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เมื่อพูดจบเขาก็มองไปยังชุดจงซานบนตัวเขา ไม่รู้ว่าเขาไปหาชุดโบราณแบบนี้มาจากที่ไหนกัน
หูชีเยี่ยนลูบคลำเสื้อผ้าบนร่างของตัวเอง หันไปพูดกับซีเหมินจินเหลียนว่า “ก็พวกเธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่า หากใส่เสื้อผ้าแบบนั้นคนเขาจะได้มามุงดูกัน? ฉันเลยตั้งใจใส่เสื้อแบบนี้มาโดยเฉพาะ…อีกอย่างฉันก็ลืมพกเงินติดตัวมาจริงๆ เมื่อก่อนเวลาออกจากบ้านฉันมักจะไม่พกเงินติดตัวน่ะ” เมื่อก่อนเวลาออกจากบ้านมักจะมีบอดี้การ์ดตามเขาอยู่ตลอด เขาเลยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง และตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาไม่มีเงินสักกะหยวน เขาก็ไม่ได้พูดโกหก
“เข้ามาคุยกันข้างในเถอะค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนชิงเดินเข้ามาในบ้านก่อน
สภาพของชายบ้านนอกเมื่อครู่นี้ คนที่ทำให้คนขับแท็กซี่คนนั้นรู้สึกเห็นใจอย่างหูชีเยี่ยน เวลานี้ก็ได้ส่งสายตาอย่างมืออาชีพ เริ่มสำรวจการตกแต่งและข้าวของเครื่องใช้ในบ้านของซีเหมินจินเหลียน สุดท้ายได้ผลสรุปมาว่ายังมีระดับไม่มากพอ
“คุณจะพักอยู่ที่ไหนคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม “ฉันจะได้จองห้องพักให้”
“พ่อจะพักกับลูกนี่ละ ได้ไหมล่ะ?”
ซีเหมินจินเหลียนศีรษะใหญ่กว่าเดิมอีกสองเท่า เขาจะพักที่นี่กับเธอ? พระเจ้าช่วย เธอฟังผิดไปหรือเปล่า?
“ได้ครับ ผมจะไปทำความสะอาดห้องให้” จ่านป๋ายถอนหายใจออกมา ในเมื่อหูชีเยี่ยนปริปากพูดออกมาเองแบบนี้ ซีเหมินจินเหลียนคงไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ
“คุณมาทำอะไรที่นี่คะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
หูชีเยี่ยนนั่งลงบนเก้าอี้ “ถ้าจัดการทั้งสามเรื่องเสร็จ ลูกก็ไม่ต้องไล่พ่อหรอก พ่อจะไปเองทันที!”
“สามเรื่องไหนคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“เรื่องแรกจัดการปีศาจงูให้สิ้นซาก เรื่องที่สองคอยดูห้ามไม่ให้ลูกไปพม่า เรื่องที่สามช่วยลูกหาผู้ชายสักคน…” หูชีเยี่ยนพูด
“เรื่องของฉัน คุณไม่ต้องยุ่งหรอกค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“นั่นก็เป็นเรื่องของลูก” หูชีเยี่ยนยิ้มเยือกเย็น “สำหรับการเป็นพ่อของลูก พ่อก็มีสิทธิ์ที่จะสอดส่องดูความเป็นไปของลูก ไม่อย่างนั้นลูกคงต้องล่องลอยสู่เวหาไปไกลแน่? พ่อจะบอกลูกให้นะ ถ้าหากพ่อยังมีชีวิตอยู่ ลูกก็ต้องล้มเลิกที่จะตามหาหินปิดฟ้า”
“นี่เป็นเป้าหมายที่คุณมาเซี่ยงไฮ้เหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ใช่ ในเมื่อคุยกับลูกไม่รู้เรื่อง พ่อก็ต้องมาดูลูกด้วยตัวเอง!” หูชีเยี่ยนยิ้มอย่างเยือกเย็น “ถ้าลูกกล้าที่จะไปพม่า พ่อก็จะทำให้ลูกหยุดคิดเสีย! อีกอย่างตอนนี้พ่อจะสั่งกำลังควบคุมการส่งออกหินหยกดิบที่พม่าอย่างเคร่งครัด” ในเวลานี้เองเขาก็กลับมาเป็นคนเยือกเย็นไร้ความรู้สึกอีกครั้ง…