ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 289
แต่ซีเหมินจินเหลียนเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ในเมื่อเป็นหูชีเยี่ยนที่ทำอะไรบนร่างของจ่านอิ๋น ไม่จะวางยาพิษหรือใช้วิธีการใดๆ ก็ตาม แต่ทำไมแค่ให้นางพญางูขาวกัดแค่ครั้งเดียวอาการของเขาก็จะดีขึ้นแล้ว นางพญางูขาวไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของเขาสักหน่อย? เป็นของลุงงูต่างหาก!
อีกอย่างเขารู้ได้อย่างไรว่านางพญางูขาวอยู่กับเธอ?
“คุณหู บุญคุณที่ท่านช่วยเหลือไว้ มู่ฮวาจดจำขึ้นใจ มู่ฮวาขอพาพ่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อน หากคุณหูมีเรื่องอะไรที่อยากให้ผมช่วยในเมืองเซี่ยงไฮ้ ขอแค่คุณเอ่ยปากออกมาก็พอครับ!” จ่านมู่ฮวาพูดพลางประคองร่างของจ่านอิ๋นให้ลุกขึ้นพร้อมกล่าวลา
“ไม่เป็นไร ถ้าอาการกำเริบอีกก็ให้รีบพามาให้นางพญางูขาวกัดอีกสักครั้งก็พอ” หูชีเยี่ยนยิ้ม
จ่านมู่ฮวาถอนหายใจด้วยรู้ดีอยู่เต็มอก อนาคตหากต้องทำตามคำสั่งของหูชีเยี่ยนก็คงต้องทำให้ดี ไม่อย่างนั้นแล้วหากไม่ทำตามความปรารถนาของเขา เกรงว่าตนต้องถูกลงโทษจากเขาแน่
ในขณะที่จ่านมู่หรงและจ่านอิ๋นกำลังเดินออกไปที่ประตู ในระหว่างนั้นพวกเขาก็บังเอิญเจอกับจ่านป๋ายที่กลับมาพอดี จ่านป๋ายเห็นบาดแผลตามตัวของจ่านมู่ฮวาแค่แวบเดียว กำลังจะหัวเราะเยาะเพื่อระบายความโกรธแค้นที่เกิดขึ้นในตอนนั้น แต่ทันใดนั้นก็เห็นสีหน้าซีดขาวซึมเซาไม่กระปรี้กระเปร่าของจ่านอิ๋น จึงได้แต่เงียบปากอย่างสงบเสงี่ยม
ตอนนั้นที่จ่านอิ๋นไล่เขาออกจากบ้าน ความสัมพันธ์ของพ่อลูกก็ถูกตัดขาดกันตั้งแต่คราวนั้น ดังนั้นถึงจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เขาก็ขี้เกียจเอ่ยถามอะไรให้มากความ
จ่านป๋ายยืนอยู่หน้าประตู หลีกทางให้จ่านมู่ฮวากับจ่านอิ๋นเดินออกไปก่อน จ่านอิ๋นเดินออกจากประตู จากนั้นหันหลังกลับมาเรียกขึ้น “มู่หรง”
จ่านป๋ายชะงักฝีเท้าหยุดอยู่ตรงนั้น รอฟังประโยคที่เขาจะเอื้อนเอ่ย จ่านอิ๋นอยู่ในความเงียบอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นว่า “มู่หรง ตอนเย็นกลับบ้านมากินข้าวด้วยกันเถอะ”
“ขอโทษครับ แต่ผมต้องดูแลคุณซีเหมิน คงไม่มีเวลากลับไป” จ่านป๋ายส่ายศีรษะ
“แค่กินข้าวด้วยกันสักมื้อก็ไม่มีเวลาเลยเหรอ?” จ่านอิ๋นหันหน้ากลับมาถาม
“เรื่องนี้ผมต้องขออนุญาตเจ้านายก่อน คุณก็น่าจะรู้ว่าผมเป็นบอดี้การ์ดที่คุณซีเหมินจ้างมา” จ่านป๋ายเลี่ยงพูดอย่างชาญฉลาด
“คุณซีเหมิน!” จ่านอิ๋นมองไปที่ซีเหมินจินเหลียน “คุณคิดเห็นว่าอย่างไร ถ้าผมอยากจะให้มู่หรงกลับไปกินข้าวที่บ้านสักมื้อ คุณจะอนุญาตหรือเปล่า?”
ซีเหมินจินเหลียนกำลังจะตอบตกลง แต่ทันใดนั้นก็คิดถึงปัญหาบางอย่างขึ้นมาได้ จึงโคลงศีรษะรีบปฏิเสธ “ขอโทษนะคะ แต่ฉันให้เสี่ยวป๋ายไปไม่ได้หรอกค่ะ”
จ่านมู่ฮวาไม่เข้าใจ ปกติซีเหมินจินเหลียนไม่เคยเป็นคนใช้อำนาจบาตรใหญ่ขนาดนี้ วันนี้เธอเป็นอะไรไป?
“อ้อ?” จ่านอิ๋นพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นไว้วันหลังก็แล้วกัน”
“ก็ดีค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ วันนี้มีเรื่องนิดหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนพูด
จ่านอิ๋นพยักหน้า ภายใต้การประคองของจ่านมู่ฮวาก็ก้าวย่างเดินออกไปข้างนอก รอให้พวกเขาไปกันหมด จ่านป๋ายก็มองไปที่ซีเหมินจินเหลียนกับหูชีเยี่ยนด้วยความแคลงใจ “พวกเขา…เป็นอะไรไปครับ?”
“สมองมีปัญหา กวนบาทา!” หูชีเยี่ยนยิ้มประหลาด “ถ้านายกวนบาทาเหมือนกัน ฉันก็จะเฆี่ยนตีไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รีบเช็ดถูพื้นให้สะอาดหมดจดด้วยล่ะ!”
จ่านป๋ายพยักหน้าตอบรับ อย่างไรเสียตอนที่หูชีเยี่ยนอยู่ พวกเขาก็ไม่ต้องจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดแล้ว บอดี้การ์ดอย่างเขาคนนี้จะรับจ๊อบทุกงานเอง
เมื่อเห็นหูชีเยี่ยนเดินไปทางห้องใต้ดิน ซีเหมินจินเหลียนจึงตามลงไปข้างล่างอีกครั้ง จากนั้นก็ฟุบอยู่กับเก้าอี้และมองภาชนะหยกสามขาใบนั้นที่เขากำลังแกะสลักอยู่
“ทำไมหนูมองมันแล้ว ดูยังไงก็ไม่เหมือนภาชนะหยกสามขาล่ะคะ?” ซีเหมินจินเหลียนฟุบตัวบนเก้าอี้และยิ้ม
“จินเหลียน ทำไมลูกถึงไม่ให้จ่านมู่หรงกลับไปกินข้าวล่ะ?” หูชีเยี่ยนถามขึ้นอย่างกะทันหัน
ซีเหมินจินเหลียนลังเลอยู่นานก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ทำไมจ่านอิ๋นถึงรู้ว่าพ่อแก้อาการปวดท้องได้ล่ะคะ ตามหลักการแล้วเขาน่าจะไปโรงพยาบาลสิ ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะมาหาพ่อ แต่ก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนี้”
“หืม?” หูชีเยี่ยนได้ยินแล้วยิ้มขึ้นทันใด “ลูกฉลาดขึ้นมาแล้วหรือ?”
“หนูก็ไม่ได้โง่นะคะ? เพียงแต่ขี้เกียจจะถามก็เท่านั้น อาจจะพูดได้ว่าหนูดูเป็นคนสุกเอาเผากิน แต่เรื่องนี้สำคัญมาก หนูจะชะล่าใจได้ยังไง” ซีเหมินจินเหลียนนั่งพิงเก้าอี้ ถอนหายใจเบาๆ “พ่อคะ เหมือนหนูจะมีปัญหาบางอย่าง…”
“ตรงไหนที่ลูกมีปัญหา สมองใช้การไม่ได้แล้ว?” หูชีเยี่ยนเจตนาหยอกเหย้า
“พ่ออยากให้ลูกสาวสมองใช้การไม่ได้เหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนยู่ปากและเชิดหน้าไม่สนใจเขา
“ฮะๆ…” หูชีเยี่ยนเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็พลันยิ้มหัวเราะอยู่นาน “ที่เขาคิดถึงพ่อได้อย่างรวดเร็วก็เป็นเพราะว่าเขามีคนใหญ่คนโตอยู่ข้างกาย ถ้าพอเดาไม่ผิดซีเหมินน่งเย่ว์น่าจะอยู่ที่บ้านตระกูลจ่าน”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ปัญหานี้มันเห็นอยู่ซึ่งๆ หน้า สวี่อี้หรานสนิทสนมดีกับจ่านมู่ฮวา แถมจ่านป๋ายยังรู้จักเขา จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอสวี่อี้หราน จ่านป๋ายเคยบอกกับเธอว่าคนคนนี้มีพลังชั่วร้าย เลยทำให้เธอจับตาเฝ้าดูเป็นพิเศษ
และมันก็ดูมีพลังชั่วร้ายจริงๆ แต่สำหรับอาจารย์ของเขายิ่งร้ายแรงกว่ามาก
สีหน้าของซีเหมินจินเหลียนแปลกไปครู่หนึ่งถึงได้เปล่งเสียงออกมา “ตอนที่หนูรู้จักเสี่ยวป๋าย เป็นเพราะเขาเสียเลือดมาก และต้องได้รับการถ่ายเลือดอย่างเร่งด่วน แต่คลินิกเล็กๆ ของจินอ้ายกั๋วมีเลือดในคลังไม่พอ ทำให้คนที่ถ่ายเลือดให้เขามีแค่พนักงานที่นั่น และเลือดของหนูที่เป็นกรุ๊ปเลือดเดียวกันกับเขา…”
เดิมทีเรื่องนี้เธอไม่เคยสนใจมาก่อน แต่เมื่อวานที่จินอ้ายกั๋วโทรมาหาเธอและบอกเธอให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ความจริงในกลุ่มคนที่ถ่ายเลือดให้จ่านป๋ายตอนนั้น มีความไม่เข้ากันในเลือด แต่ตอนนี้จ่านป๋ายยังมีชีวิตอยู่ดี นั่นหมายความว่าในเลือดของกลุ่มคนในนี้ ต้องมีเลือดของใครสักคนที่มีปัญหา…
สวี่อี้หรานเคยจับชีพจรให้เธอ และบอกกับเธอว่าพลังชีวิตของเธอแข็งแกร่งมาก สามารถชนะทุกอย่างได้ หมอมองโกลคนนั้นอยากจะเจาะเลือดเธอไปพิสูจน์ แต่ซีเหมินจินเหลียนก็รีบปฏิเสธทันควัน จะดีก็ช่าง จะไม่ดีก็ช่าง เรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอทั้งนั้น อย่างไรเธอก็ไม่อยากเป็นหนูสีขาวในห้องทดลอง
แน่นอนว่าแม้สวี่อี้หรานหมอมองโกลนั่นจะสงสัยเรื่องเลือดของเธอ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่บีบเค้น และไม่ใช้วิธีสกปรก
แต่ซีเหมินน่งเย่ว์ที่เธอไม่มีความรู้สึกดีๆ ด้วยเลยนั่นไม่เหมือนกัน ใครจะไปรู้ว่าจ่านอิ๋นอาจจะหลอกให้จ่านป๋ายกลับไปแล้วส่งเขาให้กับคนวิปริตนั่นเอาไปศึกษาทดลอง…เสี่ยวป๋ายเป็นคนของเธอ ใครก็แย่งไปไม่ได้
“ลูกกลัวว่าซีเหมินน่งเย่ว์จะตรวจเจออะไรอย่างนั้นเหรอ?” หูชีเยี่ยนยิ้มอ่อน
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูด “เขาไม่ใช่คนดีนี่คะ!”
“ยุคนี้มีใครที่เป็นคนดีกันบ้างล่ะ!” หูชีเยี่ยนยิ้มอย่างใจกว้าง “แต่สิ่งที่ลูกกังวลก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล อย่างไรเสียระวังไว้ก่อนก็ดี”
…
จ่านป๋ายถอดชุดหูฟังออก และยิ้มออกมา ไม่น่าล่ะวันนี้ซีเหมินจินเหลียนถึงได้ดูแปลกไป ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!
…
“เฮ้ย…” ในระหว่างที่ซีเหมินจินเหลียนกับหูชีเยี่ยนกำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องใต้ดิน จู่ๆ ก็มีเสียงของจ่านป๋ายร้องตกใจดังขึ้นในห้องรับแขก
“เกิดอะไรขึ้น?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ เด้งตัวลงมาจากเก้าอี้และก้าวเท้าไปที่ห้องรับแขกอย่างรวดเร็ว
หูชีเยี่ยนเองก็ข้องใจ จึงเดินตามหลังซีเหมินจินเหลียนไป ในห้องรับแขกนั้นใบหน้าของจ่านป๋ายอมทุกข์ เมื่อสักครู่ที่เขาเพิ่งกลับมาจากซื้อกับข้าวก็นำถุงช้อปปิ้งวางไว้บนพื้นตามอำเภอใจ ตอนนี้ไข่ไก่ที่เพิ่งซื้อมาแตกละเอียดกระจัดกระจายอยู่บนพื้น งูขาวตัวเล็กใช้ลำตัวพันรัดไปที่ไข่ฟองหนึ่งอย่างลำพองใจ จากนั้นใช้แรง…เพี๊ยะ ไปกะเทาะเปลือกไข่ที่บอบบาง ทำให้มันรับแรงต้านทานไม่ไหวแตกกระจุย จากนั้นงูตัวขาวก็โถมตัวเขาไปลิ้มรสดูดไข่ไก่…
ซีเหมินจินเหลียนมองจนถลึงตาอ้าปากค้าง เธอไม่เคยให้อาหารนางพญางูขาวมาก่อน เพราะยังไงมันสามารถหาอาหารกินเองได้ แต่…เมื่อก่อนที่ดูสารคดีสัตว์โลก ไม่ใช่ว่างูเขมือบทั้งตัวเหรอ? ของที่ใหญ่กว่านี้ก็ไม่มีปัญหา มันจะกลืนลงเข้าไปในท้องโดยตรง
งูแอบขโมยกินไข่ไก่ นี่ก็ดูไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เมื่อก่อนได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เคยเล่าไว้ว่างูกินไข่ และม้วนตัวอยู่บนต้นไม้ ใช้แรงกระแทกนิดหน่อยก็ทำให้ไข่ไก่ทั้งหมดแตกละเอียด ง่ายต่อการย่อย ตอนเด็กเธอเคยบอกว่างูเป็นสัตว์ที่ฉลาด…
แต่นางพญางูขาวฉลาดกว่านั้น คิดไม่ถึงว่ามันจะพยายามเคาะไข่ไก่ให้แตกก่อนแล้วค่อยๆ ลิ้มลองรสชาติ
“จินเหลียน ไม่ใช่ว่างูตัวนี้กำลังจำศีลเหรอครับ แล้วมันออกมาได้อย่างไร?” จ่านป๋ายมองไปที่งูตัวขาวอย่างงุนงัน เมื่อกินไข่ไก่ฟองหนึ่งเสร็จก็เปลี่ยนเป็นกะเทาะเปลือกอีกฟอง แถมยังมองค้อนใส่จ่านป๋าย
ซีเหมินจินเหลียนเห็นสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “คุณซื้อไข่ไก่มากี่ฟองเหรอ ให้มันกินก่อนแล้วกัน”
“สิบหยวน น่าจะสักยี่สิบฟองได้มั้ง ผมเองก็ไม่ได้นับ” จ่านป๋ายยิ้ม
หูชีเยี่ยนเดินไปข้างหน้านางพญางูขาว คุกเข่าลงกับพื้นและเลือกไข่ไก่ฟองที่ใหญ่ที่สุด ใช้แรงกะเทาะไปบนพื้น เมื่อเปลือกไข่แตกออกมาเล็กน้อย เขาจึงใช้นิ้วมือทำรูเล็กๆ บนไข่ไก่ แล้วนำไข่ไก่ฟองนั้นไปวางบนหัวของนางพญางูขาว…
ไม่นานนางพญางูขาวที่ถูกเปลือกไข่คลุมหัวอยู่นั้นก็พยายามสะบัดหัวของมันอย่างเต็มที่ ใช้แรงแค่นิดหน่อยก็สลัดเปลือกไข่ออกไปได้ ทำให้เห็นว่าบนหัวของมันอาบโพลนไปด้วยไข่ขาวไข่แดง…ใบหน้าจนตรอก
ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ได้แต่ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาไม่หยุด นางพญางูขาวมองไปที่หูชีเยี่ยน ลำตัวม้วนขดและรีบหายเข้าไปใต้โซฟา
“พ่อคะ ดูไม่ออกเลยว่าพ่อก็ชอบแกล้งงูด้วย?” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ตอนเด็กมันชอบแอบมาขโมยไข่กิน พ่อก็ทำแบบนี้กับมันตลอด” หูชีเยี่ยนยิ้ม
“ตอนเด็กหรือครับ?” จ่านป๋ายถามด้วยความสงสัย
“งูตัวนี้ตอนเด็กพ่อเป็นคนเลี้ยงเอง” หูชีเยี่ยนพูดอย่างเป็นธรรมชาติ
“พ่อคะ ไม่น่าจะใช่หรือเปล่าคะ? ทำไมหนูถึงไม่รู้เรื่องนี้?” ซีเหมินจินเหลียนถามแปลกใจ
“ตอนนั้นพ่อจับงูตัวนี้ได้และเอามันไปซ่อนไว้ในบ้าน จากนั้นย่าของลูกรู้เข้าก็ตีพ่อเกือบตาย เธอกลัวงูมาก!” หูชีเยี่ยนยิ้ม จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
จ่านป๋ายพยายามอดทนอดกลั้น ไม่ให้หัวเราะออกมา แต่ซีเหมินจินเหลียนกลับหัวเราะจนยิ้มไปทั้งตาและคิ้วด้วยเสียงดังฟังชัด
“แล้วทำไมต่อมามันถึงกลายเป็นของลุงงูล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม เรื่องนี้ตลกเกินไปแล้ว
จ่านป๋ายคิดอยู่ในใจ หากเขาเป็นลูกชายที่หาเรื่องโชคร้ายใส่ตัว กล้าเอางูมาซ่อนแอบไว้ในบ้าน เกรงว่าเขาก็ต้องถูกคนเฆี่ยนตีจนเดือดพล่านเป็นไฟ คิดไม่ถึงเลยว่าวัยเด็กของหูชีเยี่ยนจะหลากหลายมีชีวิตชีวาขนาดนี้
“แค่งูตัวเดียว พ่อถูกตีตั้งหลายครั้ง เลยจำต้องนำงูตัวนั้นมอบให้ปีศาจงูไปเลี้ยง ผลสุดท้ายเขาก็ตกหลุมรักมัน จึงเป็นที่มาของปีศาจงูอย่างไรล่ะ!” หูชีเยี่ยนยิ้ม “ลูกไม่ต้องหัวเราะขนาดนั้น ตอนที่พ่อจับงูตัวนั้นได้ มันก็ตัวใหญ่เท่านี้ล่ะ ความจริงมันเป็นคนตามพ่อมา…ตอนนั้นพ่อยังอายุได้แค่แปดเก้าขวบ ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เห็นแล้วน่าสนุก! ที่สำคัญก็คือเอามันมาพันไว้บนข้อมือเวลาออกไปไหน คงทำให้คนตกใจกลัวไม่เบา!”
จ่านป๋ายเข้าใจความคิดของหูชีเยี่ยนได้ดี ถ้าตอนเด็กเขาจับงูที่ว่านอนสอนง่ายได้แบบนี้ แถมยังขู่ขวัญให้คนตกใจได้อีก เขาก็คงดีใจแบบนี้เหมือนกัน คิดๆ ดูแล้วเหมือนว่าตอนเด็กๆ เขาก็เคยขุดไส้เดือนออกมาแกล้งจ่านมู่ฮวากับจ่านมู่หง…