ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 298
หูชีเยี่ยนจูงมือซีเหมินจินเหลียนเข้ามา ใบหน้าเคร่งขรึมไม่ยอมพูดจา
ซีเหมินจินเหลียนถลึงตากว้างมองเขาอย่างใส่ซื่อ “พ่อคะ…”
หูชีเยี่ยนยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็นั่งลงบนโซฟาอย่างเหม่อลอย ซีเหมินจินเหลียนโถมตัวเดินไปข้างหน้าเขา “พ่อคะ ไม่โกรธหนูแล้วได้ไหมคะ? เฮ้อ…”
“เป็นอะไร?” หูชีเยี่ยนถามอย่างสงสัย
“ฮ่าๆ ในที่สุดพ่อก็ยอมพูดออกมาแล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนดีใจ เด้งตัวบนโซฟาและนั่งยิ้มร่าข้างเขา
“เดี๋ยวเถอะ พ่อจะตีลูก!” หูชีเยี่ยนถอนหายใจและลากเธอเข้ามา “ที่พ่อโกรธ พ่อก็ไม่ได้โกรธลูกหรอก”
“หนูยังไม่เห็นโกรธพ่อเลยนี่คะ!” ซีเหมินจินเหลียนทำท่าเบะปากและพูดจาออดอ้อน “ครั้งก่อนพ่อบอกว่าหนูไปหาพ่อที่พม่าได้ แต่สุดท้ายก็ห้ามหนูไปพม่าอีก พ่อนิสัยไม่ดี…”
“ตั้งแต่แรกพ่อก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอก!” หูชีเยี่ยนยิ้มๆ ลูบผมยาวสลวยของเธอ จากนั้นก็พลันพูดขึ้น “ถ้าลูกจะแค่ไปเยี่ยมพ่อที่พม่าก็ไม่เป็นไร ถึงพ่อจะกลับไปพม่า พ่อก็จะโทรมาหาลูกบ่อยๆ วางใจเถอะ”
“จริงนะคะ?” ดวงตากลมโตของซีเหมินจินเหลียนสดใสเป็นประกาย แววตาเต็มไปด้วยความหวัง “พ่อจะไม่หายตัวไปอีกนะคะ?”
“ครั้งนั้นมันสุดวิสัย ครั้งนี้พ่อจะหายตัวไปทำไมล่ะ?” หูชีเยี่ยนพูด “โลกตั้งกว้างใหญ่ไพศาล จะให้พ่อไปหลบที่ไหน?”
“แล้วครั้งนั้นพ่อไปหลบที่ไหนล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
หูชีเยี่ยนส่ายหน้า ไม่พูดต่อ จ่านป๋ายเริ่มทำความสะอาดห้องรับแขก หูชีเยี่ยนกับลุงงูทะเลาะกัน ทำให้ข้าวของเสียหายไปบางส่วน เห็นทีพรุ่งนี้ต้องออกไปซื้อของชุดใหญ่อีกแล้ว…
ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้ามองหูชีเยี่ยน สำหรับคำถามนี้เขาไม่เคยเต็มใจที่จะให้ก้าวก่าย แม้แต่แต่งเรื่องหลอกเธอก็ยังขี้คร้านปั้นน้ำเป็นตัว
จู่ๆ ในเวลานี้ โทรศัพท์ของซีเหมินจินเหลียนก็พลันดังขึ้น
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก มองดูเวลาใกล้จะห้าทุ่มแล้ว ยังมีใครโทรมาหาเธออีก? ทันใดนั้นจึงควานหาโทรศัพท์มองดูเบอร์ แต่ก็ยังคงเป็นเบอร์แปลกหน้า
หรือว่าใครจะโทรผิด? แต่เธอก็ยังคงกดปุ่มรับสาย…
“จินเหลียน?” ในโทรศัพท์ มีเสียงของฝ่ายตรงข้ามดังขึ้นด้วยความลังเล ราวกับไม่มั่นใจ
“คุณ…ปู่หู…” ซีเหมินจินเหลียนมองหูชีเยี่ยนด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อย ก่อนนั่งเหยียดตัวตรง ถามขึ้นว่า “คุณปู่อยู่ที่ไหนคะ”
“เซี่ยงไฮ้” หูหวังถอนหายใจ “ปู่ทำโทรศัพท์หาย”
“คุณปู่กลับมาจากเซี่ยงไฮ้ ไม่ได้อยู่ที่พม่าแล้วเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม ในระหว่างที่พูดก็มองหูชีเยี่ยนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วย ตอนนั้นเพราะว่าผิดหวังชอกช้ำจากแสงสีส้มอาทิตย์เลยทำให้เธอไม่มีกระจิตกระใจไปมัณฑะเลย์ แต่ได้ยินว่าเจี่ยหยวนฮวากับหูหวังไปมัณฑะเลย์กัน ดังนั้นเธอเลยกลับมาก่อนพวกเขา
“ปู่ถูกคนไล่ให้ออกจากพม่า!” หูหวังโมโห “แม้แต่โทรศัพท์ก็ยังหายเลย…”
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมา ดูท่าคนที่ไล่ให้หูหวังออกจากพม่าต้องเป็นหูชีเยี่ยนแน่นอน
“จินเหลียน ปู่มีเรื่องอยากถามหนู หูชีเยี่ยนไอ้สารเลวนั่นอยู่กับหนูที่นั่นหรือเปล่า” หูหวังถาม
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ส่งเสียงออกมาอีกครั้ง เธอจะพูดอย่างไรดีล่ะ?
“จินเหลียน เขาอยู่หรือเปล่า?” หูหวังถามอีกครั้ง “ได้ยินว่าไอ้เลวนั่นให้คนมาไล่ปู่ออกจากพม่า…”
หูชีเยี่ยนถือโอกาสแย่งโทรศัพท์มาจากซีเหมินจินเหลียน จากนั้นก็ส่งเสียงอย่างเยือกเย็น “ใช่ ผมอยู่กับจินเหลียนที่นี่ อีกอย่างก็ไม่ต้องใช้คำว่าได้ยินหรอก ผมเองที่เป็นคนไล่คุณออกจากพม่า เป็นไรไปล่ะครับ?”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มฝืดเฝื่อน ครั้งนี้หูชีเยี่ยนแหย่รังแตนอีกแล้ว ที่ลุงงูมาถึงหน้าประตูก็น่าจะเพราะเรื่องนี้…ถ้าพูดคุยกับเขาด้วยเหตุผลคงไม่มีประโยชน์ ทั้งคู่จึงเริ่มลงไม้ลงมือ สุดท้ายหลังจากที่เธอกลับมาจึงเปลี่ยนมานั่งจับเข่าคุยกัน แต่ก็ไม่ได้เจรจาต่อรองกันอย่างเหมาะสมเท่าที่ควร
“ไอ้เลว!” แม้ว่าโทรศัพท์ไม่ได้อยู่ในมือของซีเหมินจินเหลียน แต่ซีเหมินจินเหลียนก็ได้ยินเสียงตะคอกดังลอดออกมาอย่างชัดเจน “เอาโทรศัพท์ให้จินเหลียน!”
แต่หูชีเยี่ยนรีบตัดสาย จากนั้นส่งไปให้ซีเหมินจินเหลียน
ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธอมองไปทางหูชีเยี่ยน “พ่อคะ เขาเป็นปู่ของหนู” ความหมายแฝงของประโยคนี้ก็คือหูหวังคนนั้นก็เป็นพ่อของเขานั่นเอง…เขาจะถ่อมตัวกับพ่อไม่ได้เลยเหรอ?
“ลูกไม่ต้องการปู่หรอก” หูชีเยี่ยนพูด “นี่ก็ดึกแล้ว ลูกรีบเข้านอนก่อนเถอะ”
“อืม ได้ค่ะ พ่อก็รีบนอนนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “รีบพักผ่อนนะคะ”
หูชีเยี่ยนพยักหน้าหงึกหงัก ซีเหมินจินเหลียนจึงลุกขึ้นไปด้านบน จ่านป๋ายเก็บกวาดห้องรับแขกเรียบร้อยแล้ว เขาเดินขึ้นตามไปด้านบนเช่นกัน หูชีเยี่ยนพูดว่า “เสี่ยวป๋าย นายจะขึ้นไปด้านบนทำไม?”
“คอมพิวเตอร์ของจินเหลียนมีปัญหา ผมจะไปลงโปรแกรมให้ใหม่สักหน่อยน่ะครับ” จ่านป๋ายรีบพูด
“อ้อ?” หูชีเยี่ยนมีท่าทางสงสัยไม่คลาย
“พ่อคะ คอมพิวเตอร์หนูโดนไวรัสเล่นงานน่ะค่ะ เลยให้เสี่ยวป๋ายมาช่วยลงระบบให้ใหม่” ซีเหมินจินเหลียนรีบพูด
“อืม” หูชีเยี่ยนถึงได้พยักหน้าไม่ถามอะไร
ซีเหมินจินเหลียนผลักประตูเดินเข้าไปข้างใน เห็นจ่านป๋ายเดินตามติดเข้ามาด้านหลังและรีบปิดประตูให้สนิททันที “มีเรื่องอะไร”
“ทางพม่าส่งแฟกซ์ข้อมูลมาแล้ว…เกี่ยวกับหูชีเยี่ยน” จ่านป๋ายพูด “คุณรอเดี๋ยว ผมจะนำเอกสารทั้งหมดถ่ายโอนใส่เข้าไปในคอมพิวเตอร์ของคุณ”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ห้องนอนของเธอเป็นห้องชุด ข้างหน้ามีห้องหนังสือขนาดเล็ก ไม่ใหญ่นัก บนชั้นหนังสือจัดวางหนังสืออยู่จำนวนหนึ่ง รวมทั้งยังมีของสะสมโบราณ ของตกแต่งจากหยก ส่วนคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมี
จ่านป๋ายกดปุ่มสตาร์ท ไม่นานก็เปลี่ยนไปเป็นหน้าเดสก์ท็อป…
ซีเหมินจินเหลียนจดจ้องมองไปที่รูปภาพขนาดใหญ่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่น่าเล่าหูชีเยี่ยนถึงบอกว่าตนไม่ได้สวยเท่ารูปภาพ ก็เขาหน้าตาหล่อเหลาขนาดนั้น แม้ว่าจะเป็นแค่ภาพมุมข้าง แต่ชุดฉางเผ่าสีดำยาว ส่องแสงระยิบระยับในตอนกลางคืน ก็ยังคงมองไม่ออกว่าเป็นเนื้อผ้าชนิดไหน เสริมเข้ากับผมยาวสลวยไล่ระดับถึงกลางเอว
“นี่เป็นครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวที่พม่า มัณฑะเลย์ เพราะการแต่งตัวที่โดดเด่น เลยทำให้เป็นจุดสนใจของผู้คนมากมาย ในนั้นจึงมีคนมือดีถ่ายรูปได้ อย่างเช่นภาพนี้ไง!” จ่านป๋ายอธิบาย
“รูปภาพนี้ดูเหมือนยังหนุ่มอยู่เลย!” ซีเหมินจินเหลียนชื่นชม “ความรู้สึกเหมือนตอนที่ฉันเคยเห็นเขาตอนเด็ก…”
“ตอนนี้เขาก็ดูไม่แก่ เพียงแต่แค่จงใจแต่งตัวให้แก่ก็เท่านั้น ถ้าเขาเปลี่ยนการแต่งตัวทั้งหมดก็ยังดูหนุ่มอยู่เลย ดูแล้วอายุน่าจะไม่เกินยี่สิบห้าด้วยซ้ำ!” จ่านป๋ายขมวดคิ้วพูด “ถ้าเขาแต่งตัวดีๆ เดินออกไปข้างนอกกับคุณ แน่นอนต้องมีคนไม่เชื่อแน่ว่าคุณเป็นลูกสาวของเขา…ผมล่ะสงสัยเขาน่าจะใช้ยาที่มีสรรพคุณชะลอความแก่ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น คุณลองดูดีๆ สิครับเขาแก่ไหมล่ะ?”
“ฉันเพิ่งรู้ว่าฉันล้มเหลวอย่างมาก” ซีเหมินจินเหลียนกลัดกลุ้มใจ “คุณลองดูสิ เขาหล่อเหลาขนาดนี้ แม่ของฉันก็สวยมาก ทำไมฉันถึงไม่ได้ถ่ายทอดยีนดีจากพวกเขามาบ้างเลย? ไม่น่าล่ะเขาถึงหาว่าฉันสวยไม่พอ!”
“จินเหลียน คุณสวยที่สุดแล้วครับ” จ่านป๋ายยิ้ม “ผมไม่ได้ให้คุณดูว่าเขาหน้าตาดีขนาดไหน เรื่องมันเป็นอย่างนี้ นี่คือครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวที่มัณฑะเลย์ วันที่สิบสามเดือนพฤษภาคม เวลาตีสามโดยประมาณ…”
“หมายความว่าอะไร?” ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ความหมายก็คือ บันทึกเรื่องราวสมัยก่อนของเขาคนนี้ว่างเปล่าทั้งหมด…ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อก่อนเขาทำอะไรและมาจากที่ไหน!” จ่านป๋ายพูดต่อ
“อ๋อ?” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ไม่มีข่าวคราวของหูชีเยี่ยนเมื่อยี่สิบปีก่อน ไม่มีใครรู้ว่ายี่สิบปีนี้เขาไปอยู่ที่ไหน หรือว่าเขาจะถูกฝังอยู่ใต้เหมืองหยกตลอดอย่างนั้นเหรอ? จู่ๆ เขาก็ปีนขึ้นมาด้านบนได้อย่างนั้นเหรอ?
“นี่คืออะไร” ซีเหมินจินเหลียนชี้ไปที่จี้หยกบนหน้าจอคอมพิวเตอร์และถามอย่างแปลกใจ “นี่เป็นหยกแบบไหนกัน?”
จ่านป๋ายมองรูปบนหน้าจอคอมพิวเตอร์และพยักหน้าพูด “ช่วงเวลาที่เขาปรากฏตัว ไร้สมบัติติดกาย ดังนั้นจึงขายจี้หยกนี้ที่มัณฑะเลย์…ด้วยราคาสองแสนยูโร ”
“นี่คือพวงกุญแจหยก!” ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่พวงกุญแจหยกอย่างสับสน สีของหยกก้อนนี้งดงามกว่าที่เธอแกะสลักมอบให้จ่านป๋ายก้อนนั้นเสียอีก ขนาดก็ใหญ่กว่าหน่อย ข้างบนมีเชือกถักสีดำเป็นผีเสื้อ แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือสีของหยกนี้มีห้าสี
“จินเหลียน ตัวอักษรด้านบน คุณรู้จักหรือเปล่าครับ?” จ่านป๋ายปรับขนาดขยายใหญ่ไปยังอีกฝั่งของพวงกุญแจ ขยายต่อหน้าให้ซีเหมินจินเหลียนดูกันชัดๆ
ด้านหลังพวงกุญแจมีตัวอักษรเล็กๆ อยู่สองตัว ขนาดเล็กมาก ตอนนี้ด้วยความช่วยเหลือของคอมพิวเตอร์ จึงสามารถขยายใหญ่ได้อย่างไม่สิ้นสุด ซีเหมินจินเหลียนจ้องมองอักษรสองตัวนั้นอยู่นาน ในใจมีความรู้สึกแปลกๆ แต่เธอไม่รู้จักอักษรสองตัวนี้
“ตอนนั้นคุณหูนำจี้หยกขายไปให้กับนักธุรกิจค้าหยกคนจีนรายหนึ่ง ชาวจีนคนนั้นถ่ายรูปมาให้ ผมไหว้วานคนให้ไปเชิญเขามา…เดิมทีอยากจะเห็นจี้หยกชิ้นนั้น แต่ได้ยินว่าเมื่อไม่กี่วันนี้หูชีเยี่ยนไปหาเขาถึงหน้าประตู และให้ราคาสูงถึงสิบเท่าเพื่อซื้อกลับมา แน่นอนในนั้นเกรงว่าต้องมีขั้นตอนไม่ใสสะอาดบางอย่าง ชาวจีนคนนั้นได้แต่พูดอ้ำอึ้ง หูชีเยี่ยนใช้อำนาจกดขี่คน เขาเลยจำต้องขายไป” จ่านป๋ายพูดอีกครั้ง
“ตอนที่ฉันเรียนมหาลัย ฉันรู้จักศาสตราจารย์จ้าวท่านหนึ่ง เขาเชี่ยวชาญด้านตัวอักษรโบราณโดยเฉพาะ ถ้าปริ้นตัวอักษรสองตัวนี้ออกมา พรุ่งนี้ฉันจะลองไปถามเขาดู” ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่จ่านป๋าย “คุณพูดต่อสิ”
“เรื่องอื่นไม่มีอะไรแล้ว เขาสร้างเนื้อสร้างตัวที่พม่าอย่างรวดเร็ว รุดหน้ากว่าคุณมาก ไม่นานเขาก็สมคบคิดกับผู้นำทางทหารในพม่าได้ จากนั้นจึงมีวันนี้เหมือนที่พวกเราเห็น” จ่านป๋ายพูด
“วันที่สิบสามพฤษภาคมจนถึงตอนนี้ ก็แค่เวลาครึ่งปี ด้วยเวลาแค่นี้ก็ถือว่าเร็วมาก!” ซีเหมินจินเหลียนพูด สิบสามพฤษภาคม…วันนี้เหมือนมีอะไรผิดปกติ?
“ปัญหาก็คือเรื่องราวของเขาทั้งหมดไม่มีอะไรเลย!” จ่านป๋ายพูดเน้นย้ำอีกครั้ง “คุณให้ผมหาว่าเขาทำอะไรในยี่สิบปีนี้ ผมหาเจอได้แค่ครึ่งปีที่เขาหายไป”
“แล้วลุงงูล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ลุงงูไม่ได้พูดโกหก!” จ่านป๋ายพูด “เริ่มแรกเขาไปอยู่ที่พม่าจริง และยังพักอยู่ที่ราบลุ่มระหว่างภูเขานั่นอยู่สามปี ที่แห่งนั้นห่างไกลความเจริญ เหมือนมนุษย์สูญพันธุ์กันหมดแล้ว หูหวังก็เคยไปที่นั่น เรื่องนี้สามารถไปหาหูหวังเพื่อยืนยันได้…หลังจากนั้นแม้ว่าเขาจะหายไป แต่สุดท้ายแล้วเรื่องราวที่เขาบอกก็น่าจะเป็นอย่างที่เขาว่า เรื่องที่ตามหาตัวยาตามหุบเขาป่าลึก”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า จ่านป๋ายจึงพูดต่อ “เม่ยอิง…หลังจางที่หูชีเยี่ยนหายตัวไป เขาก็ซ่อนตัวอยู่ที่พม่า เพราะฝีมือไม่เลวเลยซ่อนตัวอย่างมิดชิด คนคนนี้กับตระกูลของพวกคุณมีความข้องเกี่ยวกันอย่างไร”