ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 346 เดินทางไปยังพม่า
วันต่อมา เวลาประมาณบ่ายสองโมง หลินเสวียนหลานรีบรุดมาที่บ้านซีเหมินจินเหลียน เห็นหน้าซีเหมินจินเหลียนจึงรีบเอ่ยถามทันที “จินเหลียน นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ก็อย่างที่ฉันบอกคุณในโทรศัพท์นั่นแหละค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยพลางหยิบหลิงหลงหยกชิ้นหนึ่งออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เขา “นี่เป็นหลักฐานที่ใช้สำหรับเปิดตู้เซฟในธนาคารของฉัน แต่คุณต้องรออีกสองเดือนถึงจะเปิดตู้เซฟธนาคารได้ ถ้าฉันไม่กลับมาภายในสองเดือน คุณก็ไปเปิดตู้เซฟที่ธนาคาร ในนั้นมีสมุดบัญชีธนาคาร หนังสือยินยอมยกกรรมสิทธิ์บ้านหลังนี้ รวมทั้งพาสเวิร์ดห้องใต้ดินอยู่ในนั้น”
หลินเสวียนหลานกำหลิงหลงหยกแน่น เห็นได้ชัดว่าหลิงหลงหยกชิ้นนี้มีเพียงแค่ครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่ง ซีเหมินจินเหลียนคงจะเก็บไว้ในตู้เซฟธนาคารเพื่อเป็นหลักฐาน แม้ตอนนี้เขาจะมีหลิงหลงหยกอยู่ในมือ แต่เขาก็เอาสมุดบัญชีธนาคารและรหัสผ่านห้องใต้ดินมาไม่ได้อยู่ดี เพราะเขาต้องรออีกสองเดือนถึงจะเอาออกมาได้
แต่… อย่าว่าแต่สองเดือนเลย ต่อให้อีกสองปี หรือยี่สิบปีข้างหน้า เขาก็ไม่มีวันใช้หลิงหลงหยกชิ้นถอนเงินในธนาคารของเธอออกมา และไม่มีทางเอารหัสผ่านห้องใต้ดินออกมาด้วย
“ถ้าคุณไม่กลับมาอีก แล้วผมจะเอาหยกพวกนั้นไปทำไม?” หลินเสวียนหลานส่ายศีรษะ เก็บหลิงหลงหยกใส่กระเป๋าอย่างดี จากนั้นเอ่ยขึ้นใหม่ “ผมจะรอคุณอีกสองเดือน ถ้าคุณไม่กลับมาภายในสองเดือน ผมจะทำลายหลิงหลงหยกชิ้นนี้ทิ้งซะ…”
“อย่าพูดซะเศร้าขนาดนั้นสิ” จ่านป๋ายเอ่ยปลอบซีเหมินจินเหลียน “จินเหลียนจะต้องไม่เป็นอะไร”
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเบาๆ จู่ๆ เธอก็เอ่ยถาม “วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้ว?”
จ่านป๋ายชะงักอึ้ง ยังไม่ทันจะได้ตอบ พลันได้ยินเสียงหลินเสวียนหลานเอ่ยตอบเสียก่อน “วันที่สิบเอ็ด เดือนพฤษภาคม ทำไมเหรอ?”
“อ้อ… เรารู้จักกันจะครบหนึ่งปีแล้วสินะ” ซีเหมินจินเหลียนถอนใจเบาๆ
“จินเหลียน เราบินไฟล์ทคืนนี้ ตอนนี้ยังพอมีเวลาเหลือ คุณยังอยากจะเตรียมอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า?” จ่านป๋ายเอ่ยถาม
ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิดชั่วครู่ ถ้าอย่างนั้นเอาหินราชางูไปด้วยดีกว่า จึงกำชับจ่านป๋ายให้เอาหินราชางูไปด้วย
จ่านป๋ายพยักหน้ารับคำ หินราชางูค่อนข้างใหญ่ เอาขึ้นเครื่องลำบาก ในเมื่อซีเหมินจินเหลียนกำชับให้เอาไปด้วย ต่อให้เป็นเรื่องที่ยุ่งมากแค่ไหนก็ตาม เขาก็จะต้องทำให้ได้
“พี่หลิน เรื่องที่บ้านต้องรบกวนพี่แล้วนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยกำชับ
“ไม่ต้องห่วง” หลินเสวียนหลานพยักหน้าเบาๆ
จังหวะนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของซีเหมินจินเหลียนดังขึ้นพอดี จ่านป๋ายหยิบมันขึ้นมาดู เห็นเบอร์โทรศัพท์ของจ่านมู่หัวแล้วรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมยื่นโทรศัพท์มือถือให้ซีเหมินจินเหลียนแต่โดยดี
ซีเหมินจินเหลียนกดรับสาย เสียงจ่านมู่หัวที่อยู่ปลายสายดังขึ้นทันที “จินเหลียน เกิดเรื่องยุ่งยากนิดหน่อย”
“เกิดอะไรขึ้น?” ซีเหมินจินเหลียนรีบเอ่ยถามทันที
“เราหาพิกัดสถานที่ที่แน่นอนได้แล้ว” จ่านมู่หัวเอ่ย “คุณก็รู้นี่ว่าสถานการณ์ที่นี่ซับซ้อนมาก ที่เหมืองหยกนั่น ตอนนี้มีทหารคุมเข้มอย่างหนัก ผมกับฉินเฮ่าเข้าไปที่นั่นไม่ได้… ที่คุมขังคุณหูอยู่มิดชิดเกินไป ที่สำคัญ อีกฝ่ายมีอาวุธหนักครบมือ ผมกับฉินเฮ่าปรึกษากันแล้ว เราจะมาดูลาดเลาคืนนี้อีกทีว่าสามารถลงมือได้หรือเปล่า”
“โอเค” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพลางเอ่ย “ฉันบินไฟล์ทคืนนี้ ถ้าไม่สำเร็จ พวกคุณต้องรีบถอยออกมาทันทีอย่างปลอดภัย ส่วนที่เหลือพวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะจัดการต่อเอง”
“โอเค ผมยิ่งกลัวตายอยู่ด้วย” จ่านมู่หัวเอ่ย “แต่คุณไม่ต้องเป็นห่วง เราได้ข่าวมาว่าตอนนี้คุณหูยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต ถึงยังไงซีเหมินน่งเยวี่ยก็ยังต้องใช้ตัวเขาเพื่อมาบีบคุณ”
“อืม…” ซีเหมินจินเหลียนถอนใจเบาๆ ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ต้องทนทุกข์ทรมานทั้งเป็น
“คืนนี้ผมจะโทรหาคุณอีกทีก็แล้วกัน” จ่านมู่หัวเอ่ย
“ได้ แล้วค่อยคุยกันคืนนี้” ซีเหมินจินเหลียนกดตัดสาย
จ่านป๋ายมองซีเหมินจินเหลียนท่าทางอึ้งๆ จ่านมู่หัวกับฉินเฮ่าอยู่ที่พม่า? ที่สำคัญ พวกเขายังเตรียมตัวจะบุกเข้าไปช่วยหูชีเยี่ยนที่เป็นตัวประกันคืนนี้ แต่เขากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่างนั้นหรือ?
“จินเหลียน…” จ่านป๋ายขมวดคิ้วถาม “ทำไมพวกเขาถึงอยู่ที่พม่าล่ะ?”
ซีเหมินจินเหลียนมองหน้าเขาครู่หนึ่งจึงเอ่ย “ที่พ่อควบคุมการขุดเหมืองหยกที่พม่า จุดประสงค์หลักก็เพราะต้องการเหมืองหยกที่นั่น คุณก็รู้นี่ว่าเหมืองหยกนั่นไม่ได้อยู่ที่พม่า แต่อยู่ที่ลาวต่างหาก… ได้ยินว่าที่นั่นใครอาวุธหนักกว่าถือว่าใครใหญ่สุด เพราะฉะนั้น พ่อถึงวางแผนมาตลอด ส่วนตระกูลฉิน เบื้องหลังพวกเขาเป็นพวกมาเฟียตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พวกเขาค้าอาวุธสงคราม ย่อมคุ้นเคยกับที่นั่นเป็นอย่างดี”
“หรือพูดอีกอย่างก็คือ คุณหูวางแผนเอาไว้ตั้งนานแล้วอย่างนั้นเหรอ?” จ่านป๋ายเอ่ยถาม
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “พ่อเคยพูดเรื่องนี้กับฉัน แต่ฉันไม่ได้เอามาใส่ใจ แต่ลุงงูบอกว่าที่นั่นน่าจะเป็นที่ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะมีหินซ่อมฟ้า เพราะฉะนั้น ฉันถึงได้สนใจมัน คุณเองก็รู้มาตลอดไม่ใช่เหรอว่าซีเหมินน่งเยวี่ยเป็นคนคุมที่นั่นอยู่ อีกอย่าง หินหยกบางส่วนที่ร้านเถ้าแก่โจวก็มาจากที่นั่นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
“ผมรู้ว่าเขามีเหมืองหยกอยู่ที่พม่า หลังจากผมไปดูหินหยกเป็นเพื่อนคุณคืนนั้น ผมถึงได้รู้ว่าหินหยกร้านเถ้าแก่โจวนั้นมาจากไหน ส่วนเรื่องอื่นผมไม่รู้จริงๆ” จ่านป๋ายเอ่ย
“แล้วแหล่งที่มาของสมิธล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยถามพลางหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้
คราวนี้จ่านป๋ายไม่ตอบ ซีเหมินจินเหลียนถอนใจเบาๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะเขาจับตัวพ่อฉันไป ฉันก็คงจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป หุ้นที่คุณลงทุนให้สมิธก็คงจะมีส่วนของเขาด้วยละสิ? หินหยกของสมิธก็คงมาจากเหมืองของเขาเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”
จ่านป๋ายยิ้มเจื่อน ครู่ใหญ่จึงเอ่ย “ตอนนั้นซีเหมินน่งเยวี่ยลำบากนิดหน่อย แม่ผมก็เลยช่วยเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้น…”
“ฉันไม่สนใจเรื่องของพวกคุณหรอก ซีเหมินจินเหลียนส่ายศีรษะพลางเอ่ย “ตอนที่พ่อฉันกลับมา ตระกูลฉินก็หมดอำนาจแล้ว ทุกอย่างตกอยู่ในมือฉินเฮ่า แต่ฉินเฮ่ารู้ดีว่าถ้าไม่มีแรงสนับสนุนจากข้างนอก เขาก็คงจะประคับประคองทุกอย่างไม่ไหว เขาจึงเป็นฝ่ายยื่นไมตรีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจกับพ่อฉันก่อน”
จ่านป๋ายพยักหน้าเบาๆ เขาเข้าใจเรื่องนี้ดี หากไม่ใช่เพราะหูหวังไปพม่าจนหูชีเยี่ยนต้องเปลี่ยนตัวกับเขา ถ้าเช่นนั้น ป่านนี้คนที่ซวยก็จะกลายเป็นซีเหมินน่งเยวี่ย ไม่ใช่หูชีเยี่ยน
เพื่อเหมืองหยกนั่น สองคนนี้วางแผนมาตั้งแต่ต้นแล้ว
ช่วงที่รอเปลี่ยนไฟล์ทบินที่ฮ่องกง ซีเหมินจินเหลียนเปิดโทรศัพท์มือถือ กดโทรศัพท์หาฉินเฮ่า ฉินเฮ่ารับสายอย่างรวดเร็ว
“เป็นยังไงบ้าง?” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยถาม
“จินเหลียน แผนของเราล้มเหลวแล้ว” น้ำเสียงฉินเฮ่าฟังดูอิดโรยนิดๆ “ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังมากกว่า เราไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะกลัวจะทำให้คุณหูพลอยได้รับบาดเจ็บไปด้วย ส่วนคุณจ่านบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้เราล่าถอยออกมาแล้ว”
“งั้นพวกคุณเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้ฉันถึงที่นั่นแล้วค่อยว่ากันอีกที” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยสั่ง
“ได้” ฉินเฮ่าเอ่ยตอบแล้วกดตัดสาย
ซีเหมินจินเหลียนพิงพนักเก้าอี้ในห้องพักผู้โดยสารขาออกท่าทางเหนื่อยๆ เพื่อรอเปลี่ยนเครื่อง
จ่านป๋ายถอนใจเบาๆ แล้วเอ่ยถาม “คุณให้พวกเขาไปช่วยคุณหูงั้นเหรอ?”
“ถ้าพวกเขาช่วยพ่อฉันออกมาได้ ฉันก็คงไม่ต้องทำอะไรยุ่งยากแบบนี้อีก” ซีเหมินจินเหลียนถอนใจเบาๆ ยื่นมือลูบกระเป๋าที่บรรจุหยกแสงอาทิตย์ทั้งห้าก้อนเอาไว้เบาๆ เมื่อเช้า ตอนที่จ่านป๋ายวางหยกแสงอาทิตย์ทั้งห้าก้อนลงตรงหน้าเธอ หยกตรงหน้าความสวยงามมากเหลือเกิน ชนิดที่สามารถทำให้คนตกตะลึงอ้าปากค้างได้ และเธอก็ตกตะลึงในความงามของพวกมันจริงๆ
สิ่งที่น่าตื่นตะลึงมากยิ่งกว่าก็คือ หยกแสงอาทิตย์ทั้งห้าก้อนมีขนาดเท่าๆ ไข่ไก่ทุกก้อน หยกแสงอาทิตย์ที่วางไว้บนโต๊ะน้ำชาเปล่งแสงสว่างเป็นประกาย จนห้องทั้งห้องเต็มไปด้วยประกายแสงสีรุ้ง
สวีอี้หรานยิ้มเฝื่อน “ถ้าอาจารย์ผมปล่อยให้พวกเขาช่วยคุณหูออกไปได้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ผมก็คงไม่มีอะไรน่ากลัวแล้วล่ะ”
เนื่องจากซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายไม่คุ้นเคยกับที่นั่น ฉวีอี้หรานจึงอาสามาเป็นไกด์นำทางให้พวกเขา ต่อให้เขาไม่พูด แต่ทุกคนก็รู้ดีแก่ใจว่าความจริงเขาเป็นห่วงซีเหมินจินเหลียนต่างหาก และเป็นห่วงซีเหมินน่งเยวี่ยด้วย
เช้าวันรุ่งขึ้น ซีเหมินจินเหลียนถึงนครเมืองย่างกุ้งแต่เช้าตรู่ เธอรีบโทรศัพท์หาซีเหมินน่งเยวี่ยทันที
“คุณจินเหลียน? ถึงพม่าแล้วเหรอ?” เสียงเย็นเยียบของซีเหมินน่งเยวี่ยดังลอดมาตามสาย
“ใช่ เดี๋ยวฉันจะจ้างรถเข้าไปที่นั่น คงถึงก่อนฟ้ามืด” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยยิ้มๆ
“คุณจินเหลียนไม่รักษาคำพูดเลยนะ” ซีเหมินย่งเยวี่ยยิ้มเย็น “ปากก็บอกว่าจะแลกเปลี่ยนกับผม แต่ลับหลังกลับส่งจ่านมู่หัวกับฉินเฮ่าบุกมาช่วยพ่อตัวเองตอนดึกๆ? คุณซีเหมินให้เกียรติไก่อ่อนสองคนนั้นมากเกินไป? หรือว่าประเมินซีเหมินน่งเยวี่ยคนนี้ต่ำเกินไป?”
“ฉันทำอย่างนั้นเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“ผมไม่สนหรอกว่าคุณทำหรือเปล่า ตราบใดที่หงส์เฒ่าตัวนั้นยังทนรับโทษไหว คุณอยากจะทำอะไรก็ได้ ผมยังไงก็ได้” ซีเหมินน่งเยวี่ยยิ้มเย็น
“คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนฟังแล้วแทบจะขว้างโทรศัพท์มือถือทิ้ง “ฉันจะคุยกับพ่อฉัน”
“ได้ ไม่มีปัญหา” ซีเหมินน่งเยวี่ยยิ้มเย็น
ชั่วครู่ เธอได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของซีเหมินน่งเยวี่ยดังลอดมาตามสาย “ไอ้หงส์เฒ่า ลูกสาวแกอยากจะคุยด้วยแน่ะ”
“จินเหลียน… จินเหลียน…” เสียงเหนื่อยอ่อนของหูชีเยี่ยนดังลอดมาตามสาย “ลูกอย่ามาพม่า… อย่า… อ๊าก…”
“ซีเหมินน่งเยวี่ย คุณทำอะไรพ่อฉัน?” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของหูชีเยี่ยนจึงเอ่ยถามด้วยความร้อนรนใจ
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่ให้เขาชิมรสชาติเหล็กนาบร้อนๆ น่ะ ก็ใครใช้ให้เขาพูดจาเหลวไหลล่ะ” ซีเหมินน่งเยวี่ยหัวเราะเสียงน่าขนลุก
“อย่างช้าที่สุดฉันจะถึงที่นั่นคืนนี้ ฉันหวังว่าพ่อฉันจะปลอดภัยดี” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยเสียงเข้ม
“ปลอดภัยงั้นเหรอ? นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อย่างมากผมก็เหลือแค่ลมหายใจให้เขาเท่านั้น” ซีเหมินน่งเยวี่ยเอ่ยแล้วตัดสายทิ้งไปเลย
ซีเหมินจินเหลียนหน้ามืด โมโหจนแทบจะกระอักเลือดออกมาอีก ไม่รู้ว่าสวีอี้หรานไปเอารถจิ๊บมาจากไหน ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายขึ้นไปนั่งบนรถ ส่วนเขาทำหน้าที่เป็นคนขับรถ
“คุณจ่าน คุณกับผมผลัดกันขับรถ ช่วงที่ไม่ได้ขับรถก็ให้พักผ่อนไปก่อน มีถุงนอนอยู่หลังรถ ต่อให้นอนไม่หลับก็ต้องออมแรงเอาไว้” สวีอี้หรานกำชับ “ไม่อย่างนั้น พอไปถึงที่นั่นคืนนี้ มีหวังได้หมดแรงแน่”
“พวกเรารู้แล้ว ต้องลำบากคุณจริงๆ” จ่านป๋ายยิ้มเฝื่อน “ความจริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลยสักนิด”
“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ” สวีอี้หรานทอดถอนใจ “พ่อผมเคยพูดคุยสู่ขอลูกสาวกับคุณหูแล้ว ถึงแม้คุณหูจะยังไม่ได้ตอบตกลง แต่…” พูดถึงตรงนี้แล้วเหลือบมองซีเหมินแวบหนึ่งจึงเอ่ยต่อ “เรื่องของจินเหลียนก็เหมือนเรื่องของผมครับ”
รถวิ่งโคลงเคลงไปตามทางภูเขาอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะตอนที่วิ่งออกจากพม่าเพื่อเข้าสู่ลาว สวีอี้หรานบอกพวกเขาว่าตอนนี้พวกเขาเดินทางเข้าชายแดนลาวแล้ว จะต้องระวังตัวให้มากๆ เพราะที่นี่มีกองกำลังติดอาวุธหลายกลุ่ม ถ้าไม่ระวังให้ดีอาจจะเจอปัญหาใหญ่ได้