ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 347-1 หินซ่อมฟ้า (ตอนอวสาน)
สวีอี้หรานเห็นซีเหมินจินเหลียนเอาแต่นั่งเหม่อ จึงยื่นยาเม็ดสีแดงอ่อนเม็ดหนึ่งให้เธอ “จินเหลียน ยานี่ช่วยให้หลับยาว ที่สำคัญ มันไม่มีผลข้างเคียง”
“ฉันไม่กิน” ซีเหมินจินเหลียนส่ายศีรษะปฏิเสธความหวังดีของเขา ตั้งแต่เล็กจนโต เธอแทบจะไม่ค่อยได้กินยาเลย เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาลุงงูอีก เสียงตอบรับอัตโนมัติดังขึ้นเหมือนเดิม “หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิดให้บริการ”
“คุณทำแบบนี้ไม่ได้เรื่องอะไรหรอก ใจร้อนไปก็ไม่มีประโยชน์” จ่านป๋ายที่นั่งอยู่ข้างเธอเอ่ยปลอบ “เป้าหมายของซีเหมินน่งเยวี่ยคือหินซ่อมฟ้า เขาไม่ทำอะไรให้คุณหูต้องลำบากหรอก” เขาพูดคำพูดประโยคนี้นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว และรู้ดีว่าถึงพูดไปก็ไม่อาจปลอบใจเธอได้
ซีเหมินจินเหลียนไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนตั้งแต่เด็ก การได้รับรู้ว่าพ่อของเธอยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้จึงเป็นเรื่องที่เธอดีใจที่สุด สำหรับเธอ ตำแหน่งของหูชีเยี่ยนที่อยู่ในใจเธอจึงเป็นตำแหน่งที่ใครก็แทนที่ไม่ได้ แม้แต่หูหวังยังไม่อาจแทนที่ได้
แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าหูหวังเป็นปู่ของเธอ แต่ทุกครั้งที่ซีเหมินจินเหลียนเรียกเขา เธอมักจะเรียกสกุลของตามท้ายด้วยทุกครั้ง จ่านป๋ายรู้ดีว่าในใจเธอยังแบ่งความสัมพันธ์ไกลใกล้อยู่กลายๆ
“คุณกับซีเหมินน่งเยวี่ยเกี่ยวข้องกันยังไง?” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็เอ่ยถาม
“แค่ก… แค่ก…” สวีอี้หรานไอแรงๆ
“ถ้าเจ็บคอก็ยากินบ้างนะ” จ่านป๋ายครางฮึ
“ผมก็แค่หัวเราะ ไม่ทันระวังก็เลยสำลักเท่านั้น” สวีอี้หรานยิ้มแห้ง
“จินเหลียน ผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน” จ่านป๋ายรีบอธิบาย “คุณก็รู้นี่ ครอบครัวผมกับเขาไปมาหาสู่กันเพราะเรื่องธุรกิจ ก็เลย…”
“หินหยกส่วนใหญ่ที่บริษัทของคุณสมิธคงมาจากเหมืองหยกของเขาที่คุณใช้เส้นสายได้มาสินะ? จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็เอ่ยถาม
จ่านป๋ายตะลึงอ้าปากค้าง เธอรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
“คงมีแต่เหมืองหยกนั่นที่เดียวล่ะมั้งที่สามารถหลอกตาพ่อฉันได้ ที่สำคัญ เหมืองหยกนั่นเพิ่งจะเปิดให้ขุดหินหยกอีกครั้งเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เจ้าของเหมืองเป็นปริศนา แม้แต่พ่อฉันยังสืบไม่ได้ว่าเจ้าของเหมืองหยกนั่นเป็นใคร แต่มันก็พอจะมีเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง บวกกับเรื่องที่ขึ้นเกิดคราวนี้ ทำให้เขาเปิดเผยออกมาเองหมดแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนหักนิ้วดังกร๊อบ เอ่ยถามอีกครั้ง “คุณอย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“ผม…” จ่านป๋ายลูบผมตัวเองเบาๆ จนป่านนี้แล้ว ทำไมเธอถึงนึกมาถามคำถามแบบนี้นะ?
“ตอนนั้น คุณที่มีเลือดท่วมตัวแอบหนีขึ้นรถฉัน มันคงจะเป็นเหตุบังเอิญจริงๆ แต่หลังจากนั้น ที่คุณสะเดาะกุญแจลอบเข้าบ้านฉัน เข้าหาฉันถึงบ้าน มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญสินะ?” ซีเหมินจินเหลียนหลับตาแน่น หยาดน้ำใสอุ่นร้อนค่อยๆ ไหลรินออกมา
ต่อให้รู้ว่าจ่านป๋ายเข้าใกล้เธอเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง แต่เธอก็ทำเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ เขาไม่รู้หรือว่าเธอชอบเขา ทั้งๆ ที่เธอลองใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ยังสามารถเอาตัวรอดไปได้เสมอ…
“ใช่” จ่านป๋ายพยักหน้าพลางเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา “คุณพูดถูก แต่ตอนหลัง…”
“ตอนหลัง… ฉันเริ่มชอบคุณ ไม่สิ ฉันชอบคุณตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเยาะตัวเอง
สวีอี้หรานเหยียบคันเร่งอย่างแรง ให้ตายสิ ไม่เห็นหัวเขาเลยหรืออย่างไร? เธอชอบจ่านป๋ายก็ชอบไปสิ ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดออกมาต่อหน้าเขาแบบนี้เลยนี่
“คนที่เข้าหาฉันล้วนมีจุดประสงค์แอบแฝงทั้งนั้น” ซีเหมินจินเหลียนเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าให้แห้ง “ไม่ว่าจะเป็นฉินเฮ่า จ่านมู่หัว หรือคุณสวี… รวมทั้งหลินเสวียนหลาน แต่จุดประสงค์ของคุณไม่เหมือนของพวกเขา ใช่ไหม?”
จ่านป๋ายพยักหน้ารับ “ใช่ ผมต้องการเคล็ดแปรหยก”
“ดีมาก คุณกับซีเหมินน่งเยวี่ยเป็นอะไรกันแน่?” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยถามอีกครั้ง “ทำไมเขาถึงเชื่อฟังคุณ?”
“จินเหลียน คุณ…” จ่านป๋ายชะงักงัน จะให้เริ่มจากตรงไหนดีล่ะ?
“คุณติดกล้องวงจรปิดทั่วห้องนอนฉัน ดูภายนอกเหมือนติดเพื่อความปลอดภัยของฉัน แต่ความจริง คุณกำลังจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของฉันเพื่อไม่ให้คลาดสายตาต่างหาก แต่ฉันก็แอบดักฟังโทรศัพท์ของคุณเหมือนกัน” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็หัวเราะ “ทำไมพวกคุณถึงเห็นฉันเป็นแค่ผู้หญิงหน้าโง่นะ? ทั้งๆ คุณเป็นคนขโมยหยกแสงอาทินตย์สีเขียวไป แต่คุณกลับหลอกฉันว่าคุณไปออกเดทกับแฟนเก่า สุดท้ายหยกแสงอาทิตย์สีเขียวกลับไปตกอยู่ในมือของซีเหมินน่งเยวี่ย… ฉันก็เลยจำเป็นต้องสงสัยคุณ”
“จินเหลียน ผมคิดว่าเขาคงไม่ตอบคำถามคุณหรอก” สวีอี้หรานหัวเราะเบาๆ “ความจริง ถ้าตระกูลจ่านไม่มีซีเหมินน่งเยวี่ยคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ตระกูลจ่านก็คงไม่เจริญรุ่งเรืองอย่างที่เห็นตอนนี้หรอก อย่างมากก็คงเทียบเท่าตระกูลอวิ๋นเท่านั้น ไม่สิ ตระกูลอวิ๋นยังมีอวิ๋นอวิ้นที่เป็นหน้าเป็นตาของตระกูล แต่ตระกูลจ่านไม่มี ตระกูลจ่านต้องพึ่งซีเหมินน่งเยวี่ยถึงอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้…”
“ใช่” จ่านป๋ายพยักหน้ารับ “อสังหาริมทรัพย์ที่ผมมีอยู่ที่เมืองนอกส่วนใหญ่ก็ได้มาจากเขา”
“คุณป๋ายเจินจู แม่ของจ่านป๋ายเคยช่วยชีวิตอาจารย์ของผมเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน” สวีอี้หรานเอ่ยต่อ
“ในเมื่อเขามีซีเหมินน่งเยวี่ยคอยหนุนหลังอยู่ แล้วทำไมถึงถูกจ่านมู่หัวไล่ออกจากบ้านได้ล่ะ?” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็เอ่ยถาม
“นั่นก็เพราะจ่านอิ๋นกับจ่านมู่หัวร่วมมือกันนะสิ พวกเขาฉวยโอกาสช่วงที่ซีเหมินน่งเยวี่ยไปพม่าฆ่าจ่านป๋ายเพื่อกำจัดเสี้ยนหนามในอนาคตทิ้งซะ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะหนีรอดไปได้ หลังจากซีเหมินน่งเยวี่ยกลับมาจากพม่า เขาจึงไม่ยอมปล่อยจ่านอิ๋นกับจ่านมู่หัวให้ลอยนวล แต่จ่านมู่หัวฉลาด อาศัยหน้าตาที่หล่อเหลาเข้าหาคุณ ส่วนจ่านอิ๋นก็คิดจะใช้กลยุทย์ปิดฟ้าข้ามทะเล ให้คุณกับจ่านมู่หัวหมั้นกัน ข้าวสารจะได้กลายเป็นข้าวสุก ถึงตอนนั้น หูหวังจะต้องหักใจสนับสนุนตระกูลจ่าน อาจารย์ผมหมดอำนาจบารมี ต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ไม่อย่างนั้น พ่อผมต้องตามฆ่าเขาแน่” สวีอี้หรานอธิบาย
“รู้ละเอียดเลยนะ” จ่านป๋ายยิ้มเย็น “ใช่ เรื่องราวคร่าวๆ ก็ประมาณนี้แหละ คุณซีเหมินเป็นหนี้ชีวิตแม่ผม หลายปีมานี้ โชคดีที่มีเขาคอยช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้น ผมคงตายไปนานแล้ว คงไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้หรอก เขาดีกับผมมาก แต่เขาก็ไม่ได้เชื่อฟังผม… พูดได้ว่า ที่ผมมีทุกอย่างอย่างทุกวันนี้ ส่วนใหญ่เขาเป็นคนให้ผมทั้งนั้น แต่ตอนนี้ ผมกลับกลายเป็นศัตรูกับเขา จินเหลียน คุณอย่าบีบผมเลยนะ ผมทำตัวลำบากมากจริงๆ…”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเบาๆ มิน่าเล่า ที่หอเยวี่ยหัววันนั้น ซีเหมินน่งเยวี่ยบังคับให้จ่านมู่หัวทำนู่นทำนี่ แต่กลับไม่ทำร้ายเขา ที่แท้เป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแบบนี้นี่เอง
“สำหรับผม ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณซีเหมินก็เหมือนความสัมพันธ์ของคุณกับคุณหู” จ่านป๋ายยกสองมือขึ้นกุมศีรษะ ส่ายศีรษะด้วยความเจ็บปวด “ผมไม่อยากจะเผชิญหน้ากับเขาเลยจริงๆ…”
“ฉันรู้ คุณไม่ควรมาที่นี่เลย” ซีเหมินจินเหลียนส่ายศีรษะเบาๆ เอนตัวพิงเบาะที่นั่งอย่างเหนื่อยหน่าย รถยนต์แล่นไปตามเส้นทางบนภูเขา เธอรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน เจ็บหัวจี๊ดๆ
“ถ้าไม่มีคุณ ถึงอยู่ไปก็ไม่มีความหมาย” จ่านป๋ายส่ายศีรษะ “ไปคราวนี้… ผมจะพยายามเกลี้ยกล่อมคุณซีเหมินให้ปล่อยคุณหูไป ต่อให้ต้องสูญเสียหยกแสงอาทิตย์ผมก็ยอม”
“ถ้าสามารถใช้หยกแสงอาทิตย์แลกกับชีวิตพ่อฉัน ที่เหลือ ฉันก็จะเห็นแก่อาจารย์ของฉันไม่เอาเรื่องเขา” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพลางเอ่ย
“หมายความว่าตกลงกันได้แล้วใช่ไหม?” จู่ๆ สวีอี้หรานก็เอ่ยถาม “สงสารก็แต่ผมคนเดียว วิ่งวุ่นจนหัวหมุน สุดท้ายก็เสียแรงเปล่า ผมนี่มันน่าสงสารชะมัด…”
“คุณสวี ขอบคุณคุณมาก” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยขอบคุณเบาๆ “ถ้าคราวนี้เราสามารถกลับไปอย่างปลอดภัย ฉันจะผ่าหินหยกลายน้ำก้อนนั้น คุณจะได้เอาไปปรุงยา นั่นน่าจะเป็นไขกระดูกหยกโบราณที่คุณเสาะแสวงหามานานแล้วสินะ”
“ขอบคุณ…” สวีอี้หรานเอ่ยยิ้มๆ “ถ้าพวกเราได้กลับไปอย่างปลอดภัย สิ่งที่ผมอยากได้มากกว่าก็คือพ่อของคุณจะตอบรับการทาบทามจากพ่อผม และคุณจะยอมรับรักผม…”
“สวีอี้หราน ไอ้คนฉวยโอกาส” จ่านป๋ายทำเสียงฮึดฮัดอย่างทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป
สวีอี้หรานไม่พูดอะไรอีก ตั้งหน้าตั้งตาเหยียบคันเร่งท่าเดียว คนไม่มีใบขับขี่อย่างเขากลับขับทางภูเขาได้คล่องปร๋อเสียอย่างนั้น
“ถ้าว่างมากนักก็มาขับรถ คุณน่าจะรู้ดีอยู่แล้วนี่มันอยู่ที่ไหน” สวีอี้หรานเอ่ย
จ่านป๋ายไม่ตอบ เขาเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่ง แต่เขาอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วันเท่านั้น จึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นั่นสักเท่าไหร่ แต่สวีอี้หรานขับรถคนเดียวมาตลอดทาง ไม่มีเหตุผลที่ต้องให้เขาขับรถคนเดียว ทั้งสองจึงสลับตำแหน่งกัน เปลี่ยนเป็นจ่านป๋ายขับรถแทน
กระนั้น ตอนที่ทั้งสามไปถึงที่หมายก็ประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ แล้ว ซีเหมินจินเหลียนเห็นชายฉกรรจ์สวมชุดลายพรางพร้อมอาวุธครบมือยืนขวางหน้ารถหลายคน
จ่านป๋ายหมุนกระจกรถลง พูดอะไรบางอย่างที่ซีเหมินจินเหลียนฟังไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว ชายฉกรรจ์คนนั้นทำความเคารพเขาแบบทหาร จากนั้นโบกมือให้รถของเขาผ่านเข้าไปข้างใน
ซีเหมินจินเหลียนถอนใจเบาๆ “ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนส่งเนื้อเข้าปากเสือเลยนะ”
“จินเหลียน ผมไม่มีทางทำร้ายคุณเด็ดขาด” จ่านป๋ายเหยียบเบรก รถจิ๊บส่งเสียงร้องดังบาดหู
ชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาจากข้างใน จ่านป๋ายเปิดประตูรถออก กระโดดลงจากรถ เอ่ยอะไรบางอย่างกับคนที่เป็นหัวหน้า จากนั้นหมุนตัวหันกลับไปเรียกซีเหมินจินเหลียน