ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 347-3 หินซ่อมฟ้า (ตอนอวสาน)
จ่านป๋ายขยับกระเป๋าเป้ เขาใส่หินราชางูเอาไว้ในกระเป๋าเป้ใบนี้ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมซีเหมินจินเหลียนต้องดึงดันที่จะเอาหินราชางูมาด้วยให้ได้ เพราะมันหนักมาก ถ้าเกิดต้องวิ่งหนี เขาคงวิ่งไม่ไหว เขาต้องเดินแบกเป้ใบนี้มาตลอดทาง ช่างเป็นภาระที่หนักอึ้งจริงๆ
“อี้หราน ทำไมเธอถึงตามมาที่นี่ด้วย?” จู่ๆ ซีเหมินน่งเยวี่ยก็เอ่ยถาม
“ถ้าอาจารย์ตาย แล้วผมจะไปขอยาถอนพิษจากใครล่ะ?” สวีอี้หรานครางฮึพลางย้อนถาม
“ซีเหมินน่งเยวี่ยไม่พอใจนัก ครางฮึแล้วด่าด้วยความโมโห “เธออยากจะให้ฉันตายงั้นเหรอ?”
“อาจารย์ไม่ใช่คู่ตู่สู้ของคุณหู” สวีอี้หรานเหลือบมองหูชีเยี่ยนที่มีสภาพอิดโรยแล้วเอ่ยราบเรียบ
“ไอ้หนุ่ม ไม่ต้องมายกยอปอปั้นฉันให้มันมากนัก ถึงอยากจะประจบประแจงฉัน ก็ต้องหัดดูเวล่ำเวลาซะบ้าง ชีวิตของฉันยังตกอยู่ในกำมืออาจารย์ห่วยๆ ของเธออยู่นะ” หูชีเยี่ยนด่าอย่างไม่ไว้หน้า
“พ่อ” ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายเดินตามหลังสามคนนั้น ส่วนข้างหลังพวกเธอมีกลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือเดินรั้งท้าย หากเธอทำอะไรบุ่มบ่าม คนพวกนั้นคงยิงเธอตายทันทีอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ซีเหมินน่งเยวี่ยพูดถูก ต่อให้เธอเร็วมากขนาดไหน แต่ก็เร็วสู้ลูกกระสุนไม่ได้อยู่ดี
ใต้เหมืองหยก ลิฟท์กระเช้าถูกหย่อนให้ดิ่งลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว ดิ่งลงๆ…
เมื่อกระเช้าหยุดลง สิ่งที่ปรากฎขึ้นตรงหน้าทุกคนก็คือทางอุโมงค์ใต้เหมืองหยกที่มืดสนิท ซีเหมินน่งเยวี่ยหยิบหมวกติดไฟฉายขึ้นสวมศีรษะอย่างเตรียมพร้อม เดินคุมหูชีเยี่ยนเข้าไปข้างใน
ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว พลันรู้สึกแปลกๆ จึงเอ่ยถาม “คุณซีเหมิน นี่มันเหมืองร้างนี่”
จ่านป๋ายเองก็รู้สึกผิดปกติเช่นเดียวกัน เพราะที่นี่เป็นอุโมงค์ร้างจริงๆ นอกจากลิฟท์กระเช้าที่เป็นของใหม่แล้ว นอกนั้น ทุกอย่างดูรกร้างไปหมด…
“อุโมงค์นี้ขุดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน ผมต้องเสียแรงไปไม่น้อยกว่าจะหามันเจอ กว่าจะเคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อย” ซีเหมินน่งเยวี่ยเอ่ย “หูชีเยี่ยน ฉันขอเตือนแกเลยนะว่าอย่าเล่นตุกติก ในอุโมงค์นี้มีกระเช้าขึ้นลงแค่ตัวเดียว ที่สำคัญ มีคนคอยเฝ้าอยู่หนาแน่น ถ้าแกยังอยากจะมีชีวิตออกจากที่นี่ ก็พาฉันไปหาหินซ่อมฟ้าซะดีๆ”
“ขอให้สมปรารถนาก็แล้วกัน” หูชีเยี่ยนยิ้มเย็น เดินตรงดิ่งไปทางซ้ายมือของอุโมงค์โดยไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิด
ซีเหมินจินเหลียนมองหน้าจ่านป๋ายพลางขมวดคิ้วนิดๆ ในเมื่อซีเหมินน่งเยวี่ยเข้ามาถึงที่แล้ว ทำไมเขาถึงยังต้องลากตัวหูชีเยี่ยนกับเธอให้เข้าไปข้างในด้วย เขาสามารถแลกตัวหูชีเยี่ยนกับหินแสงอาทิตย์ในมือเธอ จากนั้นเข้าไปหาหินซ่อมฟ้าข้างในเอง
หลังจากเดินวกไปวนมาอยู่ในอุโมงค์สองชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุด ซีเหมินจินเหลียนก็พอจะเข้าใจแล้ว อุโมงค์นี้มีทางแยกเยอะมาก หากไม่มีคนนำทาง รับรองว่าหลงทางแน่นอน ที่สำคัญ ตามปากทางแยกพวกนี้ยังมีดินถล่มปิดทางอีกหลายแห่ง เมื่อเจอทางตันเพราะดินถล่มปิดปากทางเอาไว้ ซีเหมินน่งเยวี่ยก็จะสั่งให้ชายฉกรรจ์ถือปืนรีบเปิดทางทันที
“ยังต้องเดินอยู่อย่างนี้อีกนานแค่ไหน?” ซีเหมินน่งเยวี่ยกระชากตัวหูชีเยวี่ย เอ่ยถามเสียงแข็งกร้าว “หวังว่าแกคงจะไม่ได้พาพวกเราเดินเป็นวงกลมนะ”
หูชีเยี่ยนครางฮึกด้วยความเจ็บ เขาเอ่ยเสียงเย็น “ฉันไม่ได้มาที่นี่ตั้งยี่สิบปี ทางสลับซับซ้อนขนาดนี้ ฉันจะไปจำได้ยังไง? อีกอย่าง แกเองก็เคยมาที่นี่ไม่ใช่หรือไง? ถ้าแกจำทางได้ แล้วจะให้ฉันมาด้วยทำไม?”
“คุณซีเหมิน ในเมื่อคุณรู้จักที่นี่ดีอยู่แล้ว แล้วทำไมถึงยังต้องให้เรานำทางอีก?” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยถาม ถึงแม้เส้นทางในอุโมงค์ใต้เหมืองแห่งนี้จะสลับซับซ้อนไปหน่อย แต่ถ้าให้เวลาก็คงหาเจอได้ไม่ยาก เขาไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้เลยสักนิด
ซีเหมินน่งเยวี่ยครางฮึเสียงเย็นโดยไม่ตอบ สวีอี้หรานยิ้มนิดๆ “อาจารย์คิดว่าที่คุณหูสามารถฟื้นคืนชีพจากความตายได้ก็เพราะเขาเจอหินซ่อมฟ้าแล้ว ดังนั้น นอกจากพ่อของคุณ จึงไม่มีใครรู้อีกว่าหินซ่อมฟ้าอยู่ตรงไหนในเหมืองร้างแห่งนี้ ความจริง อาจารย์ไม่ได้ใช้คุณหูเพื่อบีบคุณ แต่เขาหลอกคุณมาที่พม่า ก็เพื่อใช้คุณบีบคุณหูให้นำทางต่างหาก อาจารย์ว่าผมพูดถูกหรือเปล่าครับ?”
“ถูกต้อง สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์ของฉัน” ซีเหมินน่งเยวี่ยพยักหน้าพลางเอ่ย
“เลวที่สุด” จ่านป๋ายได้ยินแล้วอดด่าไม่ได้
ซีเหมินน่งเยวี่ยหัวเราะเสียงเย็นยะเยือก เสียงหัวเราะของเขาดังก้องสะท้อนอยู่ในอุโมงค์ดำมืด ให้ความรู้สึกน่าขนลุกขนพองอย่างบอกไม่ถูก สวีอี้หรานส่ายศีรษะเบาๆ “น่าเสียดาย ผมเองก็เพิ่งจะเข้าใจหลังจากเข้ามาในนี้ ไม่อย่างนั้น ผมไม่มีทางยอมให้คุณจินเหลียนมาที่พม่าเด็ดขาด”
“ศิษย์รัก ที่ฉันให้เธอพาหูหวังกลับไป ก็เพื่อให้เธอพาเขาไปหาคุณจินเหลียนนั่นแหละ” ซีเหมินน่งเยวี่ยกระหยิ่มยิ้มย่อง
ขณะที่เขาพูดนั้น จู่ๆ หูชีเยี่ยนก็เอ่ยแทรกขึ้น “จินเหลียน วันนี้วันที่เท่าไหร่?”
“สิบสาม พฤษภาคม” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยตอบ
“อืม” จู่ๆ หูชีเยี่ยนก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ซีเหมินน่งเยวี่ยรีบเดินตามหลังไปทันที เดินลดเลี้ยวไปตามทางในอุโมงค์สักพักจึงชะงักฝีเท้า
“ทำไมไม่ไปต่อ?” ซีเหมินน่งเยวี่ยเอ่ยถาม
“ที่นี่นี่แหละ” หูชีเยี่ยนกวาดสายตามองไปรอบๆ อุโมงค์ใต้เหมืองหยก พลิกเกมมาเป็นคนคุมเกมแทน เขาแย่งไฟฉายมาจากมือคนคุ้มกันคนหนึ่งแล้วเอ่ย “ขอคนสองคน ขุดตรงนี้ออก” เอ่ยพลางชี้ไปยังผนังอุโมงค์
ซีเหมินจินเหลียนคิดๆ แล้วเดินเข้าไปหาหูชีเยี่ยน ถอดสร้อยหยกไข่หงส์ออกแล้วสวมให้หูชีเยี่ยน
“จินเหลียน ทำอะไรน่ะ?” หูชีเยี่ยนเอ่ยถาม
ซีเหมินน่งเยวี่ยยิ้มเย็นโดยไม่ได้ห้ามอะไร ไหนๆ พวกเขาก็หนีไปไหนไม่รอดอยู่แล้ว
ผนังอุโมงค์ที่ดูแข็งแรงไม่ได้หนาอย่างที่คิด ใช้เวลาไม่ถึงธูปหนึ่งดอกก็สามารถขุดมันออกเป็นโพรง ท่าทางข้างในน่าจะยังมีอุโมงค์อีก ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายมองสบตากัน ต่างสังหรณ์ใจแปลกๆ
จู่ๆ สวีอี้หรานก็ได้กลิ่นที่อันตรายมาก
ทันใดนั้น เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนเสียงฟ้าร้องครืนดังขึ้นใต้เหมือง
“นั่นเสียงอะไรน่ะ?” จ่านป๋ายเอ่ยถาม
“ไม่รู้” หูชีเยี่ยนเอ่ยเสียงเย็น “เสียงฟ้าร้องล่ะมั้ง”
ทุกคนรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงแค่คำพูดโกหก เวลานี้ พวกเขาอยู่ใต้ดินลึก ต่อให้ฟ้าร้องฟ้าผ่าจริง พวกเขาก็ไม่มีทางได้ยินหรอก…
ซีเหมินน่งเยวี่ยกำลังจะอ้าปากพูด ทันใดนั้น แผ่นดินสั่นสะเทือนเลือนลั่นจนพวกเขาตัวเซ เสียงร้องครืนดังขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้เสียงดังยิ่งกว่าเดิม
“แย่แล้ว แผ่นดินไหว” จ่านป๋ายหน้าถอดสี ตอนนี้พวกเขาอยู่ใต้เหมือง แผ่นดินไหวแบบนี้ พวกเขาต้องถูกฝังทั้งเป็นอยู่ในนี้แน่
แม้แต่ชายฉกรรจ์ที่ทำหน้าที่คุ้มกันกลุ่มนั้นที่เป็นคนใจเย็นกว่าคนปกติได้ยินแล้วยังหน้าถอดสีทันที แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้พวกเขาคิดแล้ว อุโมงค์ใต้เหมืองเริ่มบิดเบี้ยว ก้อนหินมากมายถล่มครืนลงมาราวกับฝนห่าใหญ่
เสี้ยววินาทีนั้น เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นรอบทิศ
จ่านป๋ายไม่มีเวลาคิดอะไรมากมาย เขากอดซีเหมินจินเหลียนเอาไว้ในอกแน่น เอาตัวปกป้องเธอ
“พ่อ… พ่อ…” ซีเหมินจินเหลียนตะโกนร้องเสียงดังลั่นด้วยความเป็นห่วงพ่อ
เวลาเพียงเสี้ยววินาที แสงไฟดวงเล็กๆ หลายดวงจากหมวกติดไฟฉายดับสนิท พวกคนคุ้มกันที่วิ่งหนีกันจ้าละหวั่นถูกหินที่ถล่มลงมาฝังทั้งเป็น นั่นล้วนเป็นก้อนหินหยกทั้งสิ้น ถึงแม้ซีเหมินจินเหลียนจะไม่ได้ตั้งใจดู แต่เนื้อหยกที่เผยออกมาเปล่งประกายแวววาว มันไม่ได้สวยงาม แต่กลับดูน่ากลัวยิ่งกว่าความตายเสียอีก
ทันใดนั้น หินก้อนใหญ่กระแทกใส่หลังจ่านป๋ายเสียงดัง “ปัง” จ่านป๋ายทนรับแรงกระแทกนั้นไม่ไหวจนกระอักเลือดออก เลือดพุ่งออกจากปากเขาจนเลอะหน้าเลอะศีรษะซีเหมินจินเหลียน… โชคดีที่เขาแบกกระเป๋าเป้ที่ใส่หินราชางูที่ทั้งหนาทั้งหนักเอาไว้ ทำให้ช่วยลดแรงกระแทกลงได้บ้าง มิเช่นนั้น ป่านนี้เขาคงสิ้นชีพไปแล้ว
หินราชางูแสนล้ำค่าตกพื้นจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“เสี่ยวป๋าย…” ซีเหมินจินเหลียนตกใจจนหน้าถอดสี ร้องเรียกเสียงดังลั่น แต่ชั่วขณะนั้น มีหินกลิ้งตกลงมาอีก
จ่านป๋ายรีบเอาตัวเข้าปกป้องซีเหมินจินเหลียนตามสัญชาตญาณ กระเป๋าเป้ของซีเหมินจินเหลียนตกลงพื้น หยกแสงอาทิตย์ที่สามารถทำให้คนคลั่งได้กลิ้งกระจัดกระจายไปรอบทิศ
ในความืดมิด หยกแสงอาทิตย์เปล่งแสงอบอุ่นจางๆ เพียงเสี้ยววินาที แสงจางๆ นี้ก็เปล่งแสงสว่างไปทั่ว
ซีเหมินจินเหลียนอาศัยแสงจางๆ นี้มองหาหูชีเยี่ยนพลางเปล่งเสียงร้องเรียกด้วยความตกใจ “พ่อ… พ่อ… พ่ออยู่ไหน?”
“จินเหลียน จงมีชีวิตที่ดีต่อไป” เสียงเลือนรางของหูชีเยี่ยนดังขึ้นในความืดราวกับรู้สึกไปเอง
ก้อนหินมากมายถล่มลงมา จ่านป๋ายรีบเอาตัวเข้าปกป้องเธอตามสัญชาตญาณ เขาพยายามใช้ร่างกายบังก้อนหินมากมายที่ร่วงหล่นลงมาไม่ให้กระแทกถูกตัวเธอ
กระนั้น มิวายมีก้อนหินตกใส่ซีเหมินจินเหลียนจนได้ สติเธอเริ่มเลือนราง เธอเห็นหินราชางูแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อยู่บนพื้น หินราชางูที่พวกเธอถกเถียงกันมานานว่าควรจะผ่าออกดีหรือไม่ ในที่สุด ตอนนี้มันก็แตกออกแล้ว…
ในความมืด แสงสีขาวอ่อนโยนจางๆ สว่างขึ้น ซีเหมินจินเหลียนเห็นอย่างชัดเจน หญิงสาวสวมชุดสีขาวมีหางเป็นงูกอดหูชีเยี่ยนทะยานขึ้นฟ้า…
ทันใดนั้น แสงอาทิตย์สว่างวาบ แสงสีแดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน คราม ม่วง… สุดท้าย กลับคืนสู่ความมืดอันเป็นนิรันดร์
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ซีเหมินจินเหลียนค่อยๆ ฟื้นคืนสติอีกครั้ง ในความมืด มีเพียงกำไลหยกประกายดาวบนข้อมือเธอที่ส่องแสงสว่างจางๆ
“เสี่ยวป๋าย… เสี่ยวป๋าย… พ่อ… หมอมองโกเลีย…” ซีเหมินจินเหลียนไม่มีเวลาสนใจอะไรทั้งนั้น อ้าปากตะโกนเรียกเสียงดังลั่น โอ้ สวรรค์ โปรดอย่าทิ้งเธอเอาไว้ในความมืดอันเป็นนิรันดร์นี้เพียงคนเดียว มิเช่นนั้น เธอยอมตายเสียดีกว่า ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ เสี้ยววินาทีก่อนที่เธอจะหมดสติ เธอเห็นหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีขาวกอดหูชีเยี่ยนที่สวมชุดฉางเผาสีดำ ภาพหญิงชายในชุดขาวดำที่ทะยานขึ้นฟ้าอย่างพลิ้วไหวสง่างามทำให้เธอรู้สึกอิจฉามาก…
ที่สำคัญ ใต้กระโปรงยาวของหญิงสาวคนนั้นเป็นหางงูสีขาวเนียนนุ่มราวหิมะใช่ไหม? เธอเพิ่งรู้ว่าหางงูสวยงามมากขนาดนี้… น่าหลงใหลมากขนาดนี้
นั่นเป็นภาพลวงตาหรือความจริงกันแน่?
“จินเหลียน… จินเหลียน…” เสียงจ่านป๋ายดังขึ้นในความมืด
“เสี่ยวป๋าย คุณอยู่ไหน?” ซีเหมินจินเหลียนรีบร้องเรียก
แสงสีส้มเหลืองดวงเล็กๆ สว่างขึ้นในความมืด จ่านป๋ายมือข้างหนึ่งถือไฟแช็ก มืออีกข้างคลำทางเพื่อไปหาซีเหมินจินเหลียน เขาเอ่ยเสียงเบา “จินเหลียน ไม่ต้องกลัวนะ ผมอยู่นี่แล้ว คุณไม่ต้องกลัวนะ”
จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็อยากจะร้องไห้ ท่ามกลางความมืดมิดที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก การได้เห็นแสงสว่างดวงน้อย แม้มันจะเล็กมากๆ แต่มันก็นำความหวังมาสู่เธอ…
“คุณไม่ต้องกลัวนะ” จ่านป๋ายจับมือเธอแน่น เอ่ยเสียงเบา “ผมฟื้นก่อนคุณแค่แป๊บเดียว ดูเหมือนเราจะถูกขังอยู่ในนี้แล้วล่ะ ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีทางออก คนคุ้มกันของซีเหมินน่งเยวี่ยก็ตายหมดแล้ว แต่ผมหาศพคุณหูกับคุณซีเหมินไม่เจอ และไม่เห็นตัวหมอมองโกเลียคนนั้นด้วย…”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วยิ้มฝืดเฝื่อน “เราถูกฝังทั้งเป็น?”
“คุณอย่าเพิ่งมองโลกในแง่ร้ายเลยนะ เดี๋ยวเราช่วยกันหาดูดีกว่า ก็อย่างที่เขาพูดกันว่า ขอแค่เราพยายาม ฟ้าย่อมมีทางออกให้เราเสมอ” จ่านป๋ายเอ่ยปลอบเสียงเบา
“มีคุณเป็นเพื่อนร่วมทางในเส้นทางยมโลก ฉันก็ไม่เหงาแล้วล่ะ” ซีเหมินจินเหลียนหย่อนตัวนั่งลงกับพื้น ถอดกำไลหยกประกายดาวออกจากข้อมือข้างหนึ่ง จากนั้นสวมมันลงบนข้อมือจ่านป๋ายพลางเอ่ยเสียงเบา “ดีกว่าไม่มีแสงสว่าง”
จ่านป๋ายหัวเราะเบาๆ แม้จะอับจนหนทาง แต่หากได้กอดเธอตายไปพร้อมกัน ชีวิตนี้เขาก็พอใจแล้ว เขากอดซีเหมินจินเหลียนแน่น สองหนุ่มสาวนั่งสวมกอดซึ่งกันและกันอย่างรอคอยความตาย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จู่ๆ จ่านป๋ายก็ร้องขึ้น “จินเหลียน… จินเหลียน… คุณฟังสิ นั่นเสียงอะไรน่ะ?”
ซีเหมินจินเหลียนเงี่ยหูฟัง เอ่ยเสียงเบา “เหมือนเสียงคนกำลังเรียกพวกเรา…”
“ใช่” จ่านป๋ายพยักหน้าหงึกๆ
“เสียงเฮยป๋ายอู๋ฉาง?” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยถาม “ฉันเกลียดขี้หน้าผีสองตัวนั้นตั้งนานแล้ว เดี๋ยวฉันจะอัดพวกเขาให้น่วมเลย คุณคอยระวังหลังให้ฉันด้วยล่ะ” เอ่ยพลางยกหมัดขึ้นชกอากาศ… ในสถานการณ์เช่นนี้ คนที่ยังคิดจะอัดผี ในโลกนี้คงมีแต่เธอคนเดียวแล้วกระมัง
จ่านป๋ายเงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา “ผมสนับสนุนให้คุณอัดพวกเขาให้น่วม แต่พวกเขา… ไม่น่าจะใช่เฮยป๋ายอู๋ฉาง น่าจะเป็นฉินเฮ่ากับจ่านมู่หัวมากกว่า… จินเหลียน เรารอดแล้ว ถ้าคุณอยากจะอัดผีสองตัวนั้น คุณคงต้องรออีกหลายสิบปีเลยล่ะ”
ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในนครย่างกุ้ง ประเทศพม่า ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายแยกย้ายไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ จากนั้น พวกเขากับสวีอี้หรานต่างเล่าสู่กันฟังว่าแต่ละคนพบเจอกับอะไรมาบ้าง ที่แท้ ตอนที่เกิดเหตุแผ่นดินไหว สวีอี้หรานวิ่งหนีตายอย่างทุลักทะล คิดไม่ถึงว่าเขาจะโชคดี ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สุดท้าย เขาก็เป็นลมหมดสติไป
เนื่องจากไม่มีซีเหมินน่งเยวี่ยคอยกำกับดูแล บวกกับลุงงูเข้ายึดอำนาจ ทำให้เหมืองหยกของซีเหมินน่งเยวี่ยตกอยู่ในความควบคุมของลุงงูอย่างรวดเร็ว ระหว่างการค้นหา สวีอี้หรานถูกฉินเฮ่าและจ่านมู่หัวช่วยเอาไว้ หลังจากรู้ว่าซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายยังถูกฝังอยู่ใต้เหมือง ทั้งสามจึงรีบออกค้นหาพวกเขาจนทั่วอย่างรวดเร็ว
นอกจากพวกเขาสามคนแล้ว ยังมีคนรอดชีวิตอีกสองคน เพียงแต่คนหนึ่งกลายเป็นเจ้าชายนิทรา อีกคนตกใจจนกลายเป็นบ้า เอาแต่พูดจาอะไรไม่รู้เรื่อง
สิ่งที่ทำให้ซีเหมินจินเหลียนประหลาดใจมากก็คือ หลังจากค้นหาจนทั่วทุกซอกทุกมุม พวกเขากลับไม่เจอศพของหูชีเยี่ยน และไม่เจอศพของซีเหมินน่งเยวี่ยเช่นเดียวกัน สองคนนี้ เป็นไม่เห็นตัว ตายไม่เห็นศพ
พวกเธอรออยู่ที่พม่านานสามวัน แต่ก็ยังไม่เจอศพของหูชีเยี่ยนเสียที ซีเหมินจินเหลียนนึกถึงสิ่งที่เห็นก่อนที่เธอจะหมดสติ ไม่รู้ว่านั่นเป็นเรื่องจริงหรือแค่ภาพลวงตา… แต่ในใจเธอ เธอยังคงหวังให้เขามีชีวิตอยู่ ถึงจะไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันกับเธอก็เถอะ
หลังพระอาทิตย์ตกดินวันนี้ ในที่สุดซีเหมินจินเหลียนก็ได้รับสายจากลุงงู
ทันทีที่ได้ยินเสียงลุงงู ซีเหมินจินเหลียนก็อยากจะร้องไห้ออกมาก จมูกเธอตีบตัน ตอนที่เธอต้องการความช่วยเหลือจากเขา เขาหายไหน?
“ลุงงูหายไปไหนมา จินเหลียนตามหาลุงงูตลอดเลยนะ” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยเสียงแผ่ว
“จินเหลียน ลุงรู้” ตอนนี้ลุงก็อยู่ที่พม่าแล้วนี่ไง? พ่อของเธอทิ้งปัญหาเละเทะเอาไว้ให้แล้วก็หายตัวไปเลย ลุงต้องมารับช่วงต่อที่พม่า แต่กว่าลุงจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ลุงก็ลืมจ่ายค่าโทรศัพท์จนโทรศัพท์ใช้ไม่ได้” ลุงงูหัวเราะแห้งๆ
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกขมขื่นมาก ที่แท้ หูชีเยี่ยนก็วางแผนทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยตั้งนานแล้ว เขายกทุกอย่างที่พม่าให้ลุงงูดูแลต่อ เธอจะได้ไม่ต้องรับช่วงต่อจากเขา หรือสิ่งที่เธอเห็นใต้เหมืองหยกก่อนจะหมดสติจะเป็นเป็นเรื่องจริง?
“จินเหลียน…” เสียงลุงงูดังลอดมาตามสาย
“ค่ะ ลุงงู” ซีเหมินจินเหลียนรีบเอ่ย
“จินเหลียน เธอน่าจะรู้นะว่าเขาตายไปตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีที่แล้วแล้ว เขาไม่ควรจะมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้…” ลุงงูชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “จินเหลียน เธอเข้าใจความหมายของลุงใช่ไหม?”
“เข้าใจค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยเสียงเบา “ฉันเข้าใจทุกอย่าง แต่… ฉันต้องสูญเสียเขาไปอีกแล้ว”
“จินเหลียน ลุงจะดูแลเธอให้ดี จะไม่ทอดทิ้งเธอไปไหนอีก” ลุงงูเอ่ยเสียงเบา “ถ้าว่างๆ พรุ่งนี้เธอก็แวะมากินข้าวที่นี่ก่อนกลับสิ ฝีมือลุงไม่แพ้เขาหรอกนะ ช่วงนี้ลุงคงยังไม่มีเวลาไปเยี่ยมเธอที่ปักกิ่ง คงต้องยุ่งอีกหลายเดือนเลยล่ะ”
“ได้ค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะไปหาลุงแน่นอนค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนเช็ดคราบน้ำตาทิ้งพลางหัวเราะเบาๆ
“เด็กดี ลืมเขาซะเถอะนะ” ลุงงูพูดแล้วกดตัดสาย
จ่านป๋ายเปิดประตูออก เดินถือจานผลไม้เข้ามาในห้อง ซีเหมินจินเหลียนหมุนตัวหันไปมองเขา เธอเอ่ยถาม “คุณแอบฟังฉันคุยโทรศัพท์อีกแล้วใช่ไหม?”
“เปล่าๆ ผมไม่ได้แอบฟังจริงๆ” จ่านป๋ายรีบปฏิเสธทันควัน “ผมแค่เอาผลไม้มาให้คุณเท่านั้น”
“จริงเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนสูดจมูกเบาๆ
“ก็จริงนะสิ ต่อแต่นี้ ผมจะไม่แอบฟังโทรศัพท์คุณอีก ไม่อย่างนั้น ขอให้ผมถูกหินหยกทับตายก็ได้” จ่านป๋ายรีบเอ่ย
“พูดจาเหลวไหล” ซีเหมินจินเหลียนยื่นนิ้วขาวเนียนเรียวยาวจิ้มหน้าผากเขาเบาๆ
“จินเหลียน วันนั้นที่คุณบอกว่า… ให้ผมดูแลคุณตลอดชีวิต คุณพูดจริงหรือเปล่า?” จ่านป๋ายยื่นแขนกอดเอวเล็กคอดของเธอจากข้างหลังพลางเอ่ยถาม
“แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนย้อนถาม
“งั้นผมของดูแลคุณไปจนชั่วชีวิตเลย” จ่านป๋ายกอดเธอแน่น ยิ้มอย่างมีความสุข
(จบบริบูรณ์)