คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1507
คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1507 อิฐผลึกชุบไฟ
หนึ่งชั่วยามให้หลัง การโคจรของระลอกคลื่นสีดำกลางอากาศเหนือเนินเขาหยุดลงแล้ว
ลูกบอลสีดำมะเมื่อมเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าสิบจั้งค่อยๆ ปรากฏภายในระลอกคลื่นอย่างช้าๆ มีม่านแสงสีดำกวาดออกไปรอบๆ เป็นพักๆ เสริมพลังเข้าไปในธงด้ามใหญ่สองฝั่งที่อยู่เบื้องล่างอย่างบ้าคลั่ง
พลังบริสุทธิ์แต่ละกลุ่มถูกส่งเข้าไปในจุดตายของเขตอาคมมหึมาด้วยพลังอาคมต้องห้ามของธงมหึมาสองด้าม
ในตอนนี้ เขตอาคมขนาดเล็กบนส่วนยอดของเนินเขาถูกม่านแสงสีดำปกคลุมอย่างมิดชิด
พวกหานลี่สามคนต่างก็จมเข้าไปข้างในทั้งหมด พื้นที่ทั้งหมดล้วนเป็นสีดำเปรอะ มองไม่เห็นสถานการณ์ภายในนั้น
บริเวณใกล้เคียงนอกจากจะมีเสียงเพรียกเบาๆ ของเขตอาคมที่กำลังโคจรดังออกมาเป็นระลอกแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนกระแสน้ำ บอลสีดำมหึมาที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศสูงก็ค่อยๆ มีขนาดเล็กลง
นี่ย่อมมีสาเหตุมาจากปราณทมิฬบริสุทธิ์ที่ไหลเวียนอย่างรวดเร็วแน่นอน
ทันใดนั้น ภายในเขตอาคมเบื้องล่างก็มีเสียงร้องดังออกมาคราหนึ่ง สะเทือนจนทำให้ม่านแสงสีดำเกิดการสั่นขึ้นระลอกหนึ่ง
“ปัง!” ลำแสงสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นดวงหนึ่งทะลวงม่านแสงสีดำออกมาด้านนอก แล้วหมุนวนเวียนรอบหนึ่ง คล้ายกับคิดจะพุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง
แต่เมื่อได้ยินเสียงคนแค่นเสียงคราหนึ่ง ลำแสงกระบี่สีทองเล่มหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาจากม่านแสงสีดำ ภายในชั่วพริบตาก็กลายเป็นลำแสงสีทองเจิดจ้าพันธนาการลำแสงสีเขียวไว้ภายใน ก่อนที่จะตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
หลังจากที่ม่านแสงสีดำเกิดการพลิกตัวระลอกหนึ่ง ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นเบาบางลง เผยให้เห็นเงาคนนั่งขัดสมาธิสามคนผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ด้านใน
ขณะเดียวกัน เสียงดังหึ่งๆ ของเขตอาคมแสงขนาดเล็กก็เงียบไป และหยุดลงชั่วคราว
“รบกวนสหายทั้งสองแล้ว สัญลักษณ์อันแรกถูกขจัดออกไปแล้ว พวกเรามาเริ่มอันต่อไปกันเถอะ” ครู่ต่อมา เสียงของหานลี่ที่ดูค่อนข้างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็ดังออกมาภายในม่านแสงสีดำ ทว่าภายในน้ำเสียงนั้นกลับมีความฮึกเหิมที่ไม่อาจปิดบังไว้ได้
“พี่หาน กระตุ้นปราณทมิฬเข้าไปมากเช่นนี้ ร่างกายของทันจะรับไหวจริงๆ หรือ? พักผ่อนอีกสักหน่อยแล้วค่อยดำเนินการต่อดีหรือไม่?” เสียงอันไพเราะของหญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล
“ขอบคุณสำหรับความหวังดีของแม่นางหยวน แต่เวลาเร่งด่วนมาก จำเป็นต้องเร่งมือขจัดสัญลักษณ์ที่เหลืออีกสามอัน หากช้าจะเกิดเหตุพลิกผันขึ้น” หานลี่หัวเราะขื่นๆ คราหนึ่ง
“ในเมื่อพี่หานรู้สึกว่าไม่มีปัญหา ข้ากับศิษย์น้องก็จะไม่ปรามแล้ว ถ้าสหายทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ แค่บอกล่วงหน้าสักคำก็ได้แล้ว” เสียงของเหยียนลี่ถ่ายทอดมาด้วยน้ำเสียงเคารพ
“ผู้แซ่หานซาบแล้ว จากนี้พวกเรามาต่อกันเถอะ” หานลี่มีท่าทางคล้ายจะยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับดูไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ดังนั้น ขณะที่หยวนเหยาถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง ม่านแสงสีดำภายในเขตอาคมก็เปล่งแสงเจิดจ้า และส่งเสียงดังหึ่งๆ อีกครั้ง
ภายในม่านแสงสีดำ ร่างเลือนรางของพวกหยวนเหยาสองคนร่ายคาถาปล่อยลำแสงสีดำออกมาทีละสายอีกครั้ง และพากันจมเข้าไปในร่างของหานลี่…
ในขณะที่หานลี่ขจัดสัญลักษณ์อันแรกออกมาได้ สถานที่ที่ไกลจากพวกหานลี่หลายแสนจั้ง บนภูเขาสูงพันจั้งลูกหนึ่ง เงาร่างสีเขียวสลัวๆ ตลอดทั้งร่างกำลังยืนอยู่บนหินมหึมาก้อนหนึ่ง กำลังจ้องมองไปยังทิศทางที่หานลี่อยู่ด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนฉงนสนเท่ห์
“เป็นไปไม่ได้ สัญลักษณ์ที่ข้าทิ้งไว้ถูกทำลายแล้ว ตามหลักแล้วสัญลักษณ์เหล่านี้ถ้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไปก็ไม่มีทางขับออกมาได้ หรือว่าจะมียอดฝีมือช่วยเหลือเขา?”
เงาคนรูปร่างสูงเพรียว ใบหน้าสะสวย ที่แท้ก็คือมู่ชิง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหญิงผู้นี้จึงไม่ได้อยู่กับพวกลิ่วจู๋ แต่มาตามหาหานลี่ตามลำพัง
ในระหว่างทางนั้น นางได้สำแดงเคล็ดวิชาลับกระตุ้นสัญลักษณ์ภายในร่างของหานลี่ ทำให้หานลี่ทำลายสัญลักษณ์ที่นางฝังไว้เป็นอันดับแรกอย่างเลี่ยงมิได้
“แบบนี้ก็ยุ่งยากแล้ว จากการตอบสนองของสัญลักษณ์ที่ถูกทำลายในตอนท้าย น่าจะมาจากทิศทางนี้ไม่ผิดแน่ แต่พื้นที่กว้างใหญ่เช่นนี้ การจะค้นหาไม่ใช่เรื่องง่าย คงต้องเสี่ยงดวงดูแล้ว” หญิงผู้นี้ขมวดคิ้วแน่นพลางพูดพึมพำสองสามประโยค ก่อนที่ร่างของนางจะพลิ้วไหวอย่างไม่ลังเล กลายเป็นรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพวยพุ่งออกไป
อีกด้านหนึ่ง บนพื้นที่รกร้างที่เต็มไปด้วยโครงกระดูกสีขาว สามคนกับหนึ่งหุ่นเชิดกำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ต่างก็คุมเชิงกันอยู่
“พี่ลิ่วจู๋! ตอนนี้พวกข้าสลัดชาวแมงเม่าผู้นั้นกับอสูรวชิระอเวจีสองตนออกไปแล้ว ท่านควรจะนำน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีออกมาแบ่งกันสามคนเถอะ” คนที่พูดคือชายชุดโลหิตที่ถูกห่อหุ้มด้วยหมอกโลหิต ซึ่งยืนอยู่บนไหล่ของหุ่นเชิดโลหิตม่วง
“ก่อนหน้านี้สหายเอาแต่พูดตลอดว่าไม่สนใจ หรือว่าเกิดความคิดจะฮุบเอาไว้คนเดียวเสียแล้ว พี่ลิ่วจู๋คงไม่ลืมคำสาบานที่พวกเราพูดก่อนเดินทาง และอาคมต้องห้ามที่ใช้เคล็ดวิชาคำสาปโลหิตที่ร่ายใส่กันและกันหรอกนะ หากพวกข้ากระตุ้นอาคมต้องห้ามโดยที่ไม่สนว่าพลังปราณจะบาดเจ็บสาหัส สหายก็จะเสียพลังยุทธ์ไปกว่าครึ่ง” หญิงงามผมขาวที่กำลังเผชิญกับราชาภูตทั้งแปดที่กรูกันเข้ามา ก็กล่าวด้วยสีหน้าน่าสะพรึงกลัวเช่นกัน
ชายผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวสีดำ มีดวงตาที่ซับซ้อน จะต้องเป็นลิ่วจู๋อย่างแน่นอน
ตอนนี้เขาลอยอยู่ฝั่งตรงข้ามของพวกหญิงงามผมขาว สายตากวาดมองไปบนร่างของทั้งสองคน ท้ายที่สุดก็ปริปากอย่างเรียบๆ “ตามเจตนาเดิมของข้า ย่อมคิดที่จะแบ่งน้ำนมเทวะกับสหายทั้งหลายอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายตรงที่ดูเหมือนก่อนหน้านี้ไม่นาน น้ำนมเทวะในสระถูกคนอื่นเก็บไปแล้วครั้งหนึ่ง ที่เหลืออยู่นี้แค่พอให้ข้าใช้ได้คนเดียวเท่านั้น จะแบ่งกับพวกเจ้าได้อย่างไร เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน น้ำนมเทวะทั้งหมดนี้ยกให้ข้า แล้วข้าจะให้สมบัติล้ำค่าจำนวนมากเป็นการแลกเปลี่ยน จะได้ไม่ทำให้พวกเจ้ามาเสียเที่ยว พวกเจ้าสองคิดว่าอย่างไร?”
“จะมีสมบัติล้ำค่าอะไรที่เทียบเทียมกับน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีได้? นอกจากว่าท่านจะมียาวิญญาณที่ใช้เข้าสู่ระดับมหาเมธี หาไม่แล้ว ต่อให้มีสิ่งของที่ดูล้ำค่าในสายตาผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปมาเรียงกันมากมายแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับผู้ที่มีระดับพลังยุทธ์อย่างพวกข้า” หญิงงามผมขาวสีหน้าหม่นหมอง พลันพูดด้วยความเกรี้ยวโกรธ
ชายชุดโลหิตได้ยินคำนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายอย่างต่อเนื่องหลายหน ทว่าก็ยังไม่พูดในทันที
“น้องตี้เซวี่ย เจ้าคิดว่าอย่างไร?” เมื่อเห็นว่าชายชุดโลหิตไม่ได้กล่าวปฏิเสธ ลิ่วจู๋จึงถามระบุชื่อโดยตรง
แม้ว่าตรงหน้าจะมีแค่สองคน แต่เพียงแค่หนึ่งในนั้นยอมตกลงเงื่อนไขนี้ อีกคนหนึ่งย่อมไม่อาจคัดค้านได้ ถึงอย่างไรพลังยุทธ์ของลิ่วจู๋ก็เหนือกว่าทั้งสองคน ถ้าเหลือแค่คนเดียวก็ไม่ใช่คู่มือของเขาแล้ว
“ตี้เซวี่ย! เจ้าคงไม่ได้แก่จนเลอะเลือน คิดจะตกลงเงื่อนนี้จริงๆ สินะ” หญิงงามผมขาวหันหน้ามามองแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น
“หากน้ำนมเทวะเหลือแค่หนึ่งส่วน แม้ว่าสหายลิ่วจู๋จะยินดีนำออกมาแบ่งกับพวกเราจริงๆ ปริมาณน้อยเช่นนี้ สำหรับพวกเราก็ไม่มีประโยชน์อะไร หากยังคงเป็นของแค่คนๆ เดียว แล้วจะต่างอะไรกับตอนนี้! หรือว่าสหายหลานคิดว่าตัวเองน่าจะได้ครอบครองน้ำนมเทวะนี้ล่ะ” ชายชุดโลหิตกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“คำพูดของสหายตี้เซวี่ยถูกต้องที่สุด! ข้าน้อยเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” ลิ่วจู๋หัวเราะอึมครึม
หญิงงามผมขาวตกตะลึงเล็กน้อย แต่ฉับพลันก็ยิ้มเยาะแล้วเอ่ยขึ้น “ใครจะรู้ว่าในมีเขามีน้ำนมเทวะแค่หนึ่งส่วนจริงหรือไม่ พวกข้ายังไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองเลย”
“ไม่ผิด! นี่คือสิ่งที่ตัวข้าเองก็ลังเลอยู่เหมือนกัน สหายลิ่วจู๋ ท่านสามารถพิสูจน์คำพูดเมื่อครู่นี้ให้พวกเราดูได้หรือไม่” ชายชุดโลหิตดวงตาปรากฏสีของความเด็ดขาดออกมาปราดหนึ่ง พลันจ้องมองใบหน้าลิ่วจู๋ไม่ละสายตา
“สรรพคุณของน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีมีผลแค่ตอนใช้ครั้งแรกเท่านั้น หากกินหรืออาบครั้งที่สอง ผลที่ได้มีน้อยมาก ตรงจุดนี้สหายทั้งสองก็น่าจะรู้ดี นอกเสียจากว่าข้าน้อยสมองเลอะเลือน ถึงจะยอมแตกคอกับสหายทั้งสองเพื่อของที่ไม่มีประโยชน์ สหายทั้งสองคงยังไม่รู้ว่าน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีบรรจุอย่างไรสินะ” ลิ่วจู๋เงียบขรึมอยู่พักหนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่จึงค่อยถอนหายใจยาวแล้วกล่าว
“ที่สหายลิ่วจู๋พูดหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าการเก็บน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจี นอกจากจะต้องสอดคล้องกับชีพจรวิญญาณที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังมีความลี้ลับอย่างอื่นอีก” หญิงงามผมขาวถามด้วยความสงสัย
ดวงตาซับซ้อนของลิ่วจู๋เปล่งแสงสีเขียววูบหนึ่ง เมื่อเขาสั่นแขนเสื้อ ของสิ่งหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาแล้วหล่นลงในฝ่ามือ ก่อนที่จะประคองขึ้นมาอย่างนิ่มนวล
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นก้อนอิฐทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าใสแจ๋วก้อนหนึ่งที่คล้ายทำมาจากผลึก พื้นผิวเรียบลื่นผิดปกติ ใสสะอาดและโปร่งใสสุดๆ
บริเวณใจกลางของอิฐก้อนนี้ กลับมีของเหลวสีแดงสดขนาดเท่ากำปั้นวงหนึ่งกำลังสั่นไหวอ่อนๆ อยู่ในนั้น แม้ว่าจะถูกกันด้วยผลึกหนึ่งชั้น ก็ยังมีปราณวิญญาณอันน่าสะพรึงแผ่กระจายออกมาจากอิฐและก่อตัวเป็นหมอกวิญญาณสีขาวนวลเป็นเส้นๆ อย่างรวดเร็ว วนรอบบริเวณใกล้เคียงไม่หยุด
ภายในชั่วพริบตาก็ห่อหุ้มอิฐก้อนนี้ไว้
“ของสิ่งนี้เรียกว่าอิฐผลึกชุบไฟ เป็นสิ่งที่เผ่าแมงเม่าหลอมขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อใช้ดูดซับและกักเก็บน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีโดยเฉพาะ ปกติแล้วของสิ่งนี้จะอยู่ใต้สระของพระราชวังใหญ่ใต้ดินแห่งนั้น และจะหลอมรวมกับชีพจรวิญญาณเป็นเนื้อเดียวกันในทันที คิดจะเก็บออกมานั้นลำบากยากยิ่ง น้ำนมเทวะเมื่อถูกดูดซับเข้าไปในของสิ่งนี้แล้ว นอกจากจะต้องมีอักขระลับชนิดหนึ่งที่เผ่าแมงเม่าสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ หาไม่แล้ว ภายในระยะเวลาอันสั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ก็ไม่สามารถเก็บน้ำนมเทวะนี้ออกมาได้แม้แต่เสี้ยวเดียว นอกจากว่าผู้บำเพ็ญเพียรอย่างข้าจะใช้เพลิงแท้ภายในร่างหลอมสิ่งนี้เป็นเวลานานสิบกว่าปี จึงจะสามารถหลอมอิฐก้อนนี้ได้ ตอนนี้น้ำนมเทวะมีปริมาณเท่าไหร่ สหายทั้งสองสามารถแยกแยะด้วยตัวเองได้” ลิ่วจู๋กล่าวด้วยท่าทางสงบเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง
“กลิ่นอายของสมบัติชิ้นนี้เหมือนกับกลิ่นอายของหมอกวิญญาณในสระนั้นไม่มีผิดเพี้ยน น่าจะเป็นน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีไม่ผิดแน่ แต่บอกว่าพวกข้าไม่สำมารถทำลายของสิ่งนี้ได้ สหายไม่รู้สึกว่าคุยโวไปหน่อยหรือ?” ชายชุดโลหิตกวาดมองอิฐผลึกก้อนนั้นอยู่หลายรอบ สายตาเผยความละโมบออกมาเสี้ยวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แต่ปากก็บอกว่าไม่เชื่อในเวลาเดียวกัน
“ดูเหมือนพูดปากเปล่าจะไม่มีน้ำหนัก เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ข้าจะวางของสิ่งนี้ไว้กลางอากาศเหนือศีรษะ สหายทั้งสองสามารถโจมตีของสิ่งนี้อย่างสุดกำลังได้หนึ่งครั้ง หากสามารถทำให้ของสิ่งนี้เสียหายได้ถึงครึ่งส่วน ข้าจะมอบน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีให้ทันที หากไม่สามารถทำได้ ของสิ่งนี้ก็ตกเป็นของข้า และข้าจะมอบสมบัติอย่างอื่นให้เป็นการชดเชยสหายทั้งสอง? ไม่เช่นนั้น แม้ว่าสหายทั้งหลายจะกระตุ้นเคล็ดวิชาคำสาปโลหิต ก็คงไม่ดีไปกว่าข้าน้อยเสียเท่าไหร่ มิหนำซ้ำก็อาจจะอำนวยความสะดวกให้ผู้อื่นในที่แห่งนี้ฉวยโอกาสได้” ลิ่วจู๋ลังเลครู่หนึ่ คิดไม่ถึงว่าจะกล่าวออกมาเช่นนี้
“คำพูดนี้เป็นจริงแน่นะ?” หญิงงามผมขาวสองตาเปล่งประกาย พลันเกิดแรงจูงใจขึ้นมา
“ข้าก็อยู่ตรงนี้ มีสิ่งใดให้โกหกเล่า” ลิ่วจู๋หัวเราะหึๆ คราหนึ่ง
“ดี เช่นนี้ก็เป็นอันตกลง” หญิงงามผมขาวกล่าวตกลง เห็นได้ชัดว่ามีความเชื่อมันในตัวเองอยู่บ้าง
“หากข้าไม่สามารถทำลายสมบัติชิ้นนี้ได้ ข้าก็จะไม่แลกเปลี่ยนของอื่นใดอีก ข้าแค่อยากให้พี่ลิ่วจู๋ไปที่สุสานมารเป็นเพื่อนกับข้าสักหน ช่วยนำสมบัติสองชิ้นออกมาก็พอแล้ว” ชายชุดโลหิตดวงตาเปล่งประกายอยู่หลายหน คิดไม่ถึงว่าจะกล่าวเช่นนี้
“ไปที่สุสานมาร? แม้ว่ากายของมารนอกดินแดนเหล่านั้นจะตายไปไม่รู้กี่ปีแล้ว แต่ศาสตรามารเหล่านั้นก็เชื่อมวิญญาณและเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้ว เทียบกับสมบัติวิญญาณสะท้านฟ้าทั่วไปยังร้ายกาจกว่าหลายส่วน บวกกับส่วนลึกของที่นั่นปราณมารและปราณทมิฬผสมผสานกันอย่างหนาแน่นผิดปกติ คนธรรมดาอยู่ในนั้นยากที่จะเดินเหินได้แม้แต่ครึ่งก้าว ครั้งก่อนสหายมู่ชิงกับพวกเจ้าเคยบุกไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็คว้าน้ำเหลวกลับมาไม่ใช่รึ?” ลิ่วจู๋ขมวดคิ้วคราหนึ่ง ดูเหมือนจะไม่ยินยอมกับเรื่องนี้สุดๆ
“ไยสหายลิ่วจู๋ต้องถามให้แน่ชัดด้วย ในเมื่อเจ้าหนูแซ่หานยังไม่ตาย มีอัสนีปัดเป่าภยันตรายของเขาเป็นตัวบุกเบิกแล้ว หากมีพี่ลิ่วจู๋คอยช่วยเหลือ การเดินทางครั้งนี้ก็ไม่มีปัญหา จู่ๆ สหายมู่ชิงก็แยกตัวออกไปกลางทาง ไม่แน่ว่าคงจะไปตามหาแล้ว”