คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1517
คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1517 ความแตกแยก
ได้ยินชายชราแซ่เจียงกล่าวเช่นนี้ หยวนเหยากับเหยียนลี่ต่างก็รู้สึกโล่งใจ รีบกล่าวขอบคุณโดยพลัน
ชายชรากลับยิ้มแล้วตบมือสองข้างเบาๆ อย่างฉับพลัน
เมื่อสิ้นเสียงฝ่ามือ ภายนอกประตูข้างของโถงใหญ่ก็เกิดแสงสีขาวสว่างวาบ เงาสีขาวครึ่งโปร่งใสร่างหนึ่งก็โผล่มาจากพื้นที่ว่าง
“ทาสเงา เจ้าพาพวกเขาไปพักผ่อนที่ห้องสำหรับรับรองแขกโดยเฉพาะสักหน่อยเถอะ สหายทั้งสามมีความประสงค์อะไร เจ้าทำให้เขาพึงพอใจก็พอแล้ว” ชายชรากล่าวกำชับเงาสีขาว
“เจ้าค่ะ นายท่าน!” เงาสีขาวโค้งตัวเล็กน้อย พลันขานรับด้วยความเคารพนอบน้อม
หานลี่ใช้จิตสัมผัสตรวจดูบนร่างของเงาสีขาว ก็รูสึกใจหายวาบอย่างห้ามไม่อยู่
คาดไม่ถึงว่าแม้แต่กลิ่นอายของเงาสีขาวนี้ก็ยังแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ได้ร้ายกาจจนแตกต่างกันเกินไป เป็นราชาภูตระดับหลอมสูญขั้นปลายตนหนึ่ง
แม้ว่าหานลี่ยังมีคำถามบางอย่างที่ยังสงสัยและไม่เข้าใจ แต่ภายใต้สายตาของเงาสีขาวที่จับจ้องมา ก็จำต้องตามออกไปอย่างว่านอนสอนง่าย
หลังจากมองดูพวกหานลี่สามคนหายไปจากประตูข้าง ชายชราแซ่เจียงก็ดังสายตากลับมา เผยสีหน้าลังเลคล้ายกับคาดการณ์ไว้แล้ว
พวกหานลี่ตามเงาสีขาวที่เรียกว่าทาสเงาไป หลังจากผ่านเส้นทางหลายสาย และผ่านโถงข้างอีกหลายแห่ง ก็ถูกพามาที่ด้านหน้าลานบ้านแห่งหนึ่ง
ลานบ้างแห่งนี้สร้างด้วยเรือนหินน้อยใหญ่สิบกว่าหลัง
แม้ว่าจะไม่ได้งดงามประณีต แต่ก็ดูสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย
เงาสีเขาไม่ได้มีท่าทีเกรงใจแต่อย่างใด เพียงแค่ชี้ไปที่ลานบ้านแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “ทั้งสามคนพักอยู่ที่นี่ตามสบายเถิด ทั้งนี้ขอเตือนสหายทั้งสามสักหน่อย หากไม่มีเรื่องสำคัญอะไร ทางที่ดีอย่าได้เพ่นพ่านในจวนเป็นอาจขาด หากมีเรื่องอะไรจริงๆ ทั้งสามคนตะโกนเรียกชื่อข้าน้อยสามครั้ง ข้าก็จะรับรู้และมาหาในทันที”
เงาสีขาวพูดจบ ร่างก็พลิ้วไหวแล้วหายไปอย่างน่าประหลาด
พวกหานลี่และหยวนเหยาที่เหลืออยู่ต่างก็หันมามองหน้ากัน
“เข้าไปพักผ่อนข้างในสักคืนก่อนค่อยว่ากันเถอะ ก่อนหน้านี้เร่งเดินทางโดยไม่ได้พักผ่อนมาโดยตลอด คิดว่าสหายทั้งสองคงจะเหนื่อยล้าบ้างแล้ว หากมีเรื่องอะไร รอให้พลังบริสุทธ์ของพวกเราสามคนฟื้นฟูแล้วค่อยคุยกันอย่างละเอียดทีหลังเถอะ ถึงอย่างไรระยะเวลาสามวันก็ไม่ได้รีบร้อน” หานลี่ถอนหายใจยาวคราหนึ่ง พลันหันหน้าไปทางหญิงสาวทั้งสองแล้วยิ้มกล่าว
เหยียนลี่ยิ้มฝืนๆ แล้วกล่าวอืมคำเดียว ส่วนหยวนเหยาขมวดคิ้วแน่น พลันขานรับด้วยจิตใต้สำนึก
หานลี่พยักหน้าเสร็จ ก็นำหน้าเดินเข้าไปในลานบ้าน
เขาเดินมาถึงด้านข้างเรือนหินหลังหนึ่ง ประตูไม่ได้มีอาคมต้องห้ามอะไร ดังนั้นจึงผลักประตูเรือนแล้วเดินเข้าไป
พื้นที่ภายในเรือนนับว่าไม่ใหญ่นัก มีแค่เจ็ดแปดจั้งเท่านั้น แต่โต๊ะเก้าอี้และเตียงต่างก็มีครบครัน ล้วนหลอมมาจากหินอ่อนทั่วไป แลดูเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง!
ที่มุมหนึ่งของเรือนยังมีเบาะกลมที่ถักทอมาจากหญ้าเขียวขจีผืนหนึ่งวางอยู่ตรงนั้น
หางคิ้วของหานลี่กระตุกคราหนึ่ง พลันสั่นแขนเสื้อเล็กน้อย ธงเขตอาคมสิบกว่าด้ามก็พวยพุ่งออกมา แล้วแวบหายเข้าไปตามมุมที่อยู่รอบด้าน
ม่านแสงสีเขียวสลัวๆ ปรากฏขึ้นมาหนึ่งชั้น
นี่เป็นแค่อาคมต้องห้ามป้องกันการแอบดูอย่างเรียบง่ายเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ได้มีประสิทธิภาพในการป้องกันที่แข็งแกร่งอะไร แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เขาถูกผู้อื่นแอบสังเกตการณ์โดยไม่รู้ตัวได้
จากนั้นหานลี่ก็ถอดรองเท้าแล้วขึ้นเตียงอย่างไม่ลุกลี้ลุกลน พลันงุดศีรษะผล็อยหลับไป
จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เข้ามาในแม่น้ำอเวจี เขาทั้งรับมือกับภูตผีในแม่น้ำอเวจี ทั้งยังต้องระมัดระวังแผนการของพวกแม่เฒ่าภูตอยู่ตลอดเวลา ยังไม่เคยได้พักผ่อนดีๆ เลยจริงๆ
ตอนนี้แม้ว่าเขาไม่สามารถวางใจชายชราแซ่เจียงได้ทั้งหมด แต่ด้วยพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายที่เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธี จะระมัดระวังอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เขากลับไม่จำเป็นต้องกังวลให้มากเกินไป สามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจ
ผ่านไปไม่ทันไร เสียงนอนกรนดังขึ้นภายในเรือนหิน หานลี่จมเข้าไปในห้วงความฝัน
คืนนี้ เขานอนหลับฝันหวานสุดๆ ไม่เพียงแต่ฝันเห็นภาพตอนที่ใช้ชีวิตร่วมกับบิดามารดาและพี่น้องตอนเด็กๆ แม้กระทั่งเงาร่างของสหายในวัยเยาว์ก็ปรากฏออกมาทีละคนๆ
แต่ถึงแม้คนเหล่านี้ แต่ละคนจะดูสนิทสนมคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง แต่ใบหน้าในความฝันของพวกเขากลับไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้แต่น้อย
สุดท้าย ดวงตางดงามคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นในฝัน เจ้าของดวงตาคู่นี้ก็คือหนานกงหว่าน ภรรยาสุดที่รักในแดนมนุษย์ของเขา
ภายในฝันปรากฏร่างของหนานกงหว่าน นางไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ใช้สายตาอ่อนโยน มองดูหานลี่อย่างเงียบๆ
หานลี่คิดเพ้อฝันต่างๆ นานาภายในฝันไม่พูดจา ราวกับเคลิบเคลิ้มหลงใหลอยู่ในสายตาคู่นี้…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ขณะที่เปลือกตาของหานลี่ขยับ ก็ตื่นขึ้นมาจากฝัน เบื้องหน้ายังคงมองเห็นดวงตาของหนานกงหวานที่กระเพื่อมราวกับสายน้ำในสารทฤดู
เขายังไม่ลุกขึ้นมาในทันที เพียงแค่นอนบนเตียงลิ้มรสความรู้สึกอ่อนโยนเสี้ยวหนึ่งที่อยู่ในใจต่อไปอย่างไม่ขยับเขยื้อน
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร ความเพ้อฝันในดวงตาของหานลี่ก็ค่อยๆ เลือนหายไป เปลี่ยนมาเป็นสายตาปกติ
ไม่รู้จะเรียกว่าบังเอิญหรือไม่ ในตอนนี้เอง จู่ๆ นอกประตูก็มีเสียงอันไพเราะของเหยียนลี่ดังเข้ามา “พี่หาน ตื่นแล้วหรือยัง? หากตื่นแล้ว รบกวนมาหารือกับพวกเราสักหน่อย!”
น้ำเสียงของหญิงผู้นี้เกรงใจเป็นอย่างยิ่ง
“สหายโปรดรอสักหน่อย ผู้แซ่หานจะรีบออกไป” หานลี่ขยับร่างวูบหนึ่ง ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วตอบกลับโดยพลัน
“เช่นนั้นข้ากับศิษย์น้องจะรอที่เรือนตรงกลาง รอรับพี่หานเสด็จด้วยความนอบน้อม!” เหยียนลี่หัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง ฉับพลันเสียงนั้นก็หายไป
หานลี่สวมรองเท้าอย่างสุขุมเยือกเย็น ครั้นโบกมือไปที่ด้านหลังทีหนึ่ง แสงสีเขียวดวงหนึ่งก็โคจรทั่วกายตั้งแต่บนลงล่าง
ทันใดนั้น บริเวณที่ยับของเสื้อผ้าก็ถูกปาดจนเรียบในพริบตา
ตัวหานลี่เองรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก เขาโคจรความคิดในหัวครู่หนึ่ง พลันตั้งสมาธิแล้วผลักประตูเดินออกจากเรือนหิน
เมื่อคืนนี้เหยียนลี่กับหยวนเหยา ทั้งสองคนต่างก็อาศัยด้วยกันที่อีกด้านหนึ่งของลานบ้าน ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้หญิงสาวทั้งสองได้หารือกันไปหมดแล้วหรือยัง
ขณะที่หานลี่ครุ่นคิดในใจ ก็เดินเข้าไปในเรือนที่อยู่ตรงกลางสุดของลานบ้าน
เมื่อเข้าไปในเรือนนี้ ภายในเป็นเรือนหินที่ใหญ่กว่าที่เขาอยู่หลายเท่า ขณะเดียวกันภายในเรือนได้จัดวางโต๊ะหินตัวหนึ่งและเก้าอี้อีกหลายตัว พวกเหยียนลี่กับหยวนเหยากำลังนั่งล้อมวงคุยกันที่โต๊ะ
ทั้งสี่มุมของโถงใหญ่ต่างก็มีธงสีดำโบกพลิ้วอยู่หนึ่งด้าม เปล่งแสงสีเทาผลุบๆ โผล่ๆ ออกมาชั้นหนึ่ง ปกคลุมทั้งเรือนไว้ภายใน
ดูเหมือนหญิงสาวทั้งสองจะวางอาคมต้องห้ามบางอย่างไว้ก่อนหน้านี้
“พี่หาน ท่านมาได้เวลาพอดีเลย ข้ากับศิษย์น้องปวดหัวกับเรื่องของอาวุโสเจียงแทบแย่” เหยียนลี่เห็นว่าหานลี่เขามาแล้ว ก็ยิ้มหวานแล้วยืนขึ้น
ดวงตาของหยวนเหยาเผยสีหน้าประหลาดออกมาปราดหนึ่ง แล้วยืนขึ้นต้อนรับเช่นกัน!
“อ๋อ ดูเหมือนสหายทั้งสองจะหารือเรื่องนี้กันไปแล้ว หากเชื่อคำพูดของผู้แซ่หาน พวกเจ้าสามารถเล่าความคิดออกมาตามจริงได้ แม้ว่าผู้แซ่หานมีพลังยุทธ์ไม่สูงนัก แต่จะถามเรื่องวางแผนก็ไม่มีปัญหา” หานลี่พูดด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นเขาก็เดินมาข้างหน้าสองสามก้าว แล้วนั่งกับหญิงสาวทั้งสอง
“ที่จริงแล้วเรื่องนี้เรียบง่ายมาก ด้วยสถานะของอาวุโสเจียงรับข้าเป็นศิษย์ เดิมทีควรจะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ข้าคิดที่จะกลับไปยังเผ่ามนุษย์ หาทางฝึกฝนเคล็ดวิชาลับที่ทำให้กลับคืนสู่ร่างมนุษย์ แม้ว่าอิทธิฤทธิ์ของเผ่าอายุยืนนั้นจะร้ายกาจเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถขจัดร่างครึ่งคนครึ่งภูตของข้าได้ แต่ศิษย์พี่รู้สึกว่านี่คือโอกาสที่หาได้ยาก หวังว่าข้าจะยอมตกลง” หยวนเหยาเป็นฝ่ายเอ่ยปากด้วยความจนปัญญาขึ้นมาก่อน
“ศิษย์น้องหยวน การจะคืนร่างมนุษย์ไยต้องรีบร้อนด้วย สามารถฝึกฝนกับอาวุโสเจียงสักระยะหนึ่งไปก่อน รอให้อิทธิฤทธิ์ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงแล้ว ค่อยกลับไปที่เผ่ามนุษย์แล้วหาวิธีคืนร่างมนุษย์ก็ได้ หากพลาดโอกาสดีเช่นนี้ไปแล้ว จะหาอีกก็คงยาก” เหยียนลี่กลับคิดได้อย่างลึกซึ้งยิ่งนัก พลันพูดเสนอความเห็นออกมาตามตรง
“หากภายหลังสามารถคืนร่างมนุษย์ได้จริงๆ ข้ายังต้องพิจารณามากมายเช่นนี้อยู่อีกหรือ! ศิษย์พี่น่าจะเข้าใจดี ตั้งแต่ที่ท่านกับเข้าสองคนฝึกฝนคาถาตะวันจันทราหวนคืน ร่างของเราสองคนก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นภูตผีที่แท้จริงทีละนิดมาโดยตลอด แม้ว่าเราสองคนจะใช้พลังยับยั้งถึงขีดสุด แต่เกรงว่าผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ก็จะกลายเป็นภูตจริงๆ แล้ว ข้าจะมัวเสียเวลาที่นี่ต่อไปได้อย่างไร จะมีเวลาที่ไหนไปฝึกฝนอิทธิฤทธิ์อย่างอื่น” หยวนเหยาถอนหายใจคราหนึ่ง ท่าทางค่อนข้างกลัดกลุ้ม
“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่าให้ศิษย์น้องไหว้อาจารย์อยู่ที่นี่ ข้ากลับไปที่เผ่ามนุษย์ ก็จะช่วยตามหาเคล็ดวิชาลับฟื้นคืนร่างมนุษย์ให้ ไม่เสียเวลาศิษย์น้องแน่นอน” เหยียนลี่ก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน แล้วตอบกลับ
“ไยศิษย์พี่ต้องทำเรื่องที่อุดหูขโมยกระดิ่ง[1] เช่นนี้ด้วย! ความหมายแฝงในคำพูดของอาวุโสเจียง ทำไมศิษย์น้องจะฟังไม่ออก ดูเหมือนทัณฑ์สวรรค์ครั้งต่อไปของเขาก็อีกไม่นานแล้ว แม้ว่าตอนนี้ข้าจะมุ่งมั่นฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ของเผ่าอายุยืนนั่น ก็แค่พอถูไถใช้ได้เท่านั้น พอไหว้เป็นศิษย์ของเขาแล้ว จะแบ่งใจไปฝึกฝนสิ่งอื่นได้อย่างไรอีก” หยวนเหยาส่ายศีรษะ
“ตราบใดที่พวกเราพี่น้องอยู่ด้วยกันได้ ต่อให้เป็นภูตผีไปจริงๆ แล้วจะทำไม? อันตรายในแดนวิญญาณใช่ว่าศิษย์น้องจะไม่เคยเห็นมาก่อน แม้ว่าพวกเราสองคนจะได้ร่างมนุษย์คืนมา ก็ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจจะต้องร่วงตาย หากเป็นเช่นนี้ มิสู้ให้ศิษย์น้องเป็นศิษย์ของอาวุโสเจียงแล้วได้รับการคุ้มครองยังดีเสียกว่า หลังจากสำเร็จอิทธิฤทธิ์อย่างใหญ่หลวงในภายภาคหน้าแล้ว ค่อยหาวิธีคืนร่างมนุษย์ก็ยังไม่สาย ถึงอย่างไรร่างของพวกเราก็กลายเป็นภูตแล้ว ก็ยังไม่เหมือนกับภูตผีที่แท้จริงเสียทีเดียว น่าจะมีวิธีที่ฝืนชะตาได้ อีกทั้งหากพูดอย่างไม่เกรงใจ อาวุโสเจียงให้ความสำคัญกับศิษย์น้องเช่นนี้ หากเจ้าไม่ตกลง เกรงว่ายากจะออกไปจากที่แห่งนี้เช่นกัน” เหยียนลี่พูดเกลี้ยกล่อมออกมาเช่นนี้
“หากไม่มีวิธีการที่ฝืนชะตาเช่นนี้อยู่จริงๆ ล่ะ?” หยวนเหยาหันมามองหานลี่ด้วยท่าทางประหลาด พลันส่ายหน้าถี่ๆ แสดงท่าทางเห็นด้วย
“พี่หาน ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ก็พูดสักหน่อยเถอะ!” เหยียนลี่จนปัญญา จำต้องหันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากหานลี่
“เจตนาของสหายทั้งสอง ข้าฟังเข้าใจอยู่บ้าง สิ่งสำคัญที่แม่นางหยวนเป็นกังวลก็คือหลังจากนี้จะไม่สามารถกลับคืนร่างมนุษย์ได้ ดังนั้นจึงไม่คิดจะไหว้เป็นศิษย์ของอาวุโสเจียงในตอนนี้ ส่วนสหายเหยียนกลับรู้สึกว่านี่คือโอกาสที่หาได้ยาก ไม่อยากให้แม่นางหยวนละทิ้งไปเช่นนี้ ข้าพูดไม่ผิดสินะ” หานลี่ลังเลครู่หนึ่ง จึงค่อยวิเคราะห์ออกมาอย่างสงบเยือกเย็น
“ไม่ผิด ที่จริงเมื่อคืนนี้เราสองคนไม่ว่าใครก็ไม่สามารถพูดให้อีกฝ่ายยอมได้!” เหยียนลี่หัวเราะขื่นๆ คราหนึ่ง
“จิตใจที่แม่นางหยวนไม่อยากกลายเป็นภูตผี ผู้แซ่หานย่อมเข้าใจได้อยู่แล้ว ความคิดของสหายเหยียนที่ไม่อยากให้แม่นางหยวนละทิ้งโอกาสดีที่หายากนี้ ข้าน้อยก็พอเห็นใจ ที่จริงแล้วความคิดของทั้งสองคนต่างก็ไม่ผิด” หานลี่ยิ้มจางๆ แล้วตอบกลับ
“พี่หาน ข้ากับศิษย์น้องมาหาท่านเพื่อหารือเรื่องนี้ ไม่ได้ให้ท่านมาผสมโรงนะ” เหยียนลี่เลิกคิ้วขึ้น แสดงท่าทีไม่ค่อยพอใจ
“เหอะๆ สหายเข้าใจผิดแล้ว ที่จริงผู้แซ่หานอยากจะพูดก็คือ ความแตกแยกระหว่างแม่นางหยวนกับเจ้า ใช่ว่าไม่มีทางแก้ไขได้พร้อมกัน” หานลี่ยิ้มเล็กยิ้มใหญ่แล้วกล่าว
“อะไรนะ พี่หานพูดจริงหรือ?” เหยียนลี่ตกตะลึง พลันเผยสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
หยวนเหยารู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ!
——
[1] อุปมาว่า หลอกตัวเอง หลับหูหลับตาทำเรื่องบางเรื่อง