คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1528
คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1528 บ๊วยโลหิตและตราทาส
“สองสามวันก่อนพวกเราได้เห็นปรากฎการณ์การพัฒนาระดับขั้นของท่านอาวุโสแล้ว จึงได้ตั้งใจมาแสดงความยินดีกับท่านอาวุโสที่พัฒนาระดับขั้นสำเร็จ!” ในที่สุดอสูรน้อยหัววัวก็ได้สติจากอารมตกใจที่ ‘หานลี่’ มีสองคน รีบร้อนทำความเคารพ ใบหน้าล้วนเปี่ยมไปด้วยความนอบน้อม
แน่นอนว่าครานี้มันมันย่อมรู้ว่า ‘หานลี่’ ที่อยู่เบื้องหน้าถึงจะเป็นตัวจริง!
“อืม พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะบรรลุระดับขั้นสำเร็จ ไม่แน่อาจจะเพลี้ยงพล้ำก็เป็นได้!” หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา เอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น
“ท่านอาวุโสล้อเล่นแล้ว ผู้อื่นอาจจะล้มเหลว แต่จากความสามารถที่ยิ่งใหญ่ของท่านอาวุโส จะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้อย่างไร” หัวตรงกลางของงูเหลือมยักษ์สามหัวสะบัดไปมา แล้วตอบกลับอย่างประจบประแจง
หานลี่ได้ฟังคำนี้ ก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา หลังจากที่กวาดสายตาไปบนเรือนร่างของเหล่าปีศาจแล้ว ฉับพลันนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
“เอาล่ะ ไม่ต้องอ้อมค้อมแล้ว สาเหตุที่พวกเจ้ามาที่นี่ ข้าก็พอทราบอยู่บ้างแล้ว มาถวายสมบัติงั้นหรือ? มีจุดประสงค์อะไรก็แจงมาตรงๆ เถิด ข้าไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่นานนัก”
จากพลังยุทธ์ของหานลี่ในครานี้นั้น เหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูญขั้นต้นธรรมดาๆ เท่าหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้จงใจสำแดงพลังใดๆ ออกมา แต่หลังจากเปล่งเสียงเย็นชาออกมาแล้ว พลังปราณฟ้าดินในห้องโถงก็ยังถูกผลกระทบ ฉับพลันนั้นพลันเกิดระลอกคลื่นหมุนวนระลอกหนึ่ง
ปีศาจทั้งสี่รู้สึกเพียงว่าบรรยากาศรอบๆ ตึงเครียด ชั่วขณะนั้นราวกับมีแรงกดพันจวินกดอยู่บนร่าง ร่ายกายสั่นเทา จนเกือบจะซวนเซล้มลงไปกับพื้น
“ท่านอาวุโสโปรดระงับโทสะด้วย! พวกเรามาถวายสมบัติจริงๆ ขอรับ ไม่มีเจตนาร้ายอื่น!” อสูรน้อยหัววัวหน้าเหยเก ทางหนึ่งก็ควบคุมลมปราณในร่างต้านทานพลังแรงกดไปพลาง ทางหนึ่งก็ร้องเอ่ยเสียงหลงกับหานลี่อย่างร้อนรนไปพลาง
“พวกเจ้ามาถวายสมบัติอย่างไม่มีเหตุมีผล! ช่างเถิด ดูสมบัติของพวกเจ้าก่อนก็แล้วกัน หากต้องใจ ค่อยฟังคำพูดของพวกเจ้าต่อก็แล้วกัน หากไม่มีประโยชน์เลยสักนิด พวกเจ้าก็รีบไสหัวไปซะ” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
เมื่อหานลี่เปล่งคำพูดออกมา พลังแรงกดประหลาดในห้องโถงก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้ปีศาจทั้งสี่ที่อยู่ด้านล่างรู้สึกผ่อนคลายลง แล้วยืนตัวตรงขึ้นอีกครั้ง
ส่วนอสูรน้อยหัววัวนั้นก็ไม่กล้าอ้อมค้อมอะไรอีก ส่งสายตาให้กับวานรสีทองที่อยู่ด้านข้างอย่างร้อนรน!
วานรตัวนั้นลังเลเล็กน้อย ควานมือไปบนเรือนร่าง ควักกล่องไม้สีดำสนิทออกมากล่องหนึ่ง จากนั้นก็สาวเท้ามาข้างหน้าสองสามก้าว ส่งให้ด้วยมือทั้งสองมือ
หานลี่เองก็ไม่ได้ปริปาก ใช้มือหนึ่งตวัดออกไป
กล่องไม้เปล่งเสียง “สวบ” ถูกดูดเข้ามาอยู่ในมือทันที
สะบัดแขนเสื้อไปบนฝากล่อง ชั่วขณะนั้นฝากล่องไม้พลันมีหมอกสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วเปิดออกโดยอัตโนมัติ เผยของที่วางอยู่ด้านในออกมา
ผลสีแดงสดขนาดเท่ากำปั้นเม็ดหนึ่ง ผิวมีตาข่ายสีเงินทอตัวอยู่ พลางเปล่งแสงระยิบระยับ
หานลี่ตะลึงงันไปเล็กน้อย ไม่ต้องให้ปีศาจทั้งสี่อธิบายอะไร ครานั้นพลันยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว ชี้ไปที่ผลเม็ดนั้นเบาๆ สอดแทรกจิตสัมผัสเข้าไป
แค่ชั่วครู่หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสีไปหลายครั้ง เริ่มจากตกตะลึง กลายเป็นประหลาดใจ สุดท้ายพลันขมวดคิ้วมุ่น ท่าทีตกตะลึงระคนสงสัยไม่แน่นอน
ปีศาจทั้งสี่เห็นหานลี่มีสีหน้าเช่นนี้ ก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้ แต่ผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาง่ายๆ
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา หานลี่พลันพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เลื่อนนิ้วออกจากกล่อง
“นี่คือบ๊วยโลหิต! ลำบากพวกเจ้าแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะหาเจอแม้กระทั่งสิ่งนี้” หานลี่ดูราวกับปิดฝากล่องไม้ลงอีกครั้งอย่างส่งเดช เผยท่าทีอมยิ้มให้กับปีศาจทั้งสี่ตน
“ดวงตาของท่านอาวุโสช่างเฉียบแหลมนัก มองปราดเดียวก็รู้ความเป็นมาของเจ้าสิ่งนี้ พวกเราพบเจ้าสิ่งนี้ในซากปรักหักพังของภูเขาเร้นทมิฬ ครานี้จึงตั้งใจนำมาถวายให้แก่ท่านอาวุโส!” อสูรน้อยหัววัวเห็นหานลี่รู้จักที่มาของไข่มุกกลมเม็ดนี้จริงๆ พลันรู้สึกตกตะลึง แต่ปากก็ ตอบกลับอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“อืม หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าสิ่งนี้ประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนโลหิต เป็นสมุนไพรส่วนเสริมที่ใช้พัฒนาระดับขั้นที่หายากของอสูรปีศาจอย่างพวกเจ้า นับว่าเป็นของหายากที่พันปีจะเจอสักครั้ง ในเมื่อพวกเจ้ายอมแม้กระทั่งเอาเจ้านี่ออกมา ดูแล้วเรื่องที่จะมาขอร้องคงไม่ธรรมดาสินะ เจ้านี่มีประโยชน์กับข้าอยู่เล็กน้อย พวกเจ้าต้องการอะไรไหนลองพูดมาเถิด” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง พลางเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน
เมื่อเห็นหานลี่มีสีหน้าเช่นนี้ หลังจากปีศาจทั้งสี่มองสบตากันแวบหนึ่งแล้วก็ยังเป็นอสูรน้อยหัววัวที่กระแอมไอเบาๆ แล้วเอ่ยปากว่า
“ในเมื่อท่านอาวุโสมองความคิดของชนรุ่นหลังอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ชนรุ่นหลังก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้ว ที่พวกเราสี่คนมาในครั้งนี้นั้นเกี่ยวข้องกับชีวิต จึงต้องทำเช่นนี้!” อสูรน้อยมีสีหน้าหม่นหมอง แฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกวิงวอน
หานลี่กลับมีสีหน้าไร้ความรู้สึก แค่มองอสูรตัวนี้อย่างราบเรียบไม่พูดไม่จา
อสูรน้อยเห็นเช่นนั้น ก็ทำได้เพียงฝืนยิ้มออกมา แล้วเอ่ยต่ออย่างระมัดระวังว่า
“เรื่องที่พวกเราจำต้องส่งของเซ่นไหว้ให้กับเผ่าวิหคสวรรค์นั้น น่าจะปิดบังเหล่าอาวุโสมิได้แล้ว แต่สมุนไพรวิญญาณในเทือกเขานี้นับวันยิ่งมีน้อยลงไปเรื่อยๆ เกรงว่าอีกพันปีเศษก็คงจะหมดไปแล้ว ดังนั้นการที่พวกมาครั้งนี้ ก็เพราะอยากให้ท่านอาวุโสลงมือช่วยพวกเรากำจัด ‘ตราทาส’ ออกจากร่าง ให้พวกเราได้รับอิสรภาพ ไม่ถูกกักอยู่ในเกาะแห่งนี้อีก ขอแค่ท่านอาวุโสยอมตอบรับเรื่องนี้ ชนรุ่นหลังและพวกไม่เพียงจะยอมมอบบ๊วยโลหิตเม็ดนี้ให้ และยังยินดีมอบของล้ำค่าที่พวกเราค้นมาหลายปีทั้งหมดให้ท่านอาวุโส แม้ว่าพลังยุทธ์และความสามารถของพวกเราจะไม่นับว่ามีค่าอะไรในสายตาของท่านอาวุโส แต่ก็มีพรสวรรค์ในการตามหาสมบัติอยู่เล็กน้อย น่าจะไม่ทำให้ท่านอาวุโสผิดหวัง”
“ตราทาส? ข้าก็ว่าพวกเจ้าถึงได้เชื่อฟังไม่ยอมออกไปไหนไกล ที่แท้ก็ถูกเผ่าวิหคสวรรคืลงอาคมเอาไว้ ลองดูก่อนก็แล้วกัน” หานลี่ชักสีหน้า ฉับพลันนั้นพลันยกมือขึ้นตะปบออกไปกลางอากาศ
ผลึกลำแสงสีทองผืนหนึ่งบินม้วนออกมาจากหว่างนิ้ว
อสูรน้อยยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็รู้สึกเพียงว่าร่างกายแข็งแกร่ง จากนั้นพลังดูดกลุ่มหนึ่งก็ตกลงมาจากสวรรค์ ชั่วครู่ร่างกายก็สูญเสียการควบคุมบินเข้ามาหาหานลี่
อสูรตนนี้ร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง ร่างกายที่แต่เดิมเล็กจิ๋วถูกดูดเข้าไป พริบตาก็มีขนาดสองสามฉื่ออยู่ตรงหน้าหานลี่ ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศไม่อาจขยับเขยื้อนได้
อสูรที่เหลือทั้งสามตนพลันตกใจจนสะดุ้งโหยง ทยอยกันถอยกรูดออกไปสองสามก้าวแล้วเผยสีหน้าระวังภัยออกมา
แต่หานลี่กลับไม่ได้เปิดเปลือกตาขึ้น แค่จัดการเรื่องของตนเองเท่านั้น ดวงตาเปล่งประกายสีฟ้าสว่างวาบ ชั่วพริบตาจิตสัมผัสก็ทะลวงผ่านร่างของอสูรตนนี้ เริ่มตรวจสอบร่างกายของอีกฝ่ายรวมทั้งความผิดปกติในจิตวิญญาณด้วย
งูเหลือมยักษ์ วานรสีทองและพวกปีศาจทั้งสามเห็นเช่นนี้ ถึงได้เข้าใจเจตนาของหานลี่ พลันรู้สึกผ่อนคลายลง ทยอยกันกลั้นหายใจอย่างมีความสุข แล้วมองการเคลื่อนไหวของหานลี่อย่างเงียบๆ
ฉับพลันนั้นหานลี่ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา จากนั้นก็หัวเราะน้อยๆ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกัน
นิ้วทั้งสิบร่ายไปมาอย่างต่อเนื่อง เสียง “ฟิ้วๆ” ดังแหวกอากาศมา เส้นไหมสีเขียวแวววาวเป็นสายๆ พุ่งออกมาจากหว่างนิ้ว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของอสูรน้อย
จากนั้นหานลี่พลันบริกรรมคาถา เส้นไหมสีเขียวในมือขาดออก ร่ายอาคมออกไปสองสามสาย
ฉับพลันนั้นร่างกายของอสูรน้อยหัววัวพลันสั่นเทา ทันใดนั้นร่างกายพลันแข็งทื่อ ขณะที่ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ เงาแมลงสีแดงสดตัวหนึ่งซึ่งถูกเส้นไหมสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้ ก็ถูกดึงออกมาจากหว่างคิ้วของอสูรน้อยอย่างช้าๆ
เงาแมลงตัวนั้นยาวสองสามชุ่น เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่เงาลวงตาจางๆ สายหนึ่งเท่านั้น
แต่เมื่อเงาแมลงออกห่างจากใบหน้าของอสูรน้อย ฉับพลันนั้นร่างกายก็บิดเบี้ยวไม่ขยับเขยื้อน
มีเพียงตาข่ายสีเขียวเหล่านั้นที่เปล่งแสงระยิบระยับ แต่กลับไม่อาจดึงเงาแมลงได้อีก
ในเวลาเดียวกันใบหน้าของอสูรน้อยก็เปลี่ยนเป็นเจ็บปวดเหลือคณา ปากเผยอออกเล็กน้อย แต่กลับไร้ซึ่งเสียงใดๆ สุดท้ายก็คอพับหมดสติไป
หานลี่เห็นเช่นนั้น พลันมีสีหน้าขบคิดไปเล็กน้อย
แต่ทันใดนั้นพลันมุ่นหัวคิ้ว แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ปากก็ร้องอุทานต่ำๆ ออกมา
แผ่นหลังมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ภาพมายาวิหคยักษ์สีเขียวตัวหนึ่งปรากฎขึ้น
เมื่อวิหคยักษ์ตัวนี้ปรากำตัว ก็ชูคอขึ้นเปล่งเสียสงกรีดร้องทะลวงผ่านศิลาทองไป
สามปีศาจที่แต่เดิมมองด้วยความงุนงงได้ยินเสียงเพรียกครั้งนี้ ก็รู้สึกเพียงว่าร่างกายเป็นเหน็บชา ทยอยกันขาอ่อนล้มพับลงไปกับพื้น
มิน่าล่ะสามปีศาจถึงได้มีสีหน้ารับไม่ไหวเช่นนี้!
เดิมทีวิหคมัจฉาทะยานฟ้าก็ขึ้นชื่อเรื่องชอบกินปีศาจตนอื่นอยู่แล้ว วานรสีทอง งูเหลือมยักษ์ทั้งสามตนก็เป็นแค่ปีศาจระดับกลาง จึงไม่อาจรับแรงกดดันของวิหคสีเขียวในระยะใกล้เช่นนี้ได้
ในตอนนั้นเองภายใต้การร่ายคาถากระตุ้นของหานลี่ วิหคสีเขียวก็พุ่งเข้าไปจิกอสูรน้อยอย่างรวดเร็ว!
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฎขึ้น
เงาแมลงสีแดงสดที่แต่เดิมนิ่งงัน ไม่อาจดึงออกมาได้ คาดไม่ถึงว่าจะถูกจงอยปากของวิหคยักษ์จิกออกมา จากนั้ันก็ชูคอขึ้นกลืนลงไปในท้อง
หลังจากเสียงร้องแหลมสูงดังขึ้นอีกครั้ง เงาลวงตาของวิหคยักษ์ก็หายวับไป
งูเหลือมยักษ์และพวกปีศาจทั้งสามตนถึงได้ปีนขึ้นมาจากพื้นด้วยตัวสั่นเทาอีกครั้ง แต่ทุกตนล้วนมีสีหน้าหวาดผวา สายตาที่มองมาทางหานลี่ล้วนเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่งพรึง
หานลี่กลับไม่สนใจปีศาจทั้งสามตน แค่พิจารณาอสูรน้อยหัววัวที่อยู่เบื้องหน้า พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ทันใดนนั้นมือหนึ่งก็ตะปบออกไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นเส้นไหมสีเขียวพลันเปล่งเสียงแหวกอากาศพุ่งกลับไปในร่างของอสูรน้อย ถูกเขาเก็บกลับไปอีกครั้ง
ชั่วพริบตาที่เส้นไหมสีเขียวออกห่างร่าง เปลือกตาของอสูรน้อยก็ขยับ แต่ยังคงไม่ได้สติในทันที
หานลี่ขมวดคิ้ว แต่ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง ลำแสงวิญญาณสีเขียวกลุ่มหนึ่งบินออกมา จมหายเข้าไปในร่างของอสูรน้อยอย่างไร้ร่องรอย
อสูรน้อยที่แต่เดิมสลบไสลไม่ได้สติขนกระดิก ในที่สุดก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นได้สติขึ้นมา
“เป็นอย่างไร ครานี้เจ้าสัมผัสได้ถึงตราทาสในร่างหรือไม่?” หานลี่พิงพนักอิงเก้าอี้ แล้วเอ่ยกับอสูรน้อยหัววัวอย่างสบายๆ
อสูรน้อยเพิ่งจะได้สติฟื้นคืนมา เมื่อได้ยินคำนี้พลันตะลึงงัน แน่นอนว่าย่อมทำตามคำพูดไปตามจิตสำนึก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ชั่วขณะนั้นใบหน้าของอสูรตนนี้ก็มีสีหน้าปิติยินดีอย่างบ้าคลั่งออกมา
“ตราทาสหายไปแล้ว หายไปแล้วจริงๆ ขอบพระคุณความเมตตาของท่านอาวุโส!” อสูรน้อยคารวะหานลี่อย่างร้อนรน
หลังจากที่ถูกตราทาสผนึกไว้ ก็ทำให้อสูรน้อยรู้สึกเหมือนมีแมลงวันเกาะอยู่ที่กระดูกมาโดยตลอด ครานี้ถูกกำจัดออก แน่นอนว่าย่อมทำให้มันรู้สึกยินดีอย่างหาที่เปรียบมิได้
อสูรที่เหลืออีกสามตนเห็นเช่นนั้น ล้วนดีใจอย่างเกินคาด รู้สึกยินดีกับอสูรน้อยเป็นอย่างมาก จากนนั้นก็ทยอยกันใช้สายตารอคอยมองมาทางหานลี่
“ไม่ต้องรีบร้อน มาทีล่ะคนๆ” หานลี่ฉีกยิ้มบางๆ ชี้หนี้ไปที่วานรสีทองอย่างส่งเดช
ชั่วขณะนั้นปีศาจตนนั้นพลันกระโดดเข้ามาด้วยความเบิกบานใจ…
หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร ตราทาสในร่างของอสูรน้อยและปีศาจทั้งสี่ ต่างก็ถูกหานลี่กำจัดไปจนเกลี้ยง
ปีศาจทั้งสี่รู้สึกซาบซึ้งใจต่อหานลี่เป็นอย่างมาก จึงคำนับอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
“พวกเจ้าไปได้แล้ว ข้าแค่แลกเปลี่ยนกับพวกเจ้าเท่านั้น ใช่แล้ว การเซ่นไหว้เผ่าวิหคสวรรค์ครั้งต่อไปของพวกเจ้าจะเกิดขึ้นเมื่อใด?” ฉับพลันนั้นหานลี่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ พลางเอ่ยถามปีศาจหนึ่งประโยค
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ ครั้งที่แล้วพวกเราเพิ่งจะเซ่นไหว้ไปได้ไม่นาน ภายในเวลาสองสามร้อยปี เผ่าวิหคสวรรค์ไม่มีทางมาที่เกาะนี้อีกแน่” อสูรน้อยหัววัวเดาความคิดของหานลี่ออกสองสามส่วน จึงรีบร้อนตอบกลับไป
“อืม เช่นนั้นก็ไม่เป็นอันใดแล้ว พวกเจ้าไปได้แล้ว” หานลี่ได้ยินคำนี้ ความหวาดกลัวสุดท้ายในใจก็มลายลง พลางโบกมือให้อสูรทั้งสาม
สองสามร้อยปีต่อมาเขาคงไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ต่อให้มีปัญหาขึ้นมาแล้วจะหาเขาเจอได้อย่างไร