คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1540
คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1540 กระบี่ทมิฬสิงแขน
แน่นอนว่าหญิงสาวไม่อาจคลายความสงสัยในใจของฮูหยินได้ แต่หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง กลับย้อนถามว่า
“ต่อให้เผ่าตาข่ายทมิฬลงมือกับเผ่าอื่นอีกสองเผ่า จากระดับของท่านแม่ที่จัดอยู่ในอันดับชนชั้นสูงในเวลานี้แล้ว แถมยังมีข้าลงมือช่วยเหลือ หรือว่าจะต่อกรกับพวกเขาไม่ได้?”
“หากเป็นชาวตาข่ายทมิฬธรรมดาๆ ข้ากินผลฝึกเซียนไปแล้วย่อมมั่นใจอยู่สองสามส่วน สิ่งสำคัญก็คือจากร่องรอยที่พวกเขาลงมือ ดูคล้ายกับว่าจะปะปนอยู่ในเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬ” ฮูหยินสั่นศีรษะขณะเอ่ย
“เผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬ เป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นมหาปุโรหิตเผ่าตระกูลวาสองสามคนของพวกเราสืบค้นแล้ว เลือดเนื้อของเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬถูกกำจัดไปหมดแล้วมิใช่หรือ?” หญิงสาวร้องอุทานด้วยความตกตะลึง รู้สึกไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย
“ในเมื่อแม้แต่ชาวตาข่ายทมิฬที่ควรจะสูญพันธุ์ไปแล้วยังปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งได้ มีราชันย์ตาข่ายทมิฬที่หนีการตรวจสอบในครานั้นไปได้สักคนสองคนก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ และเผ่าราชันย์ของเผ่านี้ก็ชอบควบคุมเผ่าตระกูลวาของพวกเราโดยธรรมชาติ นอกจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลวาแล้ว เผ่าอื่นๆ หากอยู่ต่อหน้าเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬ ก็สำแดงความสามารถออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนทั้งนั้น และยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการฝึกฝนของคนเผ่าจักรพรรดิตาข่ายทมิฬ ต่อให้เทียบกับชนชั้นสูงในเผ่าต่างๆ ของแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี ก็ไม่มีทางทิ้งห่างไปไกลแน่ เวลานี้กล้าลงมือกับทั้งสามเผ่าของพวกเราอย่างเปิดเผยเช่นนี้ คงจะฝึกฝนสำเร็จแล้ว” ฮูหยินเผยสีหน้ากังวลใจออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ
หญิงสาวได้ยินคำพูดเหล่านี้ของฮูหยิน พลันรู้สึกหมดคำพูด แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หลังจากที่นางกลอกตาไปมาสองสามครั้ง พลันเอ่ยขึ้นว่า
“ทว่าท่านแม่ไม่จำเป็นต้องกังวล หากชาวตาข่ายทมิฬเหล่านั้นน่ากลัวเช่นนั้นจริงๆ จะให้เวลาเผ่าเพลิงอาทิตย์อย่างพวกเราพักหายใจเช่นนี้หรือ เกรงว่าการสังหารอีกสองเผ่าสองครั้งก่อน คงจะสูญเสียไปไม่น้อย พวกเราไม่ใช่ว่าจะไม่มีแรงสู้”
“หากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมดี แต่อย่าลืมล่ะเผ่าอื่นอีกสองเผ่าบุรุษถูกสังหาร”
“ความหมายของท่านแม่คือ พวกมันกำลัง…” ชั่วขณะนั้นหญิงสาวพลันนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าซีดขาวขึ้นอีกสองส่วน
“อืม ตอนนั้นเผ่านี้และเผ่าตระกูลวาของพวกเราเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันด้วยเหตุนี้ เกรงว่าหลังจากที่พวกมันจัดการเสร็จแล้ว คงจะลงมือกับพวกเรา ถึงอย่างไรเสียเผ่าเพลิงอาทิตย์ของพวกเราก็เป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดในสามเผ่า และยิ่งไปกว่านั้นการป้องกันบนเกาะยังเหนือกว่าอีกสองเผ่า พวกมันเตรียมตัวรอบคอบแล้วค่อยมาลงมือกับพวกเรา นั่นเป็นเรื่องปกติ หากท่านหานผู้นั้นมีพลังยุทธ์ดังที่ข้าคาดการณ์ไว้ ไม่แน่ว่าความเป็นตายของเผ่าเราก็ขึ้นอยู่กับเขา” ฮูหยินแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย
“คนผู้นั้นมีความสามารถสูงส่งขนาดนั้นจริงๆ หรือ? เมื่อครู่ฟังที่ท่านแม่สนทนากับคนอื่น คนผู้นี้ได้รับบาดเจ็บหนัก ถึงครานั้นเกรงว่าคงไม่มีประโยชน์หรอกกระมัง” หญิงสาวขมวดคิ้วเรียวสวยมุ่น ท่าทางไม่เข้าใจนัก
“ข้าตัดสินใจนำยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดออกมาให้คนผู้นั้นแล้ว” ฮูหยินเอ่ยอย่างราบเรียบ
“อะไรนะ ท่านแม่จะมอบยาเทวะให้คนผู้นั้น ไม่ได้เด็ดขาด แม้นว่าท่านแม่จะกินยาฝึกเซียนลงไป แต่หากกินยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดเข้าไปอีกละก็ ยังสามารถฟื้นฟูอายุขัยมาได้อีกส่วนหนึ่ง หากมอบให้คนผู้นั้น จะไม่มีแม้แต่ที่ให้เอาคืนกลับเลยนะ” หญิงสาวผละออกจากอ้อมอกของฮูหยิน เอ่ยแย้งอย่างร้อนใจ
“เมื่อครู่ข้าก็ลังเลไม่แน่ใจ เพราะเรื่องนี้ หากคนผู้นี้มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับเดียวกันกับอาจารย์ของจูเอ๋อร์ มอบยาเทวะให้เขาย่อมคุ้มค่า แต่หากสูงกว่าข้าแค่ขั้นสองขั้น แค่ใช้สมบัติวิเศษปกปิดพลังยุทธ์เดิมเอาไว้ จนทำให้ข้าไม่อาจดูออกได้ กลับเป็นการสิ้นเปลืองไปโดยแท้” ฮูหยินหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“คนผู้นั้นจะเทียบกับท่านอาจารย์ได้อย่างไร! ท่านอาจารย์ของข้าฝึกฝนอยู่ในระดับขั้นที่ห้าของชนชั้นสูงแล้ว พอที่จะจัดอยู่ในอันดับหนึ่งในห้าของผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดในน่านน้ำแห่งนี้” ความกังวลของหญิงสาวผ่อนคลายลง เอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อถือ
“แม้นข้าจะมองพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายไม่ออก แต่อีกฝ่ายจะต้องมีพลังสูงกว่าข้าอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นเพราะเขาได้รับบาดเจ็บหนัก ข้าจึงยังสัมผัสได้รางๆ ว่าหากอีกฝ่ายลงมือ ก็สามารถสังหารข้าได้อย่างง่ายดาย มิเช่นนั้นข้าคงไม่ยอมขอร้องให้เขาอยู่ต่ออย่างยากลำบากเช่นนี้ แต่ขอแค่คนผู้นี้มีประโยชน์ต่อภัยพิบัติครั้งใหญ่ของเผ่าเรา ยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดเม็ดหนึ่งจะมีค่าอะไร” ฮูหยินลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยอย่างรอบคอบออกมา
“เมื่อครู่ข้าได้ยินบทสนทนาของคนเหล่านั้น ตั้งแต่ต้นจนจบคนผู้นี้ล้วนไม่เผยความสามารถใดๆ ออกมา หากเอายาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดไปมอบให้เขาไปทั้งอย่างนั้น จะไม่เสี่ยงเกินไปหน่อยหรือ ต่อให้ต้องมอบให้ ก็จะต้องลองทดสอบก่อน” หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ลองดู! เวลานี้ลมปราณของอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บหนัก จะลองทดสอบอย่างไร” ฮูหยินขบคิดไปเล็กน้อย แล้วพลันรู้สึกสนใจ
“ต่อให้พลังยุทธ์เสียหาย แต่หากเป็นชนชั้นสูงของเผ่าจริงๆ จิตสัมผัสต้องแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย หากท่านแม่วางใจละก็ คราที่มอบยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดมิสู้ให้ข้าติดตามไปด้วยเป็นอย่างไร? ถึงครานั้นก็ค่อยตัดสินไปตามสถานการณ์! หากคนผู้นี้มีความสามารถเกรียงไกรจริง เพื่ออนาคตของเผ่าเพลิงอาทิตย์แล้ว ก็มอบยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดให้เขาเถิด แต่ถ้าหากเป็นแค่ภาพวาดเสือ[1] ยาลูกกลอนนี้สำคัญขนาดนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจให้คนนอกคนหนึ่งกินได้” หญิงสาวเอ่ยอย่างเด็ดขาด
“เรื่องนี้…” ฮูหยินได้ยินหญิงสาวกล่าวเช่นนี้ พลันรู้สึกลังเลไม่มั่นใจ
ยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดสามารถทำให้อายุขัยของนางฟื้นฟูกลับมาได้กว่าครึ่ง ในใจนางจึงไม่อยากนำออกมาง่ายๆ เช่นนี้แน่นอน
“ก็ได้ จูเอ๋อร์เจ้าลองดูสักครั้ง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อย่าทำเกินไป และอย่าไปล่วงเกินคนผู้นี้” สุดท้ายฮูหยินพลันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ท่านแม่โปรดวางใจ ข้ารู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร” หญิงสาวได้ฟังคำนี้ ใบหน้าพลันเผยรอยยิ้มหวานหยดย้อยออกมา
“สามวันให้หลัง ข้าน่าจะเอายาลูกกลอนเทวะออกมาจากเพลิงธรณีได้ ถึงครานั้นก็ไปกับข้าก็แล้วกัน หากอีกฝ่ายเป็นอาวุโสผู้มีความสามารถเกรียงไกร คิดดูแล้วคงไม่ถือโทษอะไรกับชนรุ่นหลังอย่างเจ้า อีกอย่างเดาว่าการก่อกบฏของเผ่าตาข่ายทมิฬคงจะไม่อยู่พักนานนัก ข้าได้ขอทัพเสริมกับสหายสนิทคนอื่นไปสองสามคนแล้ว กว่าครึ่งคงคาดหวังไม่ได้! ในช่วงเวลานี้ข้าจะไปคุยกับเหล่าอาวุโสสองสามคนในเผ่าก่อน นอกจากนี้จะเพิ่มการเฝ้าระวังในเผ่าเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว” สุดท้ายฮูหยินพลันเอ่ยอย่างตัดสินใจ
หญิงสาวได้ฟังพลันพยักหน้าเป็นพัลวัน จากนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยถึงรายละเอียดการป้องกันเผ่าตาข่ายทมิฬต่อในวิหาร
เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ตรงตีนเขาห่างออกไปร้อยกว่าลี้ หานลี่ที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ เปลือกตากระตุก เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น ในเวลาเดียวกันลำแสงสีทองที่โคจรอยู่บนเรือนร่างก็หม่นแสงลง
เห็นเพียงดวงตาที่แต่เดิมหม่นแสงลงเล็กน้อย เวลานี้มีลำแสงเรืองรองปรากฏขึ้นสองสามส่วน
หานลี่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แค่ยกมือหนึ่งขึ้นพิจารณาเล็กน้อย จากนั้นนิ้วทั้งห้าพลันขยับ แล้วค่อยๆ กำจนเป็นกำปั้น
เขาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเบาๆ
เวลานี้แม้นว่าพลังปราณของเขาจะฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว แต่โลหิตบริสุทธิ์และจิตสัมผัสที่สูญเสียไปช่างรุนแรงเกินไปจริงๆ แม้นว่าจะใช้ยาลูกกลอนจำนวนมากที่พกติดตัวมา เกรงว่าต้องใช้สามสี่ปีถึงจะฟื้นฟูกลับมาอยู่ในระดับยอดสุดเหมือนเดิมได้
ทว่าเขากล้าตอบรับว่าจะอยู่ที่ชนต่างเผ่าของฮูหยิน แน่นอนว่าย่อมมีความมั่นใจอยู่บ้าง
เมื่อขบคิดในใจเช่นนั้น ฉับพลันนั้นหานลี่พลันสะบัดแขนเสื้อ วงแหวนกลมๆ สีดำพลันพุ่งออกมา หมุนคว้างไปมาผิวเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงสีดำสายหนึ่งและลำแสงสีทองกลุ่มหนึ่งบินออกมา
ลำแสงหลีกหนีสองสายหมุนโคจรอยู่เบื้องหน้าของหานลี่ บนพื้นมีวานรน้อยสีดำและเสือดาวน้อยตัวหนึ่งปรากฏขึ้น
นั่นก็คืออสูรวิญญาณครวญและอสูรมิคาทน!
อสูรวิญญาณสองตัวนี้ ตัวหนึ่งแม้หานลี่เองก็ยังไม่แน่ใจว่าขีดจำกัดความสามารถของมันคือจุดไหน อีกตัวหนึ่งอยู่ในระดับที่เทียบเท่ากับระดับเทพแปลงแล้ว
แต่อสูรทั้งสองนี้เป็นสิ่งที่เขานั่งสมาธิพักผ่อนอยู่ชั่วครู่ ฟื้นฟูพลังปราณและพลังจิตสัมผัสกลับมาแล้วถึงได้ฝืนเรียกมันออกมาได้ หากเปลี่ยนเป็นตอนที่ตื่นขึ้นมา ตกอยู่ในสภาวะที่จิตสัมผัสพลังปราณเหือดแห้ง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเปิดแหวนอสูรวิญญาณและเชื่อมโยงกับอสูรวิญญาณทั้งสองได้อย่างง่ายดายแน่
เมื่ออสูรวิญญาณทั้งสองปรากฏตัว วิญญาณครวญก็วูบไหวกาย มาปรากฏตัวบนหัวไหล่ของหานลี่พลางหัวเราะคิกคัก พลางนั่งยองๆ อยู่บนนั้น เงาร่างไม่สมบูรณ์อีกตนหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายที่มีขนปุกปุยกระโจนเข้ามาในอ้อมแขนของหานลี่ และใช้ลิ้นสีชมพูเลียฝ่ามือของหานลี่อย่างใกล้ชิดสนิทสนม จนรู้สึกอุ่นๆ และจั๊กจี้เล็กน้อย
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา สองมือจับไปที่ร่างของอสูรทั้งสอง จากนั้นพลันฝืนควบคุมจิตสัมผัสออกคำสั่งกับอสูรทั้งสองสองสามประโยค
ชั่วขณะนั้นอสูรวิญญาณครวญพลันกระโดดหนีออกจากหัวไหล่ของเขาก่อน จากนั้นร่างกายพลันขยายขนาดขึ้น ลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นหานลี่ที่สวมอาภรณ์เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว จากนั้น ‘หานลี่’ ผู้นี้ก็นั่งลงด้านข้างหานลี่พร้อมฉีกยิ้มจนตาหยี และนั่งสมาธิลงเช่นกัน
ส่วนอสูรมิคาทนนั้นพลันพุ่งออกมาจากอ้อมอกของหานลี่ ชั่วครู่ก็กลายเป็นเงาร่างไม่สมบูรณ์สองสามสายหายวับไปจากกลางอากาศ ไม่รู้ว่าไปหลบซ่อนอยู่ตรงที่ใดของห้อง
หลังจากทำเช่นนี้เรียบร้อยแล้ว หานลี่พลันใช้มือหนึ่งปัดไปที่กำไลเก็บของ ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ธงอาคมหลากสีสันตั้งหนึ่งพลันปรากฏขึ้น
ชูมือหนึ่งขึ้น ธงอาคมทยอยกันพุ่งไปที่กำแพงรอบด้าน ทยอยกันกลายเป็นลำแสงวิญญาณจมหายเข้าไปในกำแพงอย่างไร้เงา
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นด้านนอกเรือนไม้ที่หานลี่พำนักอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะมีลำแสงสีขาวอ่อนชั้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เปล่งแสงระยิบระยับไม่หยุด
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว หานลี่ถึงได้ผ่อนคลายลง หลังจากขบคิดเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น และพิจารณาด้านบนเขม็ง
เห็นเพียงรอยสีเหลืองจางๆ สายหนึ่งปรากฏอย่างรางๆ อยู่ตรงนั้น
แววตาของหานลี่มีแสงสีฟ้ากะพริบวาบอย่างต่อเนื่อง หลังจากพิจารณารอยนั้นอย่างละเอียดชั่วครู่แล้ว พลันลังเลเล็กน้อย ฉับพลันนั้นแขนพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะนำลมปราณที่มีอยู่ไม่มากในร่างมารวมตัวกันที่รอยแยกนี้
ผลคือเดิมทีรอยแยกเป็นสีเหลืองจางๆ ชั่วขณะนั้นพลันชัดเจนขึ้น
ดูจากรูปร่างมันแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะเป็นกระบี่ที่หานลี่ฟันออกไป ผลสวรรค์ทมิฬที่หายไป แต่แค่ไม่รู้ว่าหลังจากที่หานลี่หลับใหลไปแล้ว เจ้าผลนี้สิงเข้าไปอยู่ในแขนของเขาได้อย่างไร
หานลี่พลันขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสไปมาเช่นกัน
จากพลังยุทธ์ที่ไม่มากนักของเขาในเวลานี้ มากสุดก็ทำให้รอยสีเหลืองชัดเจนขึ้นกว่าเดิมสองสามส่วนเท่านั้น หากมากกว่านี้แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่สิ่งที่เขาในเวลานี้จะทำได้
นี่จึงทำให้หานลี่อดบ่นพึมพำในใจ รู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก
ไม่ต้องพูดถึงอานุภาพของผลสวรรค์ทมิฬที่กลายเป็นกระบี่ แต่ผลตอบแทนที่หานลี่ฟันกระบี่เล่มนี้ออกไป ก็ทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นอยู่ในตอนนี้
เมื่อฟันสมบัติกระบี่ชิ้นนี้ออกไป ไม่ว่าศัตรูจะเป็นอย่างไร เกรงว่าชีวิตน้อยๆ ของเขาคงต้องปิดปลิวไปกว่าครึ่ง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ถึงได้ปล่อยแขนออกด้วยแววตาเปล่งประกาย
เขาตัดสินใจแล้ว หลังจากรอให้พลังปราณฟื้นฟู จะบีบให้สมบัติชิ้นนี้ออกมาจากแขนแล้วค่อยว่ากัน
มิเช่นนั้นสิ่งที่จะทำลายตนเองก่อนที่จะทำลายศัตรูเช่นนี้อยู่บนแขน ช่างเป็นสิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่
——
[1] ภาพวาดเสือ เป็นสำนวนจีน หมายถึงคนหรือกลุ่มที่ดูเหมือนมีพลังอำนาจ แต่ความจริงแล้วไม่มีอำนาจอะไรเลย