คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1544
คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1544 คลื่นลำแสงภยันตราย
เสียงอึกทึกดังขึ้น!
การโจมตีต่างๆ เข้ามาประชิดรัศมีลำแสงในพริบตา ลำแสงหลากสีสันระเบิดออกพร้อมกัน เสียงอันน่าตกตะลึงพลันดังขึ้น!
ราวกับว่าครู่ต่อมาจะฉีกรัศมีลำแสงสีดำสองกลุ่มออกเป็นชิ้นๆ
แต่ในครานั้นรัศมีลำแสงสีดำพลันมีลำแสงประหลาดสีทองเงินพุ่งออกมา จากนั้นรัศมีลำแสงทั้งสองพลันขยายออกไปอย่างบ้าคลั่ง ชั่วครู่พลันผสมรวมตัวกัน
ลำแสงสีดำเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้งพลันปรากฏขึ้น ลำแสงประหลาดสีทองเงินตรงใจกลางตัดสลับกันไปมา ไม่ว่าลูกธนูลำแสงหนาแน่นเหล่านั้น หรือว่ามีดลำแสงสีเงินของมหาปุโรหิตมนุษย์อสรพิษทั้งสี่ แม้กระทั่งสมบัติที่กลายเป็นอสรพิษเพลิงในมือของฮูหยิน ล้วนถูกสูบเข้าไปข้างในอย่างไร้เงา
การร่วมมือโจมตีอย่างยิ่งใหญ่ก่อนหน้า ดูเหมือนจะเป็นดอกถานฮัวยามค่ำคืนอย่างไรอย่างนั้น จึงเหลือเพียงเงาร่างคนสองคนที่ยืนนิ่งงันอยู่ใต้ลำแสงสีดำ และดวงตาเย็นชาสี่สาย
“คลื่นลำแสงภยันตราย! คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะฝึกฝนอิทธิฤทธิ์นี้สำเร็จ!”
ชาวเผ่าเพลิงอาทิตย์ในวิหารเห็นสถานการณ์นี้พลันจิตใจหนักอึ้ง การโจมตีในมือหยุดชะงัก ฮูหยินจึงยิ่งเอ่ยพึมพำด้วยความเจ็บปวด
แต่ชาวตาข่ายทมิฬที่มีดวงตาสีทองเงินซึ่งอยู่ตรงข้ามคู่นั้น ร่างกายกลับพลิ้วไหว สองแขนประกบเข้าด้วยกัน ในเวลาเดียวกันแขนอีกข้างหนึ่งกลับยกขึ้น ยื่นนิ้วหนึ่งออกมาชี้ออกไป เป้าหมายก็คือฮูหยินและสตรีสองคนนั้น!
เห็นเพียงรัศมีลำแสงสีดำปริแตก เส้นไหมบางๆ สีทองสองสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไป
“รีบหลบไป! อย่ารับตรงๆ!” ฮูหยินพลันตื่นตะลึง รีบร้อนเอ่ยเตือนไป๋จูเอ๋อร์ ในเวลาเดียวกันผิวของตนเองพลันเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ กลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งหลบหลีกไป
หญิงสาวใจหายวาบ แต่พลังยุทธ์ของนางอยู่แค่ระดับหลอมรวม หากหมายจะหลบหลีกในชั่วครู่ กลับไม่ค่อยทันนัก เส้นไหมบางๆ สีทองเงินสายหนึ่งพลิ้วไหวมาอยู่ตรงหน้าของนาง ราวกับเคลื่อนย้ายกายได้อย่างไรอย่างนั้น
ภายใต้ความจนปัญญา สตรีผู้นี้ทำได้เพียงทำให้สองมือรางเลือน ลูกธนูกระดูกดอกหนึ่งปรากฏขึ้นบนคันธนูแกร่งสีเหลือง มือหนึ่งง้างธนูออก แล้วปล่อยออกไปอีกครั้ง
เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังของลูกธนูดังออกมาจากคันธนู ลำแสงสีเหลืองขาวเปล่งแสงสว่างวาบ!
ลูกธนูกระดูกกลายเป็นเสาลำแสงขนาดเท่าแขนพ่นออกมา ปะทะกับเส้นไหมสีทองเงินที่มาถึงเบื้องหน้าอย่างพอดิบพอดี
ทั้งสองมีขนาดที่ใหญ่โตเป็นพิเศษ แต่เมื่อสัมผัสกันกลับเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
จากนั้นเห็นเพียงลำแสงวิญญาณของเสาลำแสงสีเหลืองขาวแข็งค้าง แล้วพุ่งกลับมาอย่างแปลกประหลาด
แม้นว่าหญิงสาวจะมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว แต่ระยะห่างแค่นี้ การโจมตีที่ปล่อยออกไปถูกดีดกลับมาอย่างคาดไม่ถึง จึงไม่อาจเตรียมการป้องกันใดๆ ได้ทัน จึงทำได้เพียงร้องอุทานออกมาด้วยความประหวั่นใจ ขวางคันธนูแกร่งในมือเอาไว้เบื้องหน้าตามจิตสำนึก
พลานุภาพของลูกธนูดอกเมื่อครู่ยิ่งใหญ่เพียงใด นางย่อมรู้ดีแจ่มแจ้ง ภายใต้การโจมตีที่ไร้ซึ่งการลังเลใจนี้ กายเนื้อของนางรวมทั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมคงจะหายไปในทันที
หูของนางได้ยินแม้กระทั่งเสียงฮูหยินร้องอุทานออกมา
ครู่ต่อมาฝ่ามือของนางพลันสั่นเทา คันธนูแกร่งถูกเสาลำแสงโจมตีจนกระเด็นลอยออกไป ความรู้สึกร้อนฉ่าห่อหุ้มไปทั้งเรือนร่างของนาง
ทำให้ไป๋จูเอ๋อร์หน้าถอดซี ทำได้เพียงหลับตาทั้งสองข้างลงอย่างรอคอยความตาย
และในพริบตานั้นมีคนเข้ามาคว้าคอเสื้อของหญิงสาวเอาไว้ ออกแรงดึงเบาๆ ชั่วขณะนั้นหญิงสาวพลันหายวับไปท่ามกลางลำแสงสีเขียวอย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นเสียงสะเทือนก้องฟ้าพลันดังขึ้น!
หญิงสาวพลันตะลึงงัน เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะพบว่าตนเองอยู่ห่างออกมาสิบจั้งเศษ เสาลำแสงทะลวงผ่านตำแหน่งเดิมที่ตนเองยืนอยู่ จมหายเข้าไปในกำแพงวิหารใกล้เคียงกัน
ผลคือเมื่อปะทะกับเขตอาคมลำแสงห้าสี พลันระเบิดลำแสงเจิดจ้าออกมา จากนั้นพลันหายวับไป
ทว่าเส้นไหมสีทองเงินที่ไล่ตามเสาลำแสงมาติดๆ ด้านหลังกลับไม่ได้โจมตีกำแพงเช่นเดียวกัน แต่กลับเปลี่ยนทิศทาง พุ่งมาหาหญิงสาวอีกครั้ง
“เอ๋” หญิงสาวร้องอุทานออกมา!
แต่ไม่รอให้นางหมายจะเคลื่อนไหวกายใดๆ ก็สัมผัสได้ว่าตรงคอเสื้อแน่นเปรี๊ยะ ทัศนียภาพรอบด้านรางเลือน เคลื่อนย้ายกายมาอยู่อีกที่ภายในพริบตาอีกครั้ง
หญิงสาวถึงได้ได้สติกลับคืนมารีบร้อนหันกลับไปมอง!
เห็นเพียงผู้ที่อยู่ด้านหลัง เอามือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของนางอย่างส่งเดช สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก
ไม่ใช่หานลี่ แล้วเป็นผู้ใดได้อีก!
เส้นไหมสีทองเงินที่อยู่ไกลออกไปโจมตีกับความว่างเปล่าอีกครั้ง มันเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะพุ่งออกมาอีกครั้ง ราวกับว่าหากไม่สังหารสตรีผู้นั้นให้ตาย ก็จะไม่ยอมหยุดพัก
ตรงอีกมุมหนึ่งของวิหาร เส้นไหมบางๆ สีทองเงินเส้นหนึ่งกำลังไล่ตามฮูหยินจนต้องหนีกระเซอะกระเซิงเช่นกัน
แต่ถึงอย่างไรเสียฮูหยินก็มีพลังยุทธ์ระดับก่อกำเนิด เมื่อเหาะเหินอย่างเต็มกำลังแล้ว ประกอบกับการต้านทานเส้นไหมสีทองเงินด้วยลำแสงสีเงินในมือของมนุษย์อสรพิษชุดขาวอีกสี่คนแล้ว ก็พอจะรักษาชีวิตรอดไปได้
“สะท้อนการโจมตีได้ ช่างน่าสนใจนัก!” หานลี่เอ่ยพึมพำประโยคหนึ่ง แต่พลันสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงสีเทาผืนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าไป๋จูเอ๋อร์
แต่เมื่อเส้นไหมสีทองเงินเส้นทะลวงเข้ามา ก็แค่หยุดชะงักไปเล็กน้อย แล้วทะลวงผ่านไปได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้รับผลกระทบจากลำแสงเทวะดูดปราณเลยสักนิด
ไป๋จูเอ๋อร์เห็นฉากนี้ พลันหน้าซีดขาวไปอีกครั้ง
แต่เสียง ปัง พลันดังขึ้น เปลวเพลิงลำแสงห้าสีชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นที่หลังม่านลำแสงสีเทา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสูบเส้นไหมสีทองเงินเข้ามาข้างใน
เส้นไหมบางๆ ที่แต่เดิมความเร็วแปลกพิกลเข้ามาในเปลวเพลิงลำแสงก็ดูเหมือนปลาติดแหอย่างไรอย่างนั้น ชั่วครู่พลันเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าลง
หานลี่หยักมุมปากขึ้น อดที่จะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาไม่ได้
แต่ครู่ต่อมา รอยยิ้มของเขาพลันแข็งค้าง
เพราะว่าเส้นไหมสีทองเงินพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ชั่วครู่ก็กลับมากระตือรือร้นดังเดิม แค่กะพริบวาบก็ต้านทานลำแสงห้าสีออกไป มาอยู่ตรงหน้าหญิงสาว
ความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ทำให้ไป๋จูเอ๋อร์ที่เพิ่งมีสีหน้าผ่อนคลายลง รู้สึกหวาดผวา คิดว่าครั้งนี้คงไม่อาจโชคดีได้แล้วจริงๆ
แต่ความเปลี่ยนแปลงต่อจากนั้น ก็ทำให้สตรีผู้นี้ตกตะลึงจนตาค้าง
เส้นไหมบางๆ เส้นนั้นไม่มีท่าทีจะพลิ้วไหวเลยสักนิด ก็หายวับไปจากเบื้องหน้าของพวกเขา
และครู่ต่อมา บรรยากาศตรงหน้าหานลี่ที่อยู่ตรงแผ่นหลังของนางพลันเกิดระลอกคลื่นขึ้น เส้นไหมสีทองเงินเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วพุ่งเข้ามา
ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้ ราวกับสายฟ้าแลบอย่างไรอย่างนั้น!
หานลี่มีสีหน้าตะลึงงันฉายวาบผ่าน แต่ร่างกายไม่หลบหลีกเลยสักนิด แค่แววตาเปล่งประกายเย็นชา อ้าปากออก
เสียง ปัง ดังขึ้น พ่นลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีเข้ากับเส้นไหมสีทองเงิน
ฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น!
แม้แต่ลำแสงเทวะดูดปราณและเปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีก็ไม่อาจกักเส้นไหมบางๆ สีทองเงินได้ ถูกเปลวเพลิงสีเงินห่อหุ้มเอาไว้ แล้วดูเหมือนปะทะกับดาวตกอย่างไรอย่างนั้น เสียง สวบ ดังขึ้นแล้วหดเล็กลงจนมีขนาดเท่าไข่ไก่
ส่วนลูกบอลเพลิงสีเงินที่กำลังลุกโชนนั้น พลันเปลี่ยนรูปร่าง กลายเป็นวิหคน้อยสีเงินตัวหนึ่ง
ลูกบอลลำแสงสีทองเงินในร่างของเขาหลอมละลายหดเล็กลงอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ชั่วพริบตาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
วิหคเพลิงสีเงินสยายปีกทั้งสองข้างออก เปล่งเสียงร้องไพเราะด้วยความพึงพอใจ ฉับพลันนั้นร่างกายพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่พลันหายไปอย่างลึกลับ
ส่วนอีกด้านของวิหารเส้นไหมสีทองเงินที่ไล่ตามฮูหยินจนทำให้เข้าตาจนนั้นพลันมีแสงสีเงินขึ้นปรากฏเบื้องหน้า วิหคเพลิงปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ อ้าปากออกกลืนเส้นไหมบางๆ เข้าไปในท้องด้วยความรวดเร็วอย่างไม่สามารถหลบหลีกได้
จากนั้นเสียง ปัง พลันดังขึ้นเบาๆ ร่างของวิหคเพลิงสีเงินพลันระเบิดออกจากที่เดิม กลายเป็นจุดลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
เวลานี้หานลี่ถึงได้เลื่อนสายตาไปด้วยแววตาอมยิ้ม มองไปยังชาวตาข่ายทมิฬสองคนที่อยู่ในลำแสงสีดำไกลออกไป
การประมือที่ดูเหมือนสลับซับซ้อนเมื่อครู่ ความจริงแล้วเกิดขึ้นแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น
ฮูหยินและพวกอดที่จะเผยสีหน้ายินดีที่รอดพ้นจากความตายมาได้! เวลานี้ในที่สุดนางถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดชนชั้นสูงทั้งสองเผ่าถึงถูกสังหารลงอย่างง่ายดาย
อย่าพูดถึงมหาปุโรหิตทั้งสองมีความสามารถสู้ฮูหยินที่ยังไม่กินผลฝึกเซียนไม่ได้ แม้แต่ฮูหยินที่พลังยุทธ์มากกว่าสองสามเท่า ยังไม่อาจต้านทานคลื่นลำแสงภยันตรายได้ นี่จึงทำให้สตรีผู้นี้รู้สึกดีอกดีใจ และรู้สึกโชคดีเป็นอย่างมาก!
เห็นได้ชัดว่า เผ่าตาข่ายทมิฬทั้งสองไม่ใช่สิ่งที่พวกนางจะต้านทานได้ จำต้องคาดหวังกับ ‘ท่านหาน’ ที่เพิ่งเชิญมาผู้นี้แล้ว
เมื่อขบคิดจนถึงมาตรงนี้ ฮูหยินพลันร้องเตือนอย่างไม่ต้องคิด
“ท่านอาวุโสหานโปรดระวัง คลื่นลำแสงภยันตรายไม่เพียงสามารถสะท้อนการโจมตี ไม่สนเขตอาคมต่างๆ แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังมีพิษประหลาด หากถูกมันเข้าส่วนต่างๆ ของกายเนื้อจะสลายหายไปทันที ไม่อาจถอนพิษได้ ตอนนั้นผู้วิเศษในเผ่าของข้าจำนวนมาก ล้วนต้องตายอย่างน่าอนาถด้วยคลื่นลำแสงภยันตรายนี้”
ฮูหยินร้อนใจจริงๆ ว่าหลังจากที่วิหคเพลิงสีเงินซึ่งบินออกมาจากร่างของหานลี่นั้นดูดซับคลื่นลำแสงภยันตรายไปแล้ว จะเกิดผลข้างเคียงขึ้น
“พิษประหลาด!” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี และรู้สึกประหลาดใจ ทว่าในเมื่อเพลิงกลืนวิญญาณของเขาสามารถกลืนกินสิ่งที่เรียกว่าคลื่นลำแสงภยันตรายได้ แน่นอนว่าย่อมต้องนำพิษมาใช้ประโยชน์ แล้วจะทำอันตรายเขาได้อย่างไร
แน่นอนว่าพลานุภาพของเพลิงกลืนวิญญาณนั้น แน่นอนว่าหานลี่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับฮูหยิน แค่พยักหน้าให้สตรีผู้นั้นเป็นการแสดงออกว่าทราบแล้วเท่านั้น
สายตาของเขายังคงมองไปยังชาวตาข่ายทมิฬสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ละสายตาไปไหน
“คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกลืนคลื่นลำแสงภยันตรายไป!”
ภายใต้ลำแสงสีดำที่ห่อหุ้มอยู่ หานลี่ไม่อาจมองเห็นสีหน้าของเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬทั้งสองได้ แต่เสียงที่อีกฝ่ายถ่ายทอดมานั้นเผยความตื่นตะลึงออกมาเป็นอย่างยิ่ง
“หึๆ ความสามารถของพวกเจ้าช่างน่าสนใจนัก น่าเสียดายที่พวกเจ้ายังฝึกฝนไม่ถึงไหน มิเช่นนั้นต่อให้เป็นความว่องไวของข้าก็ไม่อาจจัดการได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เอาล่ะ ดูแล้วผู้ที่มาที่นี่คงมีแค่พวกเจ้าสองคน คงต้องรีบส่งพวกเจ้าไปแล้วล่ะ ข้าจะได้กลับไปพักผ่อน!” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะมีน้ำเสียงไม่เห็นทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้ามอยู่ในสายตา ทันใดนั้นร่างกายพลันไหววูบ สาวเท้ายาวๆ ตรงเข้าไป
ฝีเท้าของหานลี่ดูเหมือนจะไม่รวดเร็ว แต่ทุกก้าวคาดไม่ถึงว่าจะทิ้งระยะห่างสองสามจั้ง แค่พลิ้วไหวสองสามครั้ง ก็มาอยู่ห่างจากเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬทั้งสองไปแค่ยี่สิบจั้งเศษ และในเวลาเดียวกัน ร่างของหานลี่พลันเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ เกล็ดสีทองชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น ในเวลาเดียวกันเหนือศีรษะพลันมีรัศมีลำแสงสีทองปรากฏขึ้น
ตรงใจกลางของรัศมีลำแสง พระพุทธรูปสีทองสามเศียรหกหัตถ์นั่งขัดสมาธิอยู่
บนใบหน้าของพระพุทธรูป มีสองหน้าที่ชัดเจน เครื่องหน้าเหมือนกับหานลี่อย่างไรอย่างนั้น ส่วนลำแสงสีทองเรืองรองบนร่างของพระพุทธรูป ดูคล้ายกับของจริงอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นหานลี่เผยสีหน้าประหลาดออกมา ไม่ใช่แค่ฮูหยินและคนของเผ่าเพลิงอาทิตย์ แม้แต่เผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬสองคนในรัศมีลำแสงสีดำยังรู้สึกตื่นตะลึง
แทบจะไม่ล่าช้าเลยสักนิด เสียงหึ่งๆ ดังขึ้นท่ามกลางรัศมีสีดำ ฉับพลันนั้นพลันสั่นเทาแล้วบิดเบี้ยว เปล่งแสงสว่างวาบกลายเป็นใบมีดยักษ์สีดำขนาดเจ็ดแปดจั้ง พุ่งเข้ามาหานลี่ แล้วสับลงมาอย่างเ**้ยมโหด