คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1545
คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1545 สังหาร
ตัวมีดยักษ์เป็นสีดำสนิทดุจน้ำหมึก ตรงกลางมีประจุไฟฟ้าแสงสีทองเงินเปล่งแสงระยิบระยับ เผยความลึกลับออกมาเป็นอย่างมาก
หานลี่เห็นฉากนี้ สองตาพลันหรี่ลง ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ตะปบไปทางนั้น
เทวรูปเหนือศีรษะพลันลืมเนตรทั้งสี่ขึ้น กรทั้งหกตะปบออกไปเช่นกัน การเคลื่อนไหวเหมือนกับหานลี่ทุกกระเบียดนิ้ว
เสียง ปัง ดังสนั่นขึ้น!
มือยักษ์สีทองที่ขนาดไม่ด้อยไปกว่ามีดยักษ์พลันปรากฏขึ้นด้านล่างมีดยักษ์ในพริบตา และรองมีดเอาไว้
เมื่อทั้งสองปะทะกัน ลำแสงสีดำลำแสงสีทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบอย่างบ้าคลั่ง มือยักษ์สีทองไม่เคลื่อนไหว มีดยักษ์ถูกพยุงให้ลอยตัวขึ้น
ชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองที่อยู่ตรงข้ามเห็นเหตุการณ์นี้ ล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา แต่ทันใดนั้นชาวตาข่ายทมิฬที่มีดวงตาสีทอง พลันใช้สองมือร่ายอาคม ชั่วพริบตานั้นร่างกายพลันขยายขนาดขึ้น จนมีขนาดใหญ่กว่าเดิมสองสามเท่า ในเวลาเดียวกันส่วนหางพลันเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ สร้างหางตะขอยักษ์สีทองเรืองรองออกมา ขยับคราหนึ่งก็กระโจนเข้ามาหาหานลี่ราวกับสายฟ้า
ชาวตาข่ายทมิฬดวงตาสีเงินอีกตนหนึ่งที่ยืนเคียงไหล่นาง กลับอ้าปากออก สีหน้าโหดเ**้ยมฉายแวบผ่านไป เปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ราวกับเสียงมังกรคำรามออกมา
จากนั้นเหนือศีรษะของนางพันมีม่านหมอกสีขาวปรากฏขึ้น แสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบท่ามกลางม่านหมอก เผยเงาร่างตะขาบยักษ์หน้าคนตัวหนึ่งออกมา
เห็นเพียงลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าเงาลวงตาจะกลายเป็นลำแสงสีเงินสายหนึ่ง กระโจนเข้าไปหาหานลี่ ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ตรงหน้า ใบหน้าคนของตะขาบพลันอ้าปากออก พ่นลำแสงสีเงินออกมาห่อหุ้มเอาไว้
เผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬสองตนที่อยู่ตรงข้ามพลันร่วมมือกันโจมตี หานลี่ยังคงมีสีหน้าไร้ความรู้สึก!
แต่เขาพลันสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง ชั่วขณะนั้นกระบี่เล่มเล็กสีเขียวยี่สิบสามสิบเล่มพลันพุ่งออกไป จากนั้นพลันรางเลือน กลายเป็นกระบี่ลำแสงผืนหนึ่งโถมเข้าไปหาตะขอยักษ์สีทอง
เห็นเพียงตะขอยักษ์สีทองเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา พื้นผิวมีอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ดูเหมือนว่าจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรสักอย่าง
แต่ครู่ต่อมาลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เส้นไหมสีเขียวห่อหุ้มลงมา ชั่วขณะนั้นตะขอสีทองพลันเปล่งเสียงร้องโอดครวญ กลายเป็นเศษซากจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงลงมา
ชาวตาข่ายทมิฬดวงตาสีทองผู้นั้นพลันตะลึงงัน
แทบจะในเวลาเดียวกันที่เผชิญหน้ากับตะขาบหน้าคนฝั่งตรงข้าม หานลี่พลันยกมืออีกข้างขึ้น กางนิ้วทั้งห้าออก ฝ่ามือเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก นิ้วทั้งห้าขยับไปมาเล็กน้อย เบื้องหน้าของหานลี่มีม่านลำแสงสีเทาผืนหนึ่งปรากฏขึ้น ต้านทานหมอกสีเงินที่ตะขาบหน้าคนพ่นออกมาเอาไว้
จากนั้นฝ่ามือของเขาพันเปล่งแสงสีเทาสว่างวาบ ภูเขาขนาดย่อมสีดำลูกหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างแปลกประหลาด
มองตะขาบหน้าคนที่กะพริบวาบมาอยู่ตรงหน้า แค่พลิกฝ่ามือตามอำเภอใจอย่างส่งเดช
ฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น
พริบตานั้นภูเขาขนาดย่อมพลันหมุนคว้างอยู่กลางฝ่ามือ พลิ้วไหวแล้วหายวับไป
ครู่ต่อมาเหนือตะขาบหน้าคนพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ท่ามกลางลำแสงสีเทา ภูเขาขนาดย่อมพลันปรากฏออกมา
แต่ครู่ต่อในช่วงเวลาที่ภูเขาขนาดย่อมสีดำปรากฏขึ้นนั้น ผิวของมันพลันมีลำแสงสีดำไหลโคจรอยู่ พริบตานั้นขนาดพลันขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า กลายเป็นยอดเขาสีดำความสูงสิบจั้งเศษ
ยอดเขาเริ่มรางเลือนไปเล็กน้อย แล้วกดแผ่นหลังของตะขาบหน้าคนเอาไว้อย่างแน่นหนา
ศีรษะหน้าคนของเงามายาตะขาบปรากฏสีหน้าแห่งความเจ็บปวดออกมา ในเวลาเดียวกันพลันเปล่งเสียงประหลาดๆ อย่าง “ซือๆ” ออกมาจากปาก ร่างกายถูกพลังมหาศาลกดเอาไว้จนร่วงลงกับพื้น
ชาวตาข่ายทมิฬดวงตาสีเงินที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึง สองแขนร่ายอาคมอย่างร้อนรนจนดูราวกับล้อรถ ใบหน้าสดใสของอิสตรีปรากฏออกมาจากลวดลายสีเงินอย่างคาดไม่ถึง เผยความโหดเ**้ยมออกมา
นางอ้าปากออก พ่นโลหิตบริสุทธิ์สีเงินอ่อนออกมากลุ่มหนึ่ง
เมื่อโลหิตออกจากปาก พลันเกิดเสียง ปัง ขึ้น กลายเป็นอักขระสีเงินเป็นพวง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของตะขาบที่อยู่ไกลออกไปอย่างไร้ร่องรอย
ตะขาบหน้าคนที่อยู่ไกลออกไปราวกับเพิ่มอานุภาพมากขึ้นหลายเท่า กายท่อนร่างเปล่งแสงสีเงินเจิดจ้า คาดไม่ถึงว่าจะสะบัดหัวสะบัดหางอยู่ใต้ยอดเขาสีดำอีกครั้ง กายท่อนล่างแม้กระทั่งนั่งขัดสมาธิ ชั่วครู่ก็รัดส่วนล่างของยอดเขาเอาไว้แน่น ท่าทางคิดจะคว่ำภูเขาลูกนี้
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ หานลี่พลันมีสีหน้าแปลกประหลาด มือสีดำสนิทตวัดชี้ไปทางยอดเขา ในเวลาเดียวกันปากก็เปล่งเสียงคำว่า “หนัก” ออกมา
ยอดเขาสีดำพลันสั่นสะเทือน ฉับพลันนั้นพลันเปล่งแสงสีเทาขาวที่ไม่สะดุดตาออกมา ไม่เห็นว่ามันจะความเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นมากกว่าสิบเท่าในพริบตา
ตะขาบหน้าคนที่แต่เดิมยังพอฝืนรับไหวพลันไม่อาจต้านทานได้อีก ชั่วครู่ก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้าราวกับดาวตก
หลังจากเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น วิหารทั้งหลังพลันสั่นคลอนอย่างรุนแรง ภูเขาสีดำทับตะขาบหน้าคนเอาไว้กับพื้น
พื้นดินในระยะสามสิบจั้งของวิหารพังทลายลงเป็นระยะสองสามจั้ง เผยหลุมอันน่าสะพรึงออกมาหลุมหนึ่ง
ส่วนยอดเขาสีดำพลันหยุดอยู่ตรงใจกลางหลุมยักษ์ หลังจากตะขาบหน้าคนด้านล่างเปล่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา ก็กลายเป็นดวงแสงสีเงินแล้วสลายหายไป
ถูกหานลี่หลอมละลายเข้าไปในก้อนหินประหลาดของภูเขาเทวะดูดปราณ น้ำหนักเทียบได้กับภูเขายักษ์หมื่นจั้งของจริง นั่นคือสิ่งที่มันรับไหว
ส่วนพริบตาที่เงาลวงตาของตะขาบสลายหายไปนั้น ชาวตาข่ายทมิฬดวงตาสีเงินที่อยู่ไกลออกไปพลันหน้าซีดเผือด ชั่วครู่ก็กระอักโลหิตสดออกมากลุ่มหนึ่ง
แต่โลหิตสดในครั้งนี้ไม่ได้เป็นสีเงินออก เป็นสีแดงดำ
ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจเท่านั้น
ชาวตาข่ายทมิฬอีกตนหนึ่ง เป็นเพราะตะขอยักษ์สีทองที่ตนเองสร้างขึ้นถูกกระบี่บินของหานลี่สับออกเป็นชิ้นๆ ได้อย่างง่ายดาย เวลานี้เห็นสหายร่วมวิถีกำลังได้รับบาดเจ็บหนัก หน้าพลันเปลี่ยนสี ร่างกายพลิ้วไหวทันที คนเปล่งแสงสว่างวาบมาปรากฏขึ้นที่ด้านหลังชาวตาข่ายทมิฬดวงตาสีเงิน มือข้างหนึ่งตบไปที่ด้านหลังเขา
เมื่อเรือนร่างของชาวตาข่ายทมิฬตาสีเงินมีลำแสงสีทองเงินเปล่งแสงเจิดจ้า สีหน้าก็ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
หานลี่กลับแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา ชี้ไปที่กระบี่เล่มเล็กสีเขียวยี่สิบสามสิบเล่มกลางอากาศ
กระบี่บินทั้งหมดพลันสั่นเทา พุ่งแหวกผ่านอากาศไป เส้นไหมสีเขียวยี่สิบสามสิบสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วห่อหุ้มลงมา
ชาวตาข่ายทมิฬสองตนเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ในที่สุดใบหน้าพลันมีสีหน้าหวาดกลัวปรากฏขึ้น หลังจากมองสบตากันแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นพลันชูมือข้างหนึ่งขึ้น รัศมีลำแสงสีดำสองกลุ่มหมุนคว้างปรากฏออกมา กำบังร่างของทั้งสองเอาไว้
ในพริบตานั้นเส้นไหมสีเขียวยี่สิบสามสิบสายพลันเปล่งเสียง พรึ่บ ออกมา มาอยู่ตรงรัศมีลำแสงสีดำ
หานลี่เห็นเหตุการณ์นั้นสีหน้าโหดเ**้ยมพลันฉายแวบผ่านไป ร่ายคาถากระตุ้นกระบี่อย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
หลังจากที่เส้นไหมสีเขียวสั่นคลอน พลันกลายเป็นกระบี่บินสีเขียวความยาวสองสามฉื่อ แต่เมื่อกระบี่ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ล้วนรางเลือนลงอย่างแปลกพิกล ราวกับว่าจะกลายเป็นเงาลวงตาสายแล้วสายเล่าอย่างไรอย่างนั้น
นี่คืออิทธิฤทธิ์กระบี่วิญญาณลวงตาที่มีหลังจากหานลี่หลอมกระบี่บิน
ส่วนเงากระบี่เหล่านั้นแค่ล้อมรอบรัศมีลำแสงสีดำเอาไว้ พลันทยอยกันพุ่งออกไปราวกับลูกธนู
เมื่อเงากระบี่จางๆ สัมผัสกับรัศมีลำแสงสีดำ หลังจากเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ พลันทะลวงออกไปอย่างเงียบเชียบ
ราวกับว่ารัศมีลำแสงสีดำไม่มีอยู่แล้ว ไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด!เห็นได้ชัดว่าชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองที่อยู่ด้านล่างคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้เกิดขึ้น มองเห็นเงากระบี่เข้ามาประชิดร่าง ทั้งสองพลันเคลื่อนไหวด้วยความร้อนรนทันที คิดจะกลายเป็นเส้นสีดำสองสายพุ่งหนีเตลิดออกไป
แต่ระยะประชิดเช่นนี้ ความเร็วที่พุ่งเข้ามาของเงากระบี่เหล่านี้รวดเร็วถึงเพียงนั้น เห็นได้ชัดว่าสายไปแล้ว
เห็นเพียงเงากระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพัวพันเข้าด้วยกันและทะลวงเข้ามา เสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาสองเสียงดังขึ้น ร่างของชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองถูกทะลวงจนเป็นรูพรุน!
ชั่วขณะนั้นฮูหยิน ไป๋จูเอ๋อร์และเหล่าชาวเผ่าเพลิงอาทิตย์ที่มองเห็นทุกอย่างไกลออกไปพลันเผยสีหน้าดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่งออกมา
แต่รูม่านตาของหานลี่กลับเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ฉับพลันนั้นร่างกายพลันพลิ้วไหว คนกลายเป็นเงาสายหนึ่งมาปรากฏด้านข้างซากศพทั้งสอง ยื่นแขนทั้งสองออกไปพร้อมกัน ตะปบไปกลางอากาศในบริเวณนั้นอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
เสียง “ครืนๆ” ดังขึ้นสองครั้ง ฝ่ามือทั้งสองระเบิดเปลวเพลิงสีเงินชั้นหนึ่งออกมา จากนั้นนิ้วทั้งห้าพลันตะปบออกไป ลำแสงสีทองเงินสองกลุ่มเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นในเวลาเดียวกัน ถูกเปลวเพลิงร้อนแรงห่อหุ้มเอาไว้ข้างใน
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นตะขาบสีทองตัวหนึ่งและสีเงินตัวหนึ่ง
ตะขาบทั้งสองตัวมีขนาดแค่สองสามชุ่น แต่ส่วนศีรษะทั้งสองกลับมีใบหน้าของสตรีที่มีสีหน้าตกตะลึง หน้าตาเหมือนกับชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองตนก่อนหน้า
ภายใต้เปลวเพลิงสีเงินที่ห่อหุ้มตะขาบทั้งสองอยู่ ปากพลันเปล่งเสียงร้องร้อนรนไม่ได้ศัพท์ออกมา ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวออกมา
ต้องเข้าใจว่าลำแสงสีทองเงินที่แผ่ออกมาจากผิวของทั้งสองนั่นก็คือคลื่นลำแสงภยันตราย หากเปลี่ยนเป็นเขตอาคมอื่น เกรงว่าคงถูกทะลวงหนีออกไปตั้งนานแล้ว แต่เมื่อถูกหานลี่ใช้เพลิงกลืนวิญญาณกักเอาไว้ ชั่วครู่ก็กลายเป็นปลาติดแห
หานลี่เองก็ไม่ได้มีเจตนาจะปล่อยจิตวิญญาณดั้งเดิมของชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองออกไป ฝ่ามือทั้งสองที่พ่นเปลวเพลิงสีเงินออกมาพลันประกบเข้าหากันเบื้องหน้า แค่ถูกันไปมาตามอำเภอใจ
ชั่วขณะนั้นตะขาบทั้งสองตัวในเปลวเพลิงสีเงิน พลันหดเล็กลงละลายไปในเปลวเพลิงทันที ชั่วครู่ลำแสงสีทองเงินพลันสลายหายไปกลายเป็นสีทองอ่อน เมื่อร่างตะขาบหน้าคนทั้งสองสัมผัสกับเปลวเพลิงสีเงิน พลันกลายเป็นเปลวควันสีเขียวสองกลุ่มหายวับไป
ยามนี้หานลี่ถึงได้นับว่าสังหารเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬทั้งสองได้อย่างแท้จริง!
ทว่าตัวเขาเองกลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก
เพราะว่าการประมือเมื่อครู่ ชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองตนมีพลังยุทธ์มากสุดแค่ระดับเทพแปลงขั้นต้นเท่านั้น หากไม่ใช่คลื่นลำแสงภยันตรายนั่นแปลกพิลึกไปหน่อย คงถูกเขาดีดนิ้วก็ปลิดชีวิตได้ไปแล้ว
ทว่าหานลี่กลับสนใจว่าเหตุใดถึงไม่อาจใช้จิตสัมผัสตรวจสอบพลังยุทธ์ของพวกเขาทั้งสองได้ สายตาสอดส่ายไปมา ตกอยู่บนศพทั้งสอง
มือหนึ่งตะปบออกไป ศพทั้งสองลอยขึ้นมา ตรงมาหาเขาอย่างเชื่องช้า
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ ตรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
ดวงตาทั้งสองพลันเปล่งประกาย ฉับพลันนั้นเขาพลันออกแรงกวักมือ
เสียง “พรึ่บๆ” สองเสียงพลันดังขึ้น ผ้าพันคอสีดำสนิทสองผืนพลันพุ่งออกมาจากเรือนร่างของสตรีทั้งสอง แล้วร่อนลงในมือของเขา
หานลี่ก้มหน้าลงแค่มองสอบแวบ ฉับพลันนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี ทันใดนั้นพลันพลิกฝ่ามือ ผ้าพันคอทั้งสองพลันสลายหายไปอย่างไร้เงา
“ขอบพระคุณพี่หานที่ลงมือช่วยเหลือ! บุญคุณในการช่วยชีวิตครั้งนี้ เผ่าเพลิงอาทิตย์ของพวกเราจะต้องไม่ลืมไปชั่วลูกลูกหลาน!” ยามนี้ฮูหยินพลันพาหญิงสาวเดินเข้ามาด้วยความตื่นตะลึงระคนดีใจ ไม่อาจปกปิดสีหน้ายินดีเอาไว้ได้มิดขณะเอ่ย
ส่วนเรื่องที่หานลี่เพิ่งจะเอาผ้าพันคอสีดำสองผืนไปเมื่อครู่นั้น ก็ไม่ได้เอ่ยถึงเลยสักคำ
นางในเวลานี้ถึงได้รู้อย่างแท้จริงว่า อิทธิฤทธิ์ของหานลี่แข็งแกร่งกว่าที่คิดเอาไว้ตั้งไม่รู้กี่เท่า จึงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก และรู้สึกนับถือเป็นพิเศษเช่นกัน
ไป๋จูเอ๋อร์ที่ได้เห็นความสามารถของหานลี่เมื่อครู่ ปะหน้าไม่กี่ครั้งก็สามารถสังหารเผ่าที่พวกนางคิดว่าไม่อาจต้านทานไหวได้อย่างง่ายดาย าช่างน่าตกตะลึงนัก!
แม้ว่าปากเล็กรูปผลอิงเถาของนางจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่สายตาที่มองมายังหานลี่ก็มีความเคารพนับถือขึ้นเช่นกัน
ส่วนมนุษย์ปุโรหิตอสรพิษสองสามตนนั้นก็เข้ามาด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มเบิกบาน ท่าทางเคารพนบน้อม
“หึๆ นี่แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ถึงอย่างไรเสียการลงมือครั้งนี้ ด้านนอกก็ยังมีชาวตาข่ายทมิฬตนอื่นอีก ข้าเองจะช่วยพวกเจ้าไล่ไปสักครั้งก็แล้วกัน” หานลี่กวาดสายตาไปบนเรือนร่างของคนเหล่านั้น แล้วกลับหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมาขณะเอ่ย
เมื่อได้ฟังคำพูดของหานลี่ ฮูหยินและพวกพลันรู้สึกดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่ง ปากพลันเอ่ยคำขอบคุณเป็นพัลวัน