คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1609 ลงมือ
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1609 ลงมือ
คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1609 ลงมือ
ชายชราแซ่เยี่ยนไม่ได้เอ่ยอะไรกับอีกฝ่ายตรงๆ แต่หันหน้าไปมองไปอีกทางแวบหนึ่ง
ด้านนั้นนอกจากชนต่างเผ่าระดับสูญสุญตาขั้นสุดยอดอีกคนหนึ่งที่มองมาทางนี้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกแล้ว ก็ประสานสายตากับชายชราเข้าพอดี
รูม่านตาของชายชราพลันหดเล็กลง!
ชนต่างเผ่าผู้นี้นอกจากมีผิวหนังหยาบกร้านแล้ว ก็มีริ้วรอยสีเขียวเป็นสายๆ รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเผ่ามนุษย์เป็นอย่างมาก สวมชุดเกราะสงครามสีเงินชิ้นหนึ่งที่เต็มไปด้วยหนามสีแดงสด แผ่กลิ่นอายโลหิตกลุ่มหนึ่งออกมาจางๆ
ส่วนสายตาของชนต่างเผ่านี้ก็แข็งทื่ออย่างสุดๆ มองมาทางพวกเขาราวกับเห็นซากศพกองหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
แม้ว่าชายชราสัมผัสกับสายตาคู่นี้ ก็ยังรู้สึกหนาวสะท้านจนสะดุ้งโหยง
ชายชราแซ่เยี่ยนรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง
จากประสบการณ์ของเขาวย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายคงจะฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นเขาที่อยู่ในระดับเดียวกกันกับเขาคงไม่รู้สึกเช่นนี้
ชายชรามีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เลื่อนสายตากวาดไปยังใกล้กับชนต่างเผ่าผู้นั้นแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว
แม้ผู้ที่มาจากภายนอกทุกคนจะไม่ได้มาร่วมมือกัน แต่ในยี่สิบกว่าคนก็มีคนที่ยอมติดตามคนผู้นั้นสิบกว่าคนแล้ว
หลังจากที่ชายชรากวาดสายตาไปทางพวกตนเองเจ็ดแปดคนและหานลี่เย่ว์จงแล้ว สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
ในความคิดของเขา แม้จะนับเย่ว์จงและหานลี่เข้าไปแล้วจำนวนคนก็มีเท่ากับอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายนั้นนอกจากระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เก้าสองคนแล้ว ผู้ที่อยู่ในระดับสูงก็ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ดและแปดของอีกฝ่ายก็มีอยู่สี่คน
ส่วนทางเขานั้นนอกจากตนเองแล้ว ขั้นที่เจ็ดขึ้นไปก็มีแค่ชายร่างใหญ่หัวล้านที่ไม่ปริปากพูดใดๆ เลยตั้งแต่ต้นจนจบ
ชายชราถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะใช้การรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ดังนั้นถึงได้แสดงท่าทางไม่หวั่นเกรงสิ่งใดเช่นนี้ออกมา
“หลานเย่ว์และข้ามีต้นกำเนิดเดียวกัน ตาเฒ่าไม่มีทางมองพวกเจ้าพาเขาไปแน่ และยิ่งไปกว่านั้นข้าขอเตือนสหายเรื่องหนึ่ง ที่นี่คือหมู่บ้านเมฆาอัสนี และไม่ใช่ที่ที่จะสามารถแสดงความโอหังได้ แม้ว่าสหายจะอยากก่อเรื่อง ก็ต้องเคารพกฎของหมู่บ้านแห่งนี้” ในที่สุดชายชราก็เอ่ยปากอย่างเย็นชา
“กฎ! กฎอะไร?” คำพูดของชายชราแซ่เยี่ยนอยู่นอกเหนือความคาดหมายของชนต่างเผ่าผมสีเขียวไปหน่อย แต่ก็เอ่ยถามด้วยดวงตาที่ฉายแววโหดเ**้ยม
“หากมีคนต่อสู้กันในหมู่บ้านเราล่ะก็ จำต้องทำในสนามประลองของหมู่บ้านเท่านั้น ผู้ใดชนะ ก็ทำตามกฎเกณฑ์ของผู้นั้น” ชายชราเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“ฮ่าๆ หรือว่าเจ้ายอากให้เจ้าเด็กนั้นสู้กับข้าหรือ?” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวได้ฟังพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมา
“แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางเป็นหลานเย่ว์และข้าน้อย ลืมเตือนสหายไป ตามกฎของหมู่บ้าน การต่อสู้เช่นนี้มีเพียงต้องทำกับผู้ที่มีพลังยุทธ์ไม่ต่างกันมากนัก หากเจ้ายังยืนกรานว่าจะพาหลานเย่ว์ไปกับเจ้า หากไม่หาผู้ที่มีพลังยุทธ์เท่ากับหลานเย่ว์ ก็ต้องให้ตาเฒ่าออกศึกแทนเขา” ชายชราแซ่เยี่ยนเอ่ยอย่างราบเรียบ
“พลังยุทธ์ไม่ต่างกัน? นั่นมันกฎอันใดกัน หากข้าไม่ตกลงล่ะ!” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยพร้อมเผยท่าทีโหดเ**้ยมออกมา
“หากไม่ตอบตกลง เช่นนั้นก็ถือว่ามาก่อความวุ่นวายในเมืองเมฆาอัสนี แน่นอนว่าต้องถูกอาวุโสผู้ดูแลหมู่บ้านยึดคุณสมบัติในการเข้าไปในเทือกเขามารสีทองออกไป และยิ่งไปกว่านั้นต้องถูกไล่ออกจากหมู่บ้านของเรา สหายอยากติดต่อกับท่านอาวุโสโดยตรงหรือไม่?” แววตาของชายชราแซ่เยี่ยนเปล่งประกาย เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“อาวุโส?” หลังจากที่ชนต่างเผ่าผมสีเขียวลังเลเล็กน้อย ก็อดจะหันไปมองชนต่างเผ่าสวมชุดเกราะสงครามผู้นั้นไม่ได้
ส่วนคนผู้นั้นพลันขมวดคิ้ว ฉับพลันนั้นพลันหันไป เอ่ยถามผู้ที่อยู่ด้านหลัง “เขาพูดจริงหรือไม่ หมู่บ้านเมฆาอัสนีมีกฎเช่นนี้จริงๆ หรือ!”
“รายงานท่านอาวุโสกุย ที่นี่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้จริง ทว่ากฎนี้ถูกสร้างขึ้นตอนที่เริ่มก่อสร้างหมู่บ้านนี้ ตอนนี้ผ่านมาหลายปีแล้วก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้” ผู้พูดคือผู้ที่สวมอาภรณ์และผ้าคลุมสีดำปกคลุมทั่วทั้งเรือนร่างเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยกับหมู่บ้านเมฆาอัสนีนี้เป็นอย่างมาก ตอบกลับอย่างนอบน้อม
หญิงสาวสวมชุดชาววังและพวกมองไปทางคนผู้นี้แล้วเผยสีหน้าฉงนออกมา
คนผู้นี้แต่งตัวประหลาดๆ เข้ามาที่นี่ตั้งแต่แรก ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าอีกฝ่ายก็เป็นคนนอกหมู่บ้าน ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะผิดปกติไปหน่อย
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ข้าแค่อยากรู้ว่า หากลงมือที่นี่ อาวุโสผู้นั้นจะออกหน้าจัดการหรือไม่?” ชนต่างเผ่าแซ่กุยเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“เรื่องนี้นั้นพูดยาก อาจจะมาจัดการ และอาจจะทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทว่าได้ยินว่าผู้ดูแลคนใหม่นี้เป็นผู้เข้มงวดมาก เกรงว่าคงมีโอกาสออกหน้าอยู่กระมัง” ผู้สวมชุดคลุมสีดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เช่นนั้นก็ไม่อาจลงมือที่นี่ได้ เยี่ยม ทำตามกฎของพวกเจ้า รอพวกเราได้รับร่มขจัดอัสนีก่อน ข้าจะมาขอแลกเปลี่ยนกับสหายด้วยตนเอง หากข้าชนะสหายเย่ว์จะต้องไปกับพวกเรา หากแพ้ล่ะก็ พวกเราจะปล่อยเขาไป?” ชนต่างเผ่าแซ่กุยเอ่ยเช่นนี้ออกมา
ชายชราได้ยินคำนี้พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้า จากนั้นก็หันหน้าไปเอ่ยกับเย่ว์จงที่มีสีหน้าเขียวคล้ำอยู่ด้านข้าง
“หลานเย่ว์ ให้ตาเฒ่าเป็นตัวแทนต่อสู้แทนเจ้าสักตั้ง เจ้ายินยอมหรือไม่?”
“ท่านอาวุโสเยี่ยน อีกฝ่ายมาหาข้า จะโยงไปหาเจ้าได้อย่างไร ให้ข้าจัดการเองเถิด ให้อีกฝ่ายเปลี่ยนคนจะดีกว่า!” เย่ว์จงสั่นศีรษะรัวๆ
“เปลี่ยนคน? เจ้าคิดว่าพวกเราสมองเลอะเลือนหรือ? ไม่ให้เขาสู้แทนเจ้า ก็ให้ข้ากับเจ้าแลกเปลี่ยนกัน มีสองแบบ ไม่มีตัวเลือกที่สาม” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวพลันหัวเราะเยาะก่อน จากนั้นก็เอ่ยอย่างหยาบคาย
เย่ว์จงได้ยินพลันไม่ปริปาก แต่สีหน้าพลันดูไม่ได้
“ท่านอาวุโสหาน ไม่อาจให้พวกเขาพาสหายเย่ว์ไป หากพวกเราไม่มีพี่เย่ว์นำทาง ในช่วงที่ไอมารพ่นออกมาเช่นนี้ก็อาจจะไปถึงที่ซ่อนตัวของมารอสูรระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นไม่ทัน” หานลี่ที่มองทุกอย่างอยู่อย่างเย็นชาด้านข้าง ข้างหูมีเสียงร้อนรนของเซียนเซียนดังขึ้น
หานลี่มองไปทางหญิงสาวแวบหนึ่งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เห็นเพียงหญิงสาวผู้นี้กำลังมองมาทางเขา ใบหน้าฉายแววกังวลใจอยู่ลึกๆ
“สหายอาจจะมองข้าสูงไป ข้าเป็นแค่ระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ดเท่านั้น จะขัดขวางเรื่องนี้ได้อย่างไร” หานลี่หันกลับมาริมฝีปากขยับเล็กน้อย แล้วถ่ายทอดเสียงกลับมา
“เหตุใดท่านอาวุโสหานต้องปิดบังข้าด้วย แม้ว่าชนรุ่นหลังจะพลังยุทธ์ต่ำต้อย แต่ก็มั่นใจว่าล่วงรู้ข่าวสารเป็นอย่างดี ท่านอาวุโสเคยช่วยท่านอาวุโสเจี่ยมาจากเงื้อมมือของเผ่าหมื่นโบราณด้วยตัวคนเดียว สังหารผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันสองสามคนได้ในพริบตา อิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ เกรงว่าคงเหนือกว่าระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เก้า” หญิงสาวเผ่าผลึกกัดฟัน ฉับพลันนั้นก็เอ่ยสิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงออกมา
แววตาของหานลี่ฉายแววฉงน เงียบขรึมอยู่ชั่วครู่ แล้วถึงได้ถ่ายทอดเสียงมาอย่างราบเรียบ
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะตรวจสอบข้ามาอย่างละเอียด แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังรู้ เอาล่ะ เห็นแก่เกราะมารเหนือชั้น ข้าจะช่วยเจ้าอีกสักครั้ง”
“ขอบพระคุณท่านอาวุโส!” เซียนเซียนได้ยิน ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกดีอกดีใจ
ครู่ต่อมาหานลี่พลันเอ่ยปากด้วยสีหน้าราบเรียบ
“มีแค่สองวิธีจริงๆ หรือ? ผู้แซ่หานคิดว่าเลือกตัวเลือกที่สามจะดีกว่า สหายเย่ว์และพวกเรามีนัดกันก่อนแล้ว คงไม่มีทางไปกับพวกเจ้า”
ระหว่างที่พูดหานลี่ก็สาวเท้าเข้าไปข้างหน้า เดินไปตรงหน้าเย่ว์จง
เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่ หญิงสาวสวมชุดชาววังและชายหนุ่มหน้าขาวพลันอดที่จะมองสบตากันไม่ได้
ส่วนเย่ว์จงก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
มีเพียงชายชราแซ่เยี่ยนที่ตกตะลึงในตอนแรก ทันใดนั้นก็พิจารณาหานลี่อีกสองครั้ง แล้วกลับฉงนสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้าคือใคร? รนหาที่ตายนัก! หรือว่าเจ้าคิดจะแลกเปลี่ยนกับข้าแทนเขา?” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวได้ยินพลันตกตะลึง แต่ครู่ต่อมาก็ถลึงตาใส่หานลี่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างโหดเ**้ยม
จากนั้นคนผู้นี้ก็ไม่รอให้หานลี่ได้พูดอะไรอีก ฉับพลันนั้นพลันก้าวมาข้างหน้า ขยับสองแขน ฝ่ามือสีเขียวข้างหนึ่งตะปบมาทางหานลี่
และไม่รู้ว่าคนผู้นี้ฝึกฝนเคล็ดวิชาอะไร
เมื่อตะปบฝ่ามือข้างนี้ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะสร้างภาพลวงตาขนาดเท่าพัดใบลาน นิ้วทั้งห้าแยกออกปกคลุมร่างกายทั้งร่างของหานลี่เอาไว้
ในเวลาเดียวกันหว่างนิ้วทั้งห้าพลันมีลำแสงสีเหลืองเปล่งแสงสว่างวาบ พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งกดลงมาหาหานลี่
“สหายหานโปรดระวังด้วย!” ชายชราแซ่เยี่ยนพลันตกตะลึง ร้องเตือนออกไปอย่างไม่ต้องขบคิด แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดร่างกายกลับเชื่องช้าลง
นิ้วทั้งห้าของชนต่างเผ่าผมสีเขียวกลับตะปบลงมาแล้ว
หากเป็นระดับสูญสุญตาขั้นต้นธรรมดาๆ ถูกชนต่างเผ่าผมสีเขียวตะปบลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ภายใต้พลังมหาศาลนี้ร่างกายคงไม่อาจขยับตัวได้เลยสักกระผีก
แต่หานลี่มีกายเนื้อที่แข็งแกร่งจนอยู่ในขั้นที่น่าเหลือเชื่อตั้งนานแล้ว จะถูกเคล็ดวิชานี้กักเอาไว้ได้ได้อย่างไร
ต่อให้พลังมหาศาลกดลงมาบนร่างมากกว่านี้สองสามเท่า สำหรับเขามันก็ไม่มีค่าอะไร
เมื่อเห็นว่าฝ่ามือของอีกฝ่ายมีเสียงอึกทึกดังออกมา และมีวายุประหลาดกลุ่มหนึ่งกดลงมา
มุมปากของหานลี่ก็เผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา
ฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากแขนเสื้อ ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก และตะปบมือขึ้นไปด้านบน
ม่านลำแสงสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบ จากนั้นพลันรวมตัวกัน!
มือลำแสงยักษ์สีเทาขมุกขมัวข้างหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของหานลี่ รองฝ่ามือยักษ์สีเหลืองเอาไว้แล้วตะปบกลับไป
“เด็กเอ๋ย ไม่รู้จักกำลังตนเอง คุกเข่าเดี๋ยวนี้!” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวเห็นการเคลื่อนไหวของหานลี่ ใบหน้าพลันเผยสีหน้าเ**้ยมโหด ปากก็ร้องตะโกนออกมา
เดิมทีเขากระตุ้นพลังปราณแค่เจ็ดส่วน ยามนี้พลังปราณในร่างโคจรไปมาอย่างรวดเร็ว รวบรวมลมปราณสิบส่วนไปที่ฝ่ามืออย่างไม่มีเก็บออมเอาไว้อีก คิดจะอาศัยการคุกคามนี้ กดหานลี่ให้ล้มลงไปกับพื้นในพริบตา
ฝ่ามือสีเหลืองเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่ก็ขยายใหญ่ขึ้นสองส่วน ปะทะกับลำแสงสีเทาบนฝ่ามือด้านล่าง
ส่วนฝ่ามือลำแสงสีเทาในยามนั้นก็ประกบนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกัน!
ฉากที่น่าเหลือเชื่อสำหรับทุกคนพลันปรากฏขึ้น!
ทั้งสองปะทะกันแต่ไม่ได้เปล่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นออกมา กลับมีเสียง “ปัง” ดังขึ้นเบาๆ ฝ่ามือสีเหลืองที่ถูกฝ่ามือลำแสงสีเทาบีบเอาไว้ สลายหายไปในทันที
จากนั้นฝ่ามือลำแสงพลันพลิ้วไหว ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของชนต่างเผ่าผมสีเขียว แล้วตะปบลงมาอย่างเงียบเชียบเช่นกัน
ฝ่ามือลำแสงไม่ทันตกลงมา ลำแสงเทวะดูดปราณที่กลายเป็นหมอกลำแสงสีเทาม้วนวน
“เป็นไปไม่ได้!”
ชนต่างเผ่าผมสีเขียวร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง ไม่กล้าเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะทำลายอิทธิฤทธิ์ที่เขาพอใจได้ และยังใช้วิธีของเขาย้อนกลับมาหาเขา
ภายใต้ความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว เขากำหมัดทั้งสองอย่างไม่ต้องขบคิด กำปั้นทั้งสองโจมตีไปยังลำแสงสีเทาที่ม้วนวนกลางอากาศเต็มกำลังเกิดเป็นเสียงดัง “ฟึ่บๆ”
เงากำปั้นสีทองสองกำปั้นพุ่งออกมาจากร่างเกิดเป็นเสียงดัง โจมตีไปยังหมอกสีเทา
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น เงากำปั้นสีเหลืองทั้งสองสัมผัสกับลำแสงสีเทา กลับเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร
ใบหน้าของชนต่างเผ่าผมสีเขียวเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา คาดไม่ถึงว่าจะร้องว่า “แย่แล้ว” ออกมาแล้วคิดจะสำแดงเคล็ดวิชาหลีกหนีในทันที
แต่ม่านลำแสงสีเทาที่แต่เดิมหมุนขดอยู่แค่เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วก็มาประชิดตรงหน้าของเขาอย่างหน้าเหลือเชื่อ
ลำแสงสีเทาหมุนวน ม้วนเอาร่างของเขาเข้าไปข้างใน