คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1656 พลาดโอกาส
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1656 พลาดโอกาส
A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1656 พลาดโอกาส
หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ สมบัติสวรรค์ทมิฬโฮ่วเทียนชิ้นนี้ก็มีความหมายต่อเขาเป็นอย่างมาก
และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ายอดเขาห้าลูกจะไม่อาจหลอมได้ แต่ขอแค่มีสองสามลูก ก็สามารถช่วยลดพลังของอัสนีได้เช่นกัน
ยามนี้เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาแล้ว ทุกๆ สามพันปีจะต้องผ่านเคราะห์สวรรค์ครั้งหนึ่ง ดูเหมือนว่าเวลาจะยาวนาน แต่ความร้ายแรงของเคราะห์สวรรค์นั้นก็เหนือกว่าระดับเทพแปลงหรือก่อกำเนิดเป็นอย่างมาก
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาแล้ว เคราะห์สวรรค์ครั้งแรกล้วนผ่านไปได้อย่างปลอดภัยอยู่แล้ว แต่ครั้งที่สอง และสาม ก็เริ่มมีคนเพลี่ยงพล้ำแล้ว
หากทนได้ถึงครั้งที่สี่ครั้งที่ห้า ปกติแล้วล้วนเป็นผู้ที่อยู่ในระดับหลอมสุญตาที่มีอายุขัยเกินหมื่นปี แต่สิ่งมีชีวิตที่รอดมาได้จากเคราะห์สวรรค์สองครั้งนี้ก็น้อยแสนน้อย มีแค่สามในสิบส่วนเท่านั้น
ส่วนเคราะห์สวรรค์ครั้งหลังๆ ทุกครั้งที่ผ่านเคราะห์สวรรค์ผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกันล้วนเพลี่ยงพล้ำไปอีกแปดในสิบส่วน
ว่ากันว่าตั้งแต่ที่ขึ้นมาแดนวิญญาณจากแดนมนุษย์ สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาก็ไม่อาจผ่านเคราะห์สวรรค์ครั้งที่เก้าได้ ปกติแล้วผู้ที่ผ่านเคราะห์สวรรค์ครั้งที่เก้าขึ้นไป ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ต่อให้อิทธิฤทธิ์เหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกันอย่างระดับหลอมสุญตา หากไม่พัฒนาขึ้นไปอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ ยามที่เผชิญกับเคราะห์สวรรค์ครั้งที่เก้า ก็จะต้องเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่านี้เป็นสถานการณ์การผ่านเคราะห์สวรรค์ของผู้บำเพ็ญเพียรในเผ่ามนุษย์ ส่วนเผ่าปีศาจนั้นหลังจากแปลงกายได้ เคราะห์สวรรค์ก็ใกล้เคียงกับเผ่ามนุษย์ แต่เผ่าอื่นๆ ในแดนวิญญาณนั้นเป็นเพราะเดิมทีก็มีอายุขัยและพรสวรรค์ด้านเคล็ดวิชาที่ไม่เหมือนกัน แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับเคราะห์สวรรค์ทุกๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่งเช่นกัน แต่ระยะเวลาความห่างและระดับความร้ายกาจกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ว่ากันว่าระดับที่แข็งแกร่งนั้นเหนือกว่าเคราะห์สวรรค์ของชนต่างเผ่ามาก ทุกหมื่นปีถึงจะเผชิญหน้ากับเคราะห์สวรรค์ครั้งหนึ่ง และยังมีเผ่าที่มีอายุขัยสั้นกว่าเผ่ามนุษย์อยู่อีกมาก คาดไม่ถึงเลยว่าต้องเผชิญกับเคราะห์สวรรค์ทุกๆ ยี่สิบสามสิบปี แต่อานุภาพกลับไม่ถึงสองในสิบส่วนของเคราะห์สวรรค์เผ่ามนุษย์ในระดับเดียวกัน
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนจนไปถึงระดับผสานอินทรีย์นั้น อานุภาพของเคราะห์สวรรค์ก็เหนือกว่าที่ระดับหลอมสุญตาจะเทียบเทียมได้ เคราะห์สวรรค์ทุกครั้งล้วนดูเหมือนว่าจะทำลายชีวิตอย่างไรอย่างนั้น หากไม่ผ่าน แน่นอนว่าต้องถูกส่งไปในเส้นทางวัฏสงสาร ส่วนผู้ที่ผ่านได้นั้นก็เหมือนกับได้เกิดใหม่บนขี้เถ้าอย่างไรอย่างนั้น พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มีบางส่วนที่แม้กระทั่งทะลวงขุดคอขวดได้ระหว่างผ่านเคราะห์สวรรค์
ดังนั้นในระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไป นอกจากจะมีเรื่องยิ่งใหญ่อย่างการเป็นตายของเผ่าตนแล้ว ก็ไม่ค่อยออกมาเคลื่อนไหวภายนอก เวลาแทบทั้งหมดก็ใช้ไปกับการฝึกบำเพ็ญเพียร และเตรียมการเผชิญหน้ากับเคราะห์อัสนีครั้งต่อไป
แน่นอนว่าเคราะห์สวรรค์เหล่านี้ไม่ใช่เคราะห์อัสนีที่บริสุทธิ์ทั้งหมด แต่ก็ไม่น่าสงสัยเลย ทุกครั้งล้วนต้องมีอัสนีดำรงอยู่ด้วย และใช้เคราะห์อัสนีเป็นหลัก
ดังนั้นภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้าที่สามารถลดระดับพลังของเคราะห์อัสนีได้จะสำคัญขนาดไหน แค่คิดก็รู้แล้ว
หากหลอมภูเขานี้ได้ล่ะก็ ก็เท่ากับเพิ่มอัตราการผ่านเคราะห์สวรรค์ได้กว่าครึ่งแล้ว
ทว่าหานลี่นั้นนอกจากจะมีภูเขาเทวะดูดปราณอยู่ในมือแล้ว เบาะแสของยอดเขาที่เหลือทั้งสี่ก็ไม่มีเลยสักนิด นอกจากยอดเขาทั้งสี่ที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่แล้ว วัตถุดิบช่วยเสริมอื่นๆ ที่ต้องใช้ก็เป็นของที่หายากทั้งหมด บางอันก็เป็นสิ่งที่หานลี่แค่เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นมาก่อน
นี่จึงทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก
หานลี่ขบคิดอยู่ในห้องลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสอยู่นาน ถึงได้ค่อยๆ มีสีหน้าฟื้นฟูเป็นปกติ
กวาดสายตาไปบนตำราหยกในมือ อีกมือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ชั่วขณะนั้นกล่องหยกพลันปรากฏขึ้น
เขาวางตำราหยกเล่มนั้นลงในกล่อง และใช้ยันต์อาคมแปะเอาไว้ แล้วเก็บเข้าไป
แม้ว่าจะมีวิธีการหลอม แต่จะหลอมภูเขาสองสามลูกนั้นได้จริงหรือไม่ เขาก็ไม่มั่นใจเลยสักนิด
กว่าครึ่งสมบัติวิเศษชนิดนี้คงไม่อาจบีบบังคับใดๆ ได้ คงต้องดูว่าวันข้างหน้าเขาจะมีวาสนามากขนาดนั้นหรือไม่เท่านั้น
เมื่อคิดเรื่องนี้ออกแล้ว หลังจากที่หานลี่นั่งสมาธิอยู่เงียบๆ อีกชั่วครู่ ในที่สุดระดับจิตใจก็เข้าสู่สภาวะปกติ
เขาพลันสะบัดแขนเสื้อ วงแหวนกลมๆ วงหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อ
หลังจากที่วงแหวนนั้นหมุนวนโคจร ก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งร่อนลงมาจากด้านบน และค่อยๆ ลอยพลิ้วลงสู่พื้น
ท่ามกลางลำแสงสีดำ วานรน้อยสีดำตัวหนึ่งขดตัวอยู่ไม่ขยับเขยื้อน
นั่นก็คืออสูรวิญญาณครวญ
ตั้งแต่วันนั้นที่อสูรตัวนี้สำแดงอานุภาพยิ่งใหญ่ออกมาจนสังหารรังวิญญาณที่ถูกร่างแยกราชามารเหนือฟ้าสิงร่างได้ ตัวมันก็ตกอยู่ในสภาวะหลับใหลราวกับถูกปลดปล่อย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมา
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่มือหนึ่งพลันตะปบไปทางวานรน้อย
ม่านลำแสงสีเขียวผืนหนึ่งบินออกมาจากหว่างนิ้วทั้งห้า ชั่วครู่ก็ดูดวานรเข้ามาข้างใน และดูดมาอยู่ตรงหน้าอย่างง่ายดาย
หานลี่มองอสูรน้อยตรงหน้า สองตาหรี่ลงเล็กน้อย หว่างคิ้วมีผลึกเส้นไหมที่ดูเหมือนจริงพุ่งออกมาเป็นเส้นๆ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในร่างของวานรน้อยอย่างเงียบเชียบ
เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงของอสูรวิญญาณครวญ คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะใช้จิตสัมผัสรวมตัวกันเป็นเส้นไหมและพุ่งออกจากร่าง ลองเข้าไปทดสอบในร่างของอสูรตนนี้
ผลึกเส้นไหมจมหายเข้าไปในร่างของวานรน้อย อสูรวิญญาณครวญยังคงไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด
ส่วนหานลี่กลับปรือตาทั้งสองข้าง เริ่มควบคุมผลึกจิตสัมผัสตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในร่างของอสูรตัวนี้
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้ เหตุใดถึงมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น!”
พลังปราณที่สูญเสียไปแต่เดิมของอสูรวิญญาณครวญไม่เพียงจะฟื้นฟูกลับมาตั้งนานแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อหรือว่าพลังปราณที่ปะปนอยู่ในชีพจรก็มากกว่าก่อนหน้ากว่าครึ่ง เมื่อเขาพิจารณาอย่างละเอียด ระดับการกลายพันธุ์ที่เชื่องช้าอย่างสุดๆ ในร่างของอสูรตัวนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าไม่หยุดพักแม้เพียงครู่
“หรือจะบรรลุระดับขั้นแล้ว” หานลี่มองวานรน้อยตรงหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าแปลกใจ
ก่อนหน้านี้อสูรวิญญาณครวญดูเหมือนว่าจะไม่ได้กลืนกินสิ่งใดเข้าไป เหตุใดยามนี้ถึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลมปราณระเบิดออกมาจากกายเนื้อเช่นนี้ หรือว่าทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับที่อสูรตัวนี้สำแดงพลังประหลาดออกมาเมื่ออยู่ในเทือกเขามารสีทอง
หานลี่พลันตกตะลึงไปพลาง เพิ่มพลังของจิตสัมผัสไปพลาง ตรวจสอบในร่างกายของอสูรวิญญาณครวญทั้งหมดอย่างละเอียด
“ไม่ถูก นี่คืออันใด ก่อนหน้านี้ในร่างของมันไม่มีสิ่งนี้” ฉับพลันนั้นหานลี่หน้าถอดสี
คาดไม่ถึงว่าเขาจะพบเม็ดผลึกโปร่งใสที่เบาบางจนแทบจะมองไม่เห็นจำนวนนับไม่ถ้วนในส่วนลึกของจุดตันเถียนของอสูรวิญญาณ
เม็ดผลึกเหล่านี้ดูลึกลับมาก แม้กระทั่งมีขนาดเล็กกว่าเมล็ดข้าวสารหนึ่งในสิบส่วน ไม่มีกลิ่นไอชีวิตเลยแม้แต่น้อย แต่ถูกม่านลำแสงดูดวิญญาณในร่างของอสูรวิญญาณครวญห่อหุ้มเอาไว้ ดูเหมือนว่าจะถูกหลอมไม่หยุด
ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แทบจะนึกถึงสถานการณ์ที่อสูรตัวนี้สังหารจิตวิญญาณดั้งเดิมของรังวิญญาณและกลืนมันลงท้องไปในเทือกเขามารสีทองออกทันที
หรือว่าเจ้าสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่หลอมมาจากจิตวิญญาณดั้งเดิมของรังวิญญาณตนนั้น หรือว่าเป็นสิ่งที่ราชามารเหนือฟ้าที่สิงสู่อยู่ทิ้งเอาไว้
ทว่าก่อนหน้านี้ไม่ว่าอสูรวิญญาณครวญจะกลืนกินวิญญาณชั่วร้ายใดๆ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง
เขาอดที่จะขบคิดโดยไม่ปริปากไม่ได้…
หรือว่าเป็นสิ่งนั้น?
ในหัวของหานลี่มีลำแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นก็นึกถึงของเดียวกัน แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี
เขาแทบจะขยับเส้นไหมผลึกสายหนึ่งเข้าไปในร่างของวิญญาณครวญโดยไม่ต้องขบคิด ชั่วขณะนั้นพลันม้วนเม็ดผลึกในจุดตันเถียนของวิญญาณครวญเข้ามา และเปล่งแสงสว่างวาบดึงออกมาจากร่าง
เม็ดผลึกปรากฏด้านนอกวิญญาณครวญแทบจะไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ส่วนผลึกเส้นไหมพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไป
หานลี่ชี้ไปที่เม็ดผลึกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เส้นไหมเส้นนี้พุ่งแหวกอากาศไป ชั่วครู่ก็เกาะติดเม็ดผลึกนี้ไว้แน่น และม้วนเข้ามา ส่งมาอยู่ในระดับสายตาของเขา
รูม่านตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าเจิดจ้า ชั่วครู่ก็ควบคุมเนตรวิญญาณวารีกระจ่างจนถึงขีดสุด จ้องเขม็งไปยังเม็ดผลึกโดยไม่กะพริบตา
ผ่านไปนานเข้าหานลี่ก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ฉับพลันนั้นพลันพลิกฝ่ามือ ในมือมีขวดหยกขนาดเท่าหัวแม่มือปรากฏขึ้น
เส้นไหมสีเขียวพลันเคลื่อนไหว นำเม็ดผลึกใส่เข้าไปในขวดเล็กๆ
ส่วนขวดเล็กๆ พลันเปล่งแสงสว่างวาบ สลายหายไปจากฝ่ามือ
จากนั้นแขนเสื้อของหานลี่ก็มีลำแสงม้วนออกมาอย่างรวดเร็ว
ชั่วขณะนั้นกำไลเก็บอสูรวิญญาณที่เดิมลอยอยู่กลางอากาศก็ร่อนลงมา พ่นลำแสงเจิดจ้าออก ชั่วครู่ก็ดูดอสูรวิญญาณที่อยู่บนพื้นเข้าไปข้างใน
หานลี่เก็บกำไลเก็บอสูรวิญญาณไปอีกครั้ง คนก็ยืนขึ้น สาวเท้ายาวๆ ตรงไปยังประตูหิน แล้วออกไปจากห้องลับอย่างร้อนรนทั้งอย่างนั้น
แทบจะที่เขาออกจากประตูห้องลับ หานลี่พลันเคลื่อนไหวจิตสัมผัส ออกคำสั่งให้ ‘หวาหวา’ ที่รออยู่ในสวนสมุนไพรดูแลถ้ำพำนักให้ดี ส่วนตนก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไป
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ก็มาปรากฏตัวด้านนอกถ้ำพำนัก และบินไปที่ตีนเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เรียกรถม้าคันหนึ่ง ตรงไปยังใจกลางของเมืองเมฆา
สิบกว่าวันต่อมาคาดไม่ถึงว่าหานลี่จะเข้าไปในร้านค้าขายคัมภีร์ทั้งหมด และเลือกซื้อคัมภีร์เบ็ดเตล็ดที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจ คัมภีร์เหล่านี้มีอยู่มากมาย มีทั้งเคล็ดวิชาลับเฉพาะ และมีคัมภีร์ที่แนะนำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอยู่ด้วย
และหลังจากที่นำคัมภีร์เหล่านี้กลับไปที่ถ้ำพำนัก หานลี่ก็เริ่มอ่านเนื้อหาที่อยู่ด้านในโดยใช้ความเร็วที่น่าตกตะลึงทันที ดูเหมือนว่าจะกำลังตามหาอันใดอยู่ แต่หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งคืน เขากลับเดินออกจากห้องลับด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นก็ออกจากถ้ำพำนักอีกครั้ง ไปยังร้านขายคัมภีร์ที่ค่อนข้างใหญ่ในเมืองเมฆา แล้วพิจารณาเลือกซื้อคัมภีร์ต่างๆ กลับไป
ผ่านไปห้าหกวัน หานลี่แทบจะทำเช่นนี้ทุกวัน ช่วงนี้เขาซื้อคัมภีร์มาจำนวนมาก เสียศิลาวิญญาณไปกับสิ่งนี้จำนวนมาก เป็นจำนวนที่น่าตกตะลึง
แต่วันนี้เมื่อหานลี่กลับมาจากเมืองเมฆาอีกครั้ง และถือแผ่นหยกโบราณอยู่ในห้องลับ ยามที่กวาดสายตาผ่านอย่างรวดเร็ว ใบหน้าพลันเผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมา
“ไม่เลว ในที่สุดก็หาเจอแล้ว ข้าบอกแล้ว ต่อให้ต้นกำเนิดของจิตวิญญาณเที่ยงแท้จะมีคนรู้อยู่น้อยเพียงใด แต่ในคัมภีร์โบราณย่อมต้องมีบันทึกเอาไว้”
เขาเอ่ยพึมพำ จากนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม เริ่มรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง พิจารณาเนื้อหาบนแผ่นหยกในมือต่อ
เงาร่างของหานลี่ไม่ขยับเขยื้อนราวกับก้อนหินอย่างไรอย่างนั้น ความสนใจทั้งหมดถูกแผ่นหยกในมือดึงดูดไป
หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปเท่าไหร่ ร่างกายของเขาก็ขยับเล็กน้อย จากนั้นพลันถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง โยนแผ่นหยกในมือลงพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าโศกเศร้าอย่างสุดๆ
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ความบังเอิญขนาดนี้คาดไม่ถึงว่าจะมาเฉียดผ่านตัวข้าไป”
เขาเอ่ยพึมพำอย่างผิดหวัง ฝ่ามือแทบจะพลิกไปตามจิตสำนึก ขวดเล็กๆ ที่บรรจุเม็ดผลึกนั้นพลันปรากฏออกมา
เมื่อฝาขวดเปิดออก เม็ดผลึกนั้นก็บินออกมาอย่างแช่มช้า และลอยอยู่ตรงปากขวดไม่ขยับเขยื้อน
มองเม็ดผลึกที่ดูธรรมดาๆ ริมฝีปากของหานลี่ขยับเล็กน้อย กลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา