คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1665 แม่เฒ่าฮูหยินซา
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1665 แม่เฒ่าฮูหยินซา
A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1665 แม่เฒ่าฮูหยินซา
“นั่นก็ไม่แน่ จารชนนั่นอาจจะเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาเย้ายวนใจ คนที่พี่ไป๋ส่งไปอาจจะมีความสามารถไม่เพียงพอจึงไม่อาจมองอีกฝ่ายออกและปล่อยคนผู้นั้นไป” ผู้ที่เรือนกายถูกลำแสงห่อหุ้มอยู่ราวกับเงาสายหนึ่งพลันเอ่ยขึ้นจากด้านข้างด้วยสีหน้าราบเรียบ
“หึ หากพูดถึงเคล็ดวิชาอื่นบางทีเผ่าของข้าอาจจะไม่กล้าโต้แย้งอันใด แต่ด้านเคล็ดวิชาเย้ายวนใจนี้เผ่าของเราติดอันดับในบรรดาเผ่าทั้งสิบสามเผ่า หากสหายชังอิ่งคิดว่าเผ่าปีศาจทมิฬเชี่ยวชาญกว่าเผ่าภูติวารีของพวกเราล่ะก็ เรื่องนี้ย่อมมอบให้พี่ชังอิ่งไปทำได้” ผู้ที่มีเรือนผมสีขาวตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
“ข้าเองก็ขบคิดอย่างระมัดระวังจึงได้เอ่ยเช่นนี้ออกมา หากพูดถึงด้านความสามารถด้านเคล็ดวิชาเย้ายวนใจทางด้านเผ่าปีศาจทมิฬจะไปเทียบกับพรสวรรค์ของเผ่าท่านได้อย่างไร” เงาสีเทาหัวเราะร่าท่าทีไม่ใส่ใจ
ชายผมขาวแววตาเย็นเยียบยังไม่คิดจะเอ่ยอะไรอีกนั้น ชายหนุ่มแซ่เวิงกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเอ่ยขึ้นทันทีว่า
“เอาละ ไม่ต้องพูดพล่ามไร้สาระได้แล้ว จารชนเผ่าแมลงมีเขาผู้นั้นไม่อาจหนีออกไปได้ ในเวลาเดียวกันที่พบว่าของถูกขโมยไป ข้าก็ออกคำสั่งปิดผนึกทางออกทั้งหมด สองสามวันมานี้ล้วนเข้าได้แต่ออกไม่ได้ ต่อให้คนผู้นั้นเป็นแมลงตัวหนึ่งก็ยากที่จะบินออกจากเมืองเมฆา แต่จากคำอธิบายของผู้รักษาการณ์ที่ถูกมันโจมตี คนผู้นั้นมีพลังยุทธ์แค่ระดับ หลอมสุญตาไม่อาจหลอกลูกน้องของสหายไป๋ได้ เช่นนั้นละก็หมายความว่าคนผู้นี้น่าจะซ่อนตัวอยู่ในเมืองเมฆาแปดเก้าส่วน และอยู่ในเมืองนี้ด้วยฐานะอื่นมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นการสืบสวนก่อนหน้าจึงไม่พบเป้าหมายที่น่าสงสัย”
เมื่อได้ยินชายหนุ่มแซ่เวิงกล่าวเช่นนี้ ชายผมขาวและเงาสีเทาก็เอ่ยตอบรับด้วยสีหน้านอบน้อม แล้วพลันปิดปากเงียบ
“เป็นดังที่ท่านอาวุโสเวิงกล่าว ก็ยุ่งยากหน่อยแล้ว หากขยายอาณาเขตบุคคลต้องสงสัยไปเกินครึ่งปีก็คงต้องหาอย่างไม่รู้จักจบสิ้น และยิ่งไปกว่านั้นหากเผ่าอื่นก่อความวุ่นวายขึ้นเกรงว่าคงจะยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่” เชียนจีจื่อกระแอมไอเบาๆ แล้วเอ่ยปากขึ้นในยามนี้
“อือ ที่สหายเชียนจีจื่อพูดเป็นไปได้นี่เป็นสิ่งที่ข้ากังวลมากที่สุด ทว่าคาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะขโมยแผนภาพทลายเขตอาคมที่เพิ่งวางเสร็จของเมืองเมฆาของพวกเราไป ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ไม่อาจปล่อยให้คนผู้นี้ออกไปจากเมืองเมฆาได้ มิเช่นนั้นหากกองทัพของเผ่าแมลงมีเขามาประชิดเมือง เขตอาคมในเมืองของเราก็ไร้ประโยชน์ไปกว่าครึ่ง” ชายหนุ่มแซ่เวิงเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ท่านอาวุโสเวิงพูดถูก ขอแค่จารชนเผ่าแมลงมีเขาผู้นั้นยังอยู่ในเมือง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจปล่อยให้เขาหนีไปได้ แต่หากเรียกใช้ปรมาจารย์ทั้งหมดทุกวันเช่นนี้ภายในเวลาสิบกว่าวันหรือแม้กระทั่งเดือนสองเดือนย่อมไม่มีปัญหา แต่หากจารชนผู้นั้นตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ในเมืองสองสามปีหรือแม้กระทั่งสิบกว่าปี พวกเราก็ดูเหมือนจะไม่อาจรักษาการณ์อย่างเข้มงวดไปได้ตลอด” ชายชราไว้หนวดสีดำยาวสองสามฉื่อเอ่ยปากขึ้น
“อือ สหายนิ่งกล่าวเช่นนี้หรือว่ามีวิธีดีๆ วิธีอื่น?” ชายหนุ่มแซ่เวิงเห็นชายชราเอ่ยปากก็ถามย้อนกลับด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
“ไหนเลยชนรุ่นหลังจะมีแผนการดีๆ ทว่าที่นี่ไม่ได้มีเซียนไฉ่อยู่ จากสติปัญญาของสหายไฉ่คิดดูแล้วว่าคงจัดการเรื่องนี้ไม่ได้นาน” ชายชราหนวดสีดำโบกมือเป็นพัลวันแต่ก็เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยถึงไฉ่หลิวอิงที่นั่งเงียบๆ อยู่ด้านหลัง
หญิงงามเผ่าผลึกได้ยินคำพูดของชายชราหนวดสีดำ ก็กลอกตาสดใสไปมา ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างแผ่วเบาแล้วตอบว่า
“พี่นิ่งล้อเล่นแล้ว ที่นี่มีท่านอาวุโสเวิงและจ้าวหุบเขาซาอยู่ ไหนเลยจะมีที่ให้ชนรุ่นหลังได้ขายความชาญฉลาด ข้าแค่พยายามตั้งใจฟังคำสั่งเท่านั้น!”
“สหายไฉ่ยามนี้ไม่ใช่เวลามาถ่อมตัว ข้าอยากฟังความเห็นของอาวุโสเผ่าผลึกอย่างเจ้า” ชายหนุ่มแซ่เวิงกลับมีสีหน้าเคร่งเครียดพลางออกคำสั่งกับไช่หลิวอิงตรงๆ
“ในเมื่อท่านอาวุโสให้ชนรุ่นหลังพูด ข้าก็จะเสนออย่างไม่เกรงนะ” หญิงงามเผ่าผลึกขมวดคิ้วดำขลับ แต่ทันใดนั้นก็ยืนขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบคารวะชายหนุ่มแซ่เวิงและแม่เฒ่าชรา
“เซียนไฉ่พูดมาเถอะ”
“ใช่แล้วสหายไฉ่คงไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง”
……
เมื่อเห็นหญิงงามเผ่าผลึกกล่าวเช่นนี้ ผู้ที่นั่งอยู่กว่าครึ่งก็เผยรอยยิ้มออกมาพลางเอ่ยชื่นชม
ดูแล้วแม้ว่าไฉ่หลิวอิงจะมีพลังยุทธ์ลำดับท้ายๆ ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ แต่ศักดิ์ศรีกลับไม่ต่ำต้อยเลย
แม่เฒ่าชราผู้นั้นที่ดวงตาแทบจะปิดลงครึ่งหนึ่งในยามนี้กลับปรือตาขึ้น มองสาวงามแวบหนึ่ง
ส่วนสายตาของชายหนุ่มแซ่เวิงที่มองไปยังไฉ่หลิวอิงนั้นกลับเผยแววรอคอยออกมา
“ตามความหมายของข้า ในเมื่อตึงเครียดมากไม่ได้ ผ่อนคลายก็ไม่เหมาะสม งั้นมิสู้ภายนอกผ่อนคลายภายในเข้มงวด ล่ออสรพิษให้ออกจากถ้ำจะดีกว่าหรือ” ไฉ่หลิวอิงกวาดสายตาไปยังทุกคนในห้องโถงแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยความคิดเห็นของตนออกมา
“ภายนอกผ่อนคลายภายในเข้มงวด” ชายหนุ่มแซ่เวิงได้ยินคำนี้ก็เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
“ใช่แล้ว ไม่ว่าจารชนผู้นั้นจะใช้วิธีการใดหนีการสืบสวนไป ดูแล้วคงไม่อาจจับคนผู้นั้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ หากเป็นเช่นนี้ พวกเราส่งคนออกไปหมดภายในหนึ่งเดือน ตรวจสอบในเมืองทั้งหมดอีกครั้งด้วยกำลังทั้งหมด หากในระยะเวลานี้จับจารชนผู้นั้นได้จริงๆ แน่นอนว่าย่อมดีที่สุด หากไม่ได้อะไรล่ะก็ ก็ให้ลดจำนวนคนลงทีละนิด ทำให้พวกเรามีท่าทีผ่อนคลายเรื่องนี้ลงอย่างช้าๆ แต่ความจริงแล้วจำนวนคนของประตูทั้งสี่จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างลับๆ นอกจากนี้ให้รวบรวมกำลังคนฝีมือดีขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อตรวจสอบบุคคลน่าสงสัยที่เพิ่งออกจากเมืองในช่วงเวลานี้ทั้งหมดต่อ หากเป็นเช่นนี้ละก็ เมื่ออีกฝ่ายใจร้อนอยากส่งของออกไป แน่นอนว่าจะต้องเข้ามาติดกับของพวกเราแน่ แต่หากคิดจะแอบซ่อนอยู่ในเมืองต่อไป เขาเห็นว่าภายนอกผ่อนคลาย เวลาผ่านไปก็ไม่อาจรักษาความระมัดระวังไว้ตลอดได้เช่นกัน จะต้องเผยร่องรอยออกมาให้พวกเราตามจับได้แน่” หญิงงามเผ่าผลึกอธิบายอย่างแช่มช้า
“ไม่เลว เป็นวิธีที่ไม่เลวจริงๆ แต่หากเปิดประตูทั้งสี่แล้วมีคนที่มีอิทธิฤทธิ์ด้านแปลงกายสูงส่ง จนปิดบังการตรวจสอบของพวกเราได้ และถือโอกาสนี้ออกจากประตูใหญ่ไป จะทำอย่างไร?” ชายหนุ่มแซ่เวิงฟังจบแล้ว พลันพยักหน้าแต่จากนั้นก็สั่นศีรษะ
คนอื่นๆ ที่เดิมคิดว่าวิธีของไฉ่หลิวอิงไม่เลว ยามนี้ได้ยินชายหนุ่มแซ่เวิงมีท่าทีไม่ค่อยเห็นด้วย ก็อดที่จะมองสบตากันไม่ได้
“หึๆ ท่านอาวุโสเวิง ความจริงแล้วข้าเพิ่งพูดวิธีของข้าไปได้แค่ครึ่งหนึ่ง ยังมีอีกครั้งหนึ่งที่ยังไม่ได้พูดออกมา ท่านอาวุโสลองฟังต่อดูเถิด” หญิงงามเผ่าผลึกกลับฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย
จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็ขยับริมฝีปาก กลับถ่ายทอดเสียงออกมาโดยที่ไม่ได้เปล่งเสียงผ่านริมฝีปาก คาดไม่ถึงว่าจะถ่ายทอดเสียงให้กับชายหนุ่มแซ่เวิง
ชายหนุ่มแซ่เวิงพลันตกตะลึง แต่เมื่อฟังไปสองสามประโยค ก็ร้องอุทานว่า “เอ๋” ออกมาเบาๆ เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา สุดท้ายคาดไม่ถึงว่าจะเผยสีหน้าตกตะลึงระคนยินดี
ผ่านไปแค่หนึ่งถ้วยน้ำชา หญิงงามเผ่าผลึกถึงได้ปิดปากลง แล้วหยุดการถ่ายทอดเสียง
“เป็นเช่นนี้ดังคาด!” ชายหนุ่มแซ่เวิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยถามไฉ่หลิวอิง จากนั้นก็กลอกตาไปมา คาดไม่ถึงว่าจะมองไปยังเชียนจีจื่อแวบหนึ่ง
“ชนรุ่นหลังจะกล้าเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นได้อย่างไร” หญิงงามเผ่าผลึกเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อเห็นท่าทางลึกลับของไฉ่หลิวอิงและชายหนุ่มแซ่เวิง ตัวประหลาดเฒ่าตนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ด้วยสีหน้าหลากหลาย
แต่พวกเขากลับรู้จักวางตัวเป็นอย่างมาก ผู้ใดก็ไม่อยากเอ่ยปากถามเนื้อหาที่ถ่ายทอดเสียง
“อืม ในเมื่อท่านเซียนไฉ่กล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่เวิงจะไม่เชื่อได้อย่างไร ฮูหยินซา การถ่ายทอดเสียงของสหายไฉ่เมื่อครู่คงได้ยินแล้วสินะ ท่านคิดว่าอย่างไร?” ฉับพลันนั้นชายหนุ่มแซ่เวิงก็หันไปเอ่ยถามแม่เฒ่าด้านข้างที่มีท่าทีกึ่งหลับกึ่งตื่น ด้วยท่ามีเกรงใจ
“ข้าไม่มีความเห็นอันใด ยายแก่ออกจากภูเขาอย่างข้า ขี้เกียจใช้สมอง แค่รับหน้าที่ต้านทานศัตรูที่แข็งแกร่ง ช่วยเจ้าเด็กพวกนี้ก็พอแล้ว เรื่องอื่นข้าไม่สนใจ และไม่มีแรงจะไปสนใจ เอาละ ในเมื่อพวกเจ้าจัดการกันได้พอสมควรแล้ว ข้าก็จะไปพักผ่อนก่อน สหายเวิงจากนี้ก็ให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจ” แม่เฒ่าแซ่ซาหัวเราะหึๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะหยัดกายลุกขึ้นพร้อมกับตัวสั่นงันงก และเอ่ยอย่างไม่มีเรี่ยวแรง
เมื่อได้ยินคำพูดของแม่เฒ่า ชายหนุ่มแซ่เวิงก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น แต่ไม่รอให้เขาคิดจะเอ่ยอะไรกับแม่เฒ่า อีกฝ่ายกลับเดินไปที่ประตูข้างของตำหนักใหญ่ คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทางโยนชายหนุ่มแซ่เวิงไปตรงนี้
เผ่าศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ เห็นสถานการณ์เช่นนี้ สีหน้าพลันแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
จะว่าไปแล้วประวัติความเป็นมาของแม่เฒ่าผู้นี้ลึกลับเป็นอย่างมาก แม้ว่าผู้ใดก็รู้ว่าพวกเขาคือสิ่งมีชีวิตระดับมหายานคนหนึ่งในบรรดาทั้งสิบสามเผ่า แต่กลับไม่มีผู้ใดรู้ว่าว่าแม่เฒ่าผู้นี้อยู่เผ่าใด ฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ใด คาดไม่ถึงว่าจะบรรลุระดับมหายานได้
และยิ่งไปกว่านั้นตามข่าวลือแม่เฒ่าชราผู้นี้ยังเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตระดับมหายานที่มีชีวิตยาวนานที่สุดในสิบสามชนเผ่าของพวกเรา ว่ากันว่าอายุขัยยืนยาวกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้
อย่างน้อยที่สุดระดับศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งฝึกฝนสำเร็จ ก็รู้ถึงการดำรงอยู่ของฮูหยินแม่เฒ่าซาแล้ว
ดังนั้นแม้ว่าแม่เฒ่าผู้นี้จะแก่ชราจนดูราวกับลมพัดก็ปลิว แต่แม้แต่ชายหนุ่มแซ่เวิงที่อยู่ในระดับมหายานเมื่อเผชิญหน้ากับนางก็ยังมีท่าทีเป็นชนรุ่นหลังครึ่งหนึ่ง
ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ในเมืองเมฆา แน่นอนว่าก็ไม่กล้าดูแคลนเลยสักนิด
ทว่าหลังจากที่ชายหนุ่มใช้สายตาส่งแม่เฒ่าจนหายวับไปจากประตูด้านข้าง ก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วชักสายตากลับมา
“ในเมื่อฮูหยินซาจากไปแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่มีอันใดต้องปรึกษากันแล้ว เอาตามคำแนะนำของสหายไฉ่ก็แล้วกัน ท่านเซียนไฉ่ สหายไป๋ เรื่องนี้มอบให้พวกเจ้าสองคนจัดการก็แล้วกัน คนอื่นๆ ต้องร่วมมืออย่างเต็มกำลัง” หลังจากที่ชายหนุ่มแซ่เวิงขบคิดเล็กน้อย ก็ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด
แน่นอนว่าทุกคนในห้องโถงกลับไม่มีความเห็น พลางเอ่ยขอบคุณอย่างต่อเนื่อง
“เอาละ จากนี้พวกเราปรึกษาเรื่องแดนกว้างเย็นกันเถิด เชียนจื่อจี เจ้าพูดมาเถิด” ชายหนุ่มแซ่เวิงพลันเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา พลันเอ่ยชื่อขึ้นมา
คนอื่นๆ ได้ฟังคำว่าแดนกว้างเย็น ต่างก็พากันหน้าเปลี่ยนสี
“สหายเชียน เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือว่าแดนกว้างเย็นใกล้จะเปิดแล้ว” คนที่ร้อนใจทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
ไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่นได้ยิน กลับมองสบตากันแวบหนึ่งตามจิตสำนึก แต่ทันใดนั้นก็เลื่อนสายตาไปด้วยสีหน้าราบเรียบ
“สิ่งที่เผ่าหมื่นโบราณของพวกเราวางอยู่ในตำหนักสะท้านฟ้า มีปฏิกิริยาเมื่อสองวันก่อน จากการคาดเดาก่อนหน้านานหน่อยก็สามสี่ปี สั้นหน่อยก็สองสามเดือนแดนกว้างเย็นจะเปิดแล้ว” เชียนจื่อจีกลับเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน