คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1686 ไล่สังหาร
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1686 ไล่สังหาร
A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1686 ไล่สังหาร
แค่ชั่วครู่อสูรลับระดับราชาตัวหนึ่งก็กระโจนไปหาอสูรลับสามตาตัวหนึ่งด้านหลัง และเปล่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ด้วยความโกรธแค้นออกมา
อสูรลับสามตาตัวนั้นได้สติกลับมาพลางร้องคำรามสองสามครั้งทันที และถอยออกไปสองสามก้าวด้วยความนอบน้อม เคลื่อนไหวร่างกาย พุ่งไปยังทางที่มา หลังจากกะพริบวาบๆ ก็จมหายเข้าสู่ความมืดมิดอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้อสูรลับระดับราชาถึงได้หันหน้ามาแล้วกระโจนไปด้านหน้าต่อ
สำหรับมันแล้วมันเกลียดคนนอกที่บุกเข้ามาในป่าลับเป็นอย่างยิ่ง แต่เทียบกับเป้าหมายที่กำลังไล่ล่าในยามนี้ กลับดูเหมือนไม่สำคัญเลยสักนิด
ดังนั้นแม้ว่าจะสัมผัสได้ว่าอสูรลับตาสีเงินสองสามตัวนั้นเพลี่ยงพล้ำ อสูรตัวนี้ก็ยังคงถ่ายทอดคำสั่งให้ทำอีกอย่าง ส่วนตนเองก็ไม่มีเจตนาจะหันกลับไปเลยสักนิด
อสูรลับสามตาที่เหลือย่อมไล่ตามอสูรลับสีทองมาติดๆ
ในป่าบริเวณใกล้เคียงมีเสียง “ซ่าๆ” ดังขึ้น ไม่รู้ว่ามีอสูรลับไล่ตามมาติดๆ เช่นกันอีกเท่าไหร่
ทว่าหากฟังดีๆ ก็จะพบว่า เสียง “ซ่าๆ” นี้กลับค่อยๆ หายลับไป ดูเหมือนว่าจะมีอสูรลับจำนวนไม่น้อยที่มุ่งไปยังทิศทางอื่น
……
หานลี่กลับกอดอกลอยอยู่กลางอากาศ ใต้ร่างของเขามีซากอสูรยักษ์สี่หัวพลันแยกออกเป็นสองส่วน และยิ่งไปกว่านั้นผิวของซากศพก็กลายเป็นดวงแสงสีดำแล้วแตกละเอียดออก
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนล้วนมองหานลี่ด้วยความตกตะลึง แม้ว่าจะฝืนรักษาสีหน้าให้สงบนิ่งเอาไว้ แต่แววตาก็เปล่งประกายแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวนิดๆ
เมื่อครู่เป็นเพราะพลังของเคล็ดวิชาผสานการโจมตีและลำแสงสีเงินของอสูรยักษ์สี่หัวปะทะกันจนเกิดเป็นเสียงระเบิดดังสนั่น ประกอบเมื่อครู่หานลี่เคลื่อนย้ายกายรวดเร็วเกินไป
พวกเขาจึงไม่ทันได้มองเห็นว่าหานลี่สังหารอสูรยักษ์อย่างไร แค่มองเห็นรางๆ ด้านล่างมีลำแสงสีทองสายหนึ่งเปล่งแสงเจิดจ้าแล้วหายวับไป
จากนั้นอสูรยักษ์รวมทั้งม่านลำแสงสีดำที่ห่อหุ้มร่าง ก็แตกออกเป็นสองส่วนอย่างไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด แล้วเพลี่ยงพล้ำไปท่ามกลางลำแสงสีทอง
กลิ่นอายของอสูรยักษ์แทบจะไม่ด้อยไปกว่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้น คาดไม่ถึงว่าจะถูกสังหารไปเช่นนี้ มันจะน่าเหลือเชื่อไปหน่อยกระมัง!
และยิ่งไปกว่านั้นชั่วพริบตาที่ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบเมื่อครู่ ทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณฟ้าดินในบริเวณรอบ ดูเหมือนว่าจะถูกพลังมหาศาลอันใดสักอย่างฉีกขาด แล้วทะลักออกมาหาลำแสงสีทองในชั่วพริบตานั้น จากนั้นลำแสงสีทองก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
นี่จึงยิ่งทำให้ทั้งสองรู้สึกตกตะลึง
ควบคุมพลังปราณฟ้าดินได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องหายาก
แต่หากสิ่งมีชีวิตระดับพวกเขาควบคุมพลังปราณฟ้าดิน ก็ต้องร่ายคาถาอยู่นาน ถึงจะฝืนทำเรื่องนี้ได้ แม้กระทั่งมีโอกาสจะล้มเหลว จะทำได้อย่างง่ายดายราวกับกินข้าวดื่มน้ำเหมือนกับอีกฝ่ายได้อย่างไร
หรือว่าอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับท่านอาจารย์ของพวกเขาแล้ว
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็จะมหัศจรรย์เกินไปหน่อยกระมัง
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนต่างขบคิดเช่นนั้น สายตาที่มองมายังหานลี่อดที่จะเผยท่าทีไม่เป็นธรรมชาติออกมาไม่ได้
หานลี่กลับมีสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้เผยสีหน้าใดๆ ออกมา
เมื่อครู่เขาควบคุมเทวรูปมารเที่ยงแท้ ใช้ใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬสังหารอสูรยักษ์ตัวนี้ในเวลาเดียวกัน แล้วเก็บเทวรูปกลับมาอย่างรวดเร็ว ทำให้หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองมองเห็นไม่ชัด
สาเหตุที่หานลี่ใช้ใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬอย่างไม่เสียดายพลังของเทวรูปอีกครั้งนั้น แน่นอนว่าเพราะอยากทดสอบสิ่งที่เพิ่งฝึกฝนมาใหม่ของเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ ว่าจะมีอานุภาพในการควบคุมใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬอย่างไร
ไม่รู้ว่าการทำลายตนเองของใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬเหนือกว่าที่ตนคิดไว้มาก หรือเป็นเพราะการผนึกเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ต้องเสียพลังในการควบคุมพลังของเทวรูปอยู่แล้ว เมื่อดูดซับพลังปราณฟ้าดินเข้าไปแล้วทำการสังหารอสูรยักษ์ ไม่เพียงขั้นตอนจะรวดเร็วกว่าก่อนหน้าหลายเท่า ความเสียหายก็ไม่ถึงหนึ่งในสามส่วนของก่อนหน้าเท่านั้น
แม้ว่าระหว่างขั้นตอนนั้นจะจงใจลดพลานุภาพของใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬลงครึ่งหนึ่ง แต่ผลลัพธ์ย่อมทำให้หานลี่รู้สึกพึงพอใจมาก
ทว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้การใช้ผลสวรรค์ทมิฬในเทือกเขามารสีทองครั้งที่แล้ว ก็ทำให้สูญเสียพลังเทวรูปของเขาไปไม่น้อย
หากไม่ใช่เพราะช่วงสองสามปีที่ผ่านมาเขาฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักอยู่ในเมืองเมฆาจนได้กลับคืนมาไม่น้อย เมื่อครู่คงไม่กล้าเอาออกมาใช้บุ่มบ่ามเช่นนี้
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกตะปบไปทางซากของอสูรยักษ์ด้านล่าง
ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเทาพลันม้วนวนออกมา กวาดซากศพที่กลายเป็นลำแสงสีดำไปจนเกลี้ยง ที่เดิมกลับเหลือเอาไว้เพียงดวงแสงกลมๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับสี่ดวง
นั่นก็คือแก่นดวงจิตของอสูรลับสามตา!
หานลี่พลันเลิกคิ้ว ยามที่คิดจะขยับนิ้วเก็บแก่นดวงจิตมานั้น ฉับพลันนั้นในแขนเสื้อก็มีเสียงคำรามต่ำๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจดังขึ้น
เขาพลันตกตะลึงไปชั่วครู่ แต่เมื่อขบคิดเล็กน้อย ก็สะบัดแขนเสื้อทันที
เงาสีเทากลุ่มหนึ่งกลายเป็นเงาสองสามสายบินออกมาจากแขนเสื้อ แต่เมื่อเปล่งแสงสว่างวาบก็รวมตัวกัน กลายเป็นอสูรน้อยที่ผิวมีอักขระสีทองตัวหนึ่ง
นั่นก็คืออสูรมิคาทน!
หลังจากที่อสูรตัวนี้พัฒนาจนมาอยู่ระดับเทพแปลง ก็เอาแต่ฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักอยู่ในกำไลอสูรวิญญาณของหานลี่ และกินยาลูกกลอนสมุนไพรต่างๆ ของหานลี่ลง กลับพัฒนาจนมาอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นกลางตั้งนานแล้ว แม้กระทั่งใกล้จะอยู่ในระดับขั้นปลายแล้ว
ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น จากพลังยุทธ์ของอสูรตัวนี้สำหรับหานลี่ที่พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ช่วยเหลือได้ไม่มากนัก
ระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้า เขาก็ไม่ได้เรียกอสูรตัวนี้ออกมา
ฉับพลันนั้นอสูรตัวนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจอยู่ในกำไลอสูรวิญญาณ หานลี่จึงปล่อยมันออกมาพร้อมกับใจที่เต้นระรัว
เมื่ออสูรมิคาทนปรากฏตัว ก็กระโจนออกมาทันที เห็นเพียงเงาปรากฏขึ้นอีกครั้ง กลืนแก่นดวงจิตของอสูรลับสี่ดวงลงในคำเดียว จากนั้นก็หมุนตัวแล้วบินกลับมา ร่อนลงบนไหล่ของหานลี่ ใช้ศีรษะที่มีขนปุกปุยดันคอของหานลี่สองสามครั้ง และส่งเสียงครืดๆ เผยท่าทีสนิทสนมกับหานลี่เป็นอย่างยิ่งออกมา
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ ในมือมีไข่มุกกลมที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วปรากฏขึ้นสามเม็ด
ชั่วขณะนั้นดวงตาเล็กๆ ของอสูรน้อยพลันเปล่งประกาย แทบจะพลิ้วหายโดยไม่ต้องขบคิด กลายเป็นเงาล่องหนสายหนึ่งกระโจนออกมาอีกครั้ง กลืนแก่นดวงจิตทั้งสามดวงลงไป จากนั้นก็ลอยอยู่บนฝ่ามือของหานลี่พลางก้มหน้าคำรามต่ำๆ ไม่หยุด ดูเหมือนว่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
หานลี่พลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา
แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดอสูรตัวนี้ตัวนี้ถึงให้ความสำคัญกับแก่นดวงจิตของอสูรลับตาสีเงินขนาดนี้ การไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อแก่นดวงจิตอสูรลับธรรมดาๆ ก่อนหน้า แต่กลับกลืนแก่นดวงจิตอสูรลับตาสีเงินจำนวนมากลงไปในคราเดียว แน่นอนว่าย่อมมีประโยชน์กับอสูรมิคาทน
หานลี่เองก็ไม่ได้พูดอันใด สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเขียวก็บินออกมา ม้วนอสูรน้อยเข้ามาข้างใน
ร่างของอสูรน้อยพลิ้วไหว สลายหายไปท่ามกลางลำแสงสีเขียว แล้วถูกเก็บกลับมาในกำไลอสูรวิญญาณอีกครั้ง
ส่วนแก่นดวงจิตเหล่านั้นมีประโยชน์อันใดกับอสูรมิคาทนกันแน่ ย่อมต้องรอให้อสูรตัวนี้หลอมให้เสร็จสิ้นก่อนถึงจะรู้ได้
และในยามนี้หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนกำลังเห็นฉากที่อสูรมิคาทนกลืนแก่นดวงจิตเข้าไป ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง สุดท้ายก็บินมาทางหานลี่และเมื่ออยู่ห่างจากหานลี่ไปสองสามจั้ง ร่างกายก็หยุดชะงัก
หญิงสาวสวมงอบเผยรอยยิ้มออกมาจากผ่านแววตาพลางเอ่ยว่า
“ต้องขอบคุณพี่หานที่ลงมือในครั้งนี้! มิเช่นนั้นอสูรลับสามตาที่จัดการได้ยากและยังรวมร่างกันได้เหล่านี้ เกรงว่าข้าและสหายสือคุนคงเพลี่ยงพล้ำอยู่ที่นี่”
“ใช่แล้ว พี่หานมีอิทธิฤทธิ์มากนัก ช่างทำให้พวกเราสองคนรู้สึกละอายใจจริงๆ หากไม่ใช่เพราะแดนนี้ไม่ยอมให้ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปเข้ามา ผู้แซ่สือคงสงสัยว่าสหายเป็นอาวุโสที่แปลงกายมาที่นี่หรือไม่” สือคุนเองก็หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
ไม่ว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์หรือว่าสือคุนล้วนมีท่าทีคำพูดนอบน้อมขึ้นส่วนหนึ่ง
หานลี่เห็นเช่นนั้น กลับกวาดตามองทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“เหตุใดสหายทั้งสองถึงต้องถ่อมตัวเพียงนั้น หากไม่ใช่เพราะทั้งสองดึงความสนใจของอสูรลับเหล่านั้นเอาไว้ ผู้แซ่หานจะสังหารมันได้ง่ายดายได้อย่างไร ทว่าแม้ว่าพวกมันจะตายหมดแล้ว ก็ไม่สมควรอยู่ที่นี่นาน คิดดูแล้วด้านหลังคงมีอสูรลับตนอื่นๆ ไล่ตามมาแน่ พวกเรารีบไปกันเถิด”
“พี่หานพูดถูก รีบไปจะดีกว่า!” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสี แต่ก็เอ่ยอย่างเห็นด้วยทันที
สือคุนย่อมไม่มีความคิดเห็นอื่น จึงพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นทั้งสามคนจึงปรึกษากันอีกครั้งแล้วกลายเป็นสายรุ้งสามสายพุ่งแหวกอากาศไป
……
ห้าหกวันต่อมาท่ามกลางเหล่าอสูรลับ หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคมด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ข้างกายมีกระบี่บินสีเขียวยี่สิบสามสิบเล่ม กลายเป็นดอกบัวสีเขียวดอกหนึ่งร่อนลงมาเหนือศีรษะของอสูรลับสามตาฝั่งตรงข้าม
กระบี่ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตาก็สับอสูรตัวนี้ออกเป็นชิ้นๆ
ด้านหลังของเขา ‘หวาหวา’ ที่มือถือพัดหยกสีฟ้ากำลังโบกสะบัดพัดไปทางอสูรลับธรรมดาอีกตัวหนึ่ง
ด้านหน้าพัดมีหมอกลำแสงสีฟ้าพวยพุ่งออกมา แค่กะพริบวาบก็แช่แข็งอสูรลับรวมทั้งเงาสีดำสองสายที่แยกออกมากลายเป็นภูเขาน้ำแข็งสีฟ้าสูบสิบจั้งเศษ และไม่อาจขยับตัวได้เลยสักนิด
ไกลออกไปเองก็มีเสียงอึกทึกดังมาไม่หยุดเช่นกัน ลำแสงวิญญาณพลันระเบิดออก
ทางนั้นหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนเองก็สำแดงอิทธิฤทธิ์สังหารอสูรลับสองสามตัวเช่นกัน
หลังจากที่พวกเขาออกจากใจกลางแล้ว ก็พบกับพวกมาขวางทางอยู่เจ็ดกลุ่ม ทุกกลุ่มน้อยหน่อยก็มีห้าหกตัว มากหน่อยก็มีเจ็ดแปดตัว
โชคดีที่ในบรรดาเหล่านั้นไม่มีอสูรลับตาสีเงิน มากสุดก็มีอสูรลับสามตาเป็นผู้นำ จึงไม่ได้หลอมรวมแปลงร่าง
เช่นนั้นย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหานลี่ ทยอยกันถูกสังหารไปจนเกลี้ยง
ทว่าด้วยเหตุนี้ความเร็วของหานลี่และพวกจึงถูกทำให้ล่าช้าไปไม่น้อย
ยามนี้กลับไม่เหมือนเดิม คาดไม่ถึงว่าอสูรลับที่ปรากฏตัวจะมีสิบกว่าตัว หากไม่ใช่เพราะหานลี่และพวกทยอยกันใช้อิทธิฤทธิ์ของกล่องแรงดัน เกรงว่าคงไม่อาจชนะได้ง่ายๆ
หานลี่กวักมือข้างหนึ่ง ดอกบัวลำแสงสีเขียวเปล่งเสียงหึ่งๆ กลายเป็นเส้นไหมสีเขียวยี่สิบสามสิบเล่มพุ่งออกมา แค่กะพริบวาบ ก็ทะลวงผ่านอสูรลับที่กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งสีฟ้าอีกด้านจนเป็นรูพรุน
จากนั้นเขาพลันเลื่อนสายตาไป มองไปยังสงครามการต่อสู้ของหลิวสุ่ยเอ๋อร์
เสียงแหวกอากาศดัง “ฟิ้วๆ” ดังขึ้น เส้นไหมสีเขียวพุ่งออกมาอย่างหนาแน่นอีกครั้ง
……
สิบวันต่อมาตรงชายป่าอสูรลับ เงาร่างทั้งสามคนพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ มองไปที่ป่าตรงข้ามนิ่ง
ตรงนั้นคาดไม่ถึงว่าจะมีอสูรลับสามสิบกว่าตนรวมตัวกันอยู่ หนึ่งในนั้นมีอสูรลับสามตาอยู่เกือบครึ่ง
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม หานลี่พลันขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย