คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1692 ผลึกเงา
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1692 ผลึกเงา
เห็นได้ชัดว่าประจุไฟฟ้าเหล่านั้นมีอานุภาพไม่น้อย เมื่อปล่อยให้เปลวเพลิงสีเขียวแผดเผาก็แค่กะพริบวาบๆ เท่านั้น ไม่ได้เคลื่อนไหวเลยสักนิด
หลังจากที่เงากรงเล็บยักษ์ข้างหนึ่งยืนกรานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน เห็นได้ชัดว่าไม่ด้อยไปกว่ากรงล้อหกชิ้นด้านล่างที่กลายเป็นจานยักษ์สีเงิน ในที่สุดก็แตกออกเป็นชิ้นๆ กลางลำแสงสีเงินแล้วสลายหายไป
เมื่อไม่มีจานยักษ์มาขวาง เสียงหึ่งๆ ดังขึ้น พุ่งตรงไปสับที่หัวของหุ่นเชิด
ยังไม่ทันได้ร่อนลงมา ด้านล่างพลันมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบแล้วบิดเบี้ยว ระลอกคลื่นประหลาดๆ แผ่ออกมาราวกับว่าถูกสับออกอย่างไรอย่างนั้น
หุ่นเชิดวิหคอัสนีเห็นเช่นนั้นพลันอ้าปากออก
พ่นประจุไฟฟ้าสีเขียวราวกับท่อน้ำออกมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นมังกรวารีสีเขียวตัวหนึ่ง อ้าปากตะปบเล็บกระโจนเข้ามา โจมตีไปที่จานทรงกลมอย่างแรง
หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ลำแสงสีเงินและประจุไฟฟ้าสีเขียวก็ตัดสลับกันไปมา
ชั่วขณะนั้นจานทรงกลมสีเงินพลันหมุนติ้วๆ รอบกายสั่นเทาเปล่งเสียงครืนๆ ออกมา ผิวของมันมีรอยแยกสองสามสายปรากฏขึ้น
จากนั้นลำแสงพลันเปล่งแสงวาววาบ กลายเป็นกรงล้อหกชิ้นอีกครั้ง พลางร่วงกลับไปมาชนต่างเผ่าตัวเตี้ยทั้งหกอีกครั้ง
จากนั้นประจุไฟฟ้าบนร่างของวิหคอัสนีก็ขยายออกอีกครั้ง ร่างกายเปล่งเสียงหึ่งๆ กลายเป็นประจุไฟฟ้าลำแสงสายหนึ่งหายวับไปจากที่เดิม
ครู่ต่อมารถศึกทั้งสามครั้งพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างวิหคอัสนีปรากฏขึ้น จากนั้นก็กระพือปีกทั้งสอง ชั่วขณะนั้นพลันมีพายุน่าสะอิดสะเอียนโชยเข้ามาด้วย
ชนต่างเผ่าร่างแคระแกร็นทั้งหกยกมือขึ้นพร้อมกัน มือข้างหนึ่งกดลงไปบนร่างของหุ่นเชิดเกราะสีเขียวตรงหน้าอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
แววตาของหุ่นเชิดสามตัวเปล่งประกายวาวโรจน์ ผิวมีลำแสงสีเขียวแผ่ออกมา ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น
ชั่วพริบตานั้นหุ่นเชิดหน้ากากก็ร่อนลงมา ร่างกายสูงสิบจั้งเศษ กลายเป็นปีศาจยักษ์หน้าเขียวมีเขี้ยวสามตัว
กรงเล็บปีศาจอันใหญ่โตทั้งหกโบกสะบัดไปกลางอากาศพร้อมกัน กรงเล็บลำแสงสีดำเขียวสิบกว่าสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น พลางโจมตีไปยังวิหคอัสนี
จากนั้นมือหนึ่งของปีศาจก็ตะปบไปทางแผ่นหลังอีกครั้ง
ทวนสั้นสีเงินสิบสองเล่มที่ขยายใหญ่ขึ้นเช่นกันพลันกลายเป็นเสาสีเงินสิบสองสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
ชั่วขณะนั้นกลางอากาศพลันมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น!
วิหคอัสนีเห็นเช่นนั้นกลับอ้าปากออกด้วยสีหน้าราบเรียบ พ่นประจุไฟฟ้าสีเขียวออกมาอีกครั้ง กรงเล็บข้างหนึ่งกดลงไป พลังมหาศาลไร้รูปร่างแผ่ลงมา
ชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นทั้งหกชักแขนกลับมา ในยามนั้นปากพลันบริกรรมคาถา ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่าเช่นกัน
จากนั้นสมบัติหลากหลายสิบกว่าชิ้นพลันบินออกมาจากร่างของพวกมัน กลายเป็นไอสมบัติเป็นสายๆ เข้าร่วมการโจมตี
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระลอกคลื่นหมุนวนแล้วแผ่ออกไป ลำแสงต่างๆ เจิดจ้าจนแสบตา ทำให้ผู้คนแทบจะไม่อาจสบตาตรงๆ ได้
การต่อสู้ฉากนี้กินเวลาต่อเนื่องไปหนึ่งชั่วยาม
เมื่อเสียงระเบิดหยุดลง ในที่สุดลำแสงวิญญาณก็หม่นแสงลง
หุ่นเชิดวิหคอัสนีพาร่างกายที่เหลือเพียงครึ่งหนึ่งร่อนลงมาจากกลางอากาศ แล้วร่วงลงสู่ซากปรักหักพังพลางหายลับไป
รถศึกสามคันและหุ่นเชิดเกราะสีเขียวที่ฟื้นฟูรูปร่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมซึ่งลอยอยู่กลางอากาศก็ได้รับบาดเจ็บหนักเช่นกัน แม้กระทั่งตรงหน้าอกของหุ่นเชิดตัวหนึ่งยังมีรูขนาดเท่าปากชามเพิ่มขึ้นมารูหนึ่งทะลุผ่านทรวงอกไป
หากไม่ใช่เพราะเป็นร่างของหุ่นเชิด อาการบาดเจ็บระดับนี้หากอยู่บนร่างของชนต่างเผ่าธรรมดาๆ คนหนึ่งก็คงเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว
ส่วนร่างของชนต่างเผ่าทั้งหกนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก
ไม่ใช่แค่สมบัติสิบสองชิ้นที่ลอยโคจรอยู่รอบด้านพวกเขาถูกทำลายไปกว่าครึ่ง เกราะสงครามที่สวมอยู่บนร่างของพวกเขาก็ไหม้เกรียม แม้กระทั่งเป็นรูโหว่อยู่หลายจุด แทบจะตกอยู่ในสภาพเสียหายยับเยิน
กลับเป็นอสูรประหลาดรูปร่างคล้ายควายหกตัวนั้นที่ไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ แต่ปากก็ยังพ่นไอสีขาวออกมา เปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
โดยรวมแล้วการต่อสู้ของวิหคอัสนีและหุ่นเชิดครั้งนี้ ชนต่างเผ่าทั้งหกได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด แต่ก็เสียหายไปไม่น้อยเช่นกัน
ทว่าชนต่างเผ่าทั้งหกเห็นหุ่นเชิดวิหคอัสนีร่วงลงมากลับเผยสีหน้ายินดีออกมา ทันใดนั้นก็กระตุ้นรถศึกอีกครั้ง พลางพุ่งลงไปด้านล่าง
ในยามนั้นเองเสียงเย็นชาพลันดังขึ้นจากเมฆหมอกที่อยู่ไม่ไกลนัก
“เยี่ยม เยี่ยมมาก สหายเผ่านักปราชญ์ทมิฬกำจัดหุ่นเชิดตัวนี้ได้ก็ช่วยประหยัดแรงของพวกเราได้มาก”
สิ้นเสียงพลันมีแสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นกลางเมฆหมอก เงาร่างคนสวมชุดแตกต่างกันสิบกว่าคนปรากฏขึ้น
ผู้ที่เป็นผู้นำสวมชุดคลุมยาวสีเหลือง ดูจากใบหน้าแล้วมีอายุไม่เกินยี่สิบปีเศษ แต่ตรงหน้าผากกลับมีเขาสีทองงอกออกมาสามเขา เปล่งแสงระยิบระยับ สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
ด้านหลังของเขามีบุรุษสตรีชายชราเด็กทารกยืนเรียงแถวกันอยู่สิบกว่าคน ล้วนมีเขาอยู่บนศีรษะเช่นกัน แต่สีสันและรูปร่างพลันแตกต่างกันไป
เมื่อเห็นสิบกว่าคนนี้ ชั่วขณะนั้นใบหน้าของชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นทั้งหกคนก็ดูไม่ได้ หนึ่งในนั้นที่ดูเหมือนหัวหน้าของชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นเปล่งเสียงแหบพร่าที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา
“เผ่าแมลงมีเขา! พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือว่าสะกดรอยตามพวกเรามา?”
“สะกดรอยตาม! ก็คู่ควรอยู่! ทว่าในเมื่อพวกเราพบที่นี่แล้ว ก็อย่าคิดจะเอาชีวิตรอดจากไปเลย ลงมือ ส่งพวกมันไป” ชายหนุ่มเขาสีทองที่เป็นผู้นำหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา สุดท้ายกลับออกคำสั่งกับสหายร่วมวิถีด้านหลัง
ชาวเผ่าแมลงมีเขาที่อยู่ด้านหลังสิบกว่าคนเปล่งเสียงตอบรับพร้อมกัน จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี คาดไม่ถึงว่าล้อมเข้ามาเป็นรูปพัด
“ไป”
นักปราชญ์ทมิฬทั้งหกย่อมหน้าเปลี่ยนสี ผู้ที่เป็นผู้นำจึงร้องตะโกนออกมาด้วยความตกตะลึงระคนโกรธขึ้ง
ใต้ฝ่าเท้าของควายทั้งหกตัวมีพลังพายุเพลิงปรากฏขึ้น แล้วพุ่งทะยานออกไป รถศึกทั้งสามคันกลายเป็นลำแสงสีเขียวสามกลุ่ม พุ่งตรงไปอีกด้าน
ท่ามกลางแสงสีเขียวนั้นพลันมีประจุไฟฟ้าเปล่งแสงเรืองๆ และส่งเสียงอึกทึกดังมา ความเร็วน่าตกตะลึง
ทว่าชาวเผ่าแมลงมีเขาเหล่านั้นกลับมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่า
ในบรรดาสิบกว่าคนนั้น บ้างก็เปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งเจิดจ้าสายหนึ่ง บ้างก็ร่ายอาคมร่างกายพลิ้วไหวหายวับไปจากที่เดิม
และยังมีคนที่สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นอสูรวิญญาณตัวหนึ่งและสมบัติเหาะเหินพลันบินออกมา ร่างกายพลิ้วไหวยืนอยู่บนนั้น ไล่ตามไปด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
ชายหนุ่มเขาสีทองผู้นั้นกลับเอามือไพล่หลังลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ราวกับว่ามั่นใจในตัวผู้อื่นเต็มเปี่ยม
มิน่าล่ะเขาถึงได้มั่นใจเช่นนี้
แม้ว่านักปราชญ์ทมิฬจะเป็นเผ่าที่มีขนาดไม่เล็กในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี แต่คนของเผ่านี้กลับไม่เชี่ยวชาญเรื่องเคล็ดวิชาเหาะเหิน ปกติแล้วหากต่อสู้กันก็ทำได้เพียงอาศัยรถวายุต่างๆ ที่หลอมขึ้นต่อสู้กับผู้อื่น
หากเป็นเวลาปกติหรือยามที่ต่อสู้กับผู้คนแล้วเป็นฝ่ายเหนือกว่านั้น ช่องโหว่เช่นนี้ก็ไม่ได้ถือว่าใหญ่มากมายนัก
แต่ยามนี้ชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นทั้งหกเพิ่งจะจบการต่อสู้ที่ยากลำบากไป ศัตรูแข็งแกร่งก็ปรากฏตัวขึ้นใหม่ทันที และยิ่งไปกว่านั้นเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะต่อสู้กัน แน่นอนว่าย่อมกลายเป็นจุดอ่อนที่ถึงชีวิต
ผลคือเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้น ก็ไม่ต่างจากที่เขาคิดเอาไว้มากนัก รถศึกทั้งสามคนแค่บินไปได้สิบจั้งเศษ เบื้องหน้าก็มีลำแสงวิญญาณสองสามกลุ่มระเบิดออก เงาร่างคนสองสามสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น
นั่นก็คือชนเผ่าแมลงมีเขาสองสามคนที่สำแดงเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายแล้วหายวับไปกับอากาศ
พวกเขาล้วนชูมือขึ้นโดยไม่ได้ปริปาก ชั่วขณะนั้นเพลิงอัสนีจำนวนมากก็ทะลักออกมา ทุบไปบนรถศึกสามคัน
แม้ว่าควายหกตัวที่ควบคุมรถม้าจะโหดเหี้ยมมาก แต่ก็อดที่จะหยุดชะงักเท้าทั้งสี่ไม่ได้ ปากก็พ่นเปลวเพลิงสีเขียวออกมาต้านทานการโจมตีกลางอากาศ
ส่วนชั่วเวลาที่ล่าช้าไปนั้น คนที่เหลือสิบกว่าคนด้านหลังก็ควบคุมอสูรวิญญาณและสมบัติต่างๆ บินมา ชั่วครู่ก็มาปรากฏตัวล้อมรถศึกทั้งสามคันเอาไว้
สมบัติต่างๆ “กระบี่” “ขวาน” “ไม้เท้า” ปรากฏขึ้น บินออกมาจากร่างของชนเผ่าแมลงมีเขาพร้อมกัน กลายเป็นหมอกลำแสงหลากสีสันห่อหุ้มลงมา
นักปราชญ์ทมิฬหกคนบนรถศึกเห็นสถานการณ์เช่นนั้น แววตาก็เผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่กล้ายืนนิ่งรอความตาย
ทั้งหกคนพลันร้องตะโกน มือหนึ่งตรงไปบนชุดเกราะสีเขียวที่เต็มไปด้วยความเสียหาย หลังจากที่ทำให้พวกมันกลายร่างเป็นปีศาจยักษ์อีกครั้ง มือพลันร่ายอาคม ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง กรงล้อสีเงินที่แผ่นหลังบินออกมา และพลิ้วไหวกลายเป็นจันทร์ทรงกลดสีเงินนับร้อยนับพันดวง พลางพุ่งออกมาทั้งสี่ทิศแปดด้านพร้อมกัน
นักปราชญ์ทมิฬหกคนเกิดความคิดพยายามอย่างสุดชีวิต ยามนั้นพลันต่อสู้กับชนเผ่าแมลงมีเขาสิบกว่าคนจนแยกแยะไม่ออก
ทว่าไม่ว่าชนต่างเผ่าหรือว่าชนต่างเผ่าร่างแคระแกร็นก็รู้ดีว่า สถานการณ์เช่นนี้เป็นแค่การเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น เมื่อนักปราชญ์ทมิฬสองสามตนสูญเสียพลังปราณไปจนหมด ก็ถึงเวลาฝังศพของพวกเขา
แต่ชนต่างเผ่าเหล่านี้ รวมทั้งชายหนุ่มเขาสีทองคนหนึ่งล้วนไม่รู้ว่า
คาดไม่ถึงว่านอกจากพวกเขาสองคนเผ่าแล้วที่นี่ยังมีบุคคลที่สามที่อยู่ห่างจากหอคอยผุพังไปสองสามร้อยลี้ กำลังใช้สมบัติประหลาดๆ ชิ้นหนึ่งจับจ้องมองทุกอย่าง
สมบัติชิ้นนี้คือผลึกวารีสีขาวโปร่งใส แต่ผิวของมันมีภาพวาดเปล่งแสงเรืองๆ นั่นก็คือภาพการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายของเผ่าแมลงมีเขาสิบกว่าคนและเผ่าปราชญ์ทมิฬหกคน
แต่แค่มองอยู่ไกลๆ ราวกับว่ากำลังรับชมทุกอย่างห่างออกไปสิบลี้เศษ
ตรงหน้าผลึกวารีมีคนนั่งสมาธิอยู่สองคน คนหนึ่งมีสีหน้าราบเรียบ คนหนึ่งมีสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยไม่แน่นอน
“นี่มันเรื่องอันใดกัน เผ่าแมลงมีเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือว่ามาเพื่อเขตอาคมซากปรักหักพังเช่นกัน” ผู้ที่มีสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัย มีรูปร่างอรชนอ้อนแอ้น สวมงอบสีขาวบนศีรษะ นั่นก็คือหลิวสุ่ยเอ๋อร์
คำพูดเมื่อครู่ของหญิงสาวผู้นี้เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่เห็นได้ชัดว่ากำลังถามคนข้างกาย
อีกคนหนึ่งที่ดูยังหนุ่มยังแน่น สวมชุดคลุมสีเขียว แต่ใบหน้าธรรมดาสามัญ นั่นก็คือหานลี่
แม้ว่าหานลี่จะมีสีหน้าราบเรียบ แต่กลับมองภาพวาดในผลึกวารีด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ เมื่อได้ยินคำนี้ มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบ
“เซียนหลิวไม่ต้องกังวลนัก ซากปรักหักพังนี้กว้างใหญ่มาก จะไปบังเอิญมีเป้าหมายเดียวกันกับพวกเราได้อย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งของพวกเราในยามนี้ก็อยู่ห่างจากเขตต้องห้ามไปสองสามหมื่นลี้ หากคนเหล่านี้มีเป้าหมายเดียวกันกับพวกเราจริงๆ จะไปสู้กับนักปราชญ์ทมิฬเหล่านั้นได้อย่างไร ทว่าการเคลื่อนไหวหลังจากนี้ต้องระมัดระวังให้มาก อย่าให้คนเผ่าแมลงมีเขาเหล่านี้พบพวกเรา”
“พี่หานพูดมีเหตุผล น้องหญิงวางใจแล้ว พวกเราเปลี่ยนที่ซ่อนตัวกันก่อนเถิด อยู่ให้ห่างจากเผ่าแมลงมีเขาสักหน่อย จากนั้นก็รอให้สหายสือมาถึงที่นี่ แล้วค่อยร่วมแรงกันทลายเขตอาคมต้องห้าม” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ขบคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยแนะนำเช่นนี้ออกมา
“อืม เช่นนี้ก็ได้ ทว่าก่อนหน้านี้ต้องรู้แผนการของเผ่าแมลงมีเขาเหล่านั้นก่อน เดิมเรื่องนี้ก็ยากเย็นมาก แต่คาดไม่ถึงว่าอาวุโสไฉ่จะให้เซียนผู้นี้ยืมผลึกที่มีชื่อเสียงมากในเผ่าผลึกอย่าง ‘ผลึกเงา’ เช่นนั้นก็สามารถดูแผนการของชนเผ่าแมลงมีเขาที่อยู่ห่างออกไปพันลี้ได้อย่างง่ายดายแล้ว” หานลี่มองผลึกศิลา หลังจากลูบใต้คางแล้ว ก็เอ่ยอย่างแช่มช้าออกมา
“แม้ว่าผลึกเงานี้จะอำพรางกายได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่งระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจสัมผัสได้ แต่ก็ทำได้เพียงสะท้อนทิศทัศน์ธรรมดาๆ เท่านั้น หากอีกฝ่ายสำแดงเขตอาคมอันใดออกมาปกปิดการกระทำของตนเอง ผลึกเงานี้ก็จะไร้ซึ่งประสิทธิภาพเช่นกัน” หลิวสุ่ยเอ่อร์อดที่ขมวดคิ้วดำขลับไม่ได้