คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1693 ลำแสงเขียวไท่อี่
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1693 ลำแสงเขียวไท่อี่
และไม่รู้ว่าบังเอิญหรือชายหนุ่มเขาสีทองผู้นั้นพบอันใดจริงๆ
สิ้นเสียงของหญิงสาวผู้นี้ ชายหนุ่มที่นิ่งงันไม่ขยับมาโดยตลอดพลันเงยหน้าขึ้นมองไปยังเบื้องบน จากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น บาตรกลมๆ สีดำพลันบินออกมา หมุนวนแล้วลอยอยู่กลางอากาศ
จากนั้นชายหนุ่มเผ่าแมลงมีเขาพลันบริกรรมคาถา นิ้วทั้งสิบร่ายไปทางบาตรทรงกลมอย่างต่อเนื่อง
อาคมหลากสีสันพุ่งออกมาเป็นสายๆ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในบาตรทรงกลม
หลังจากที่บาตรทรงกลมเปล่งเสียงร้องยาวๆ ออกมา ผิวของมันเปล่งแสงสีดำ และขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตานั้นก็มีขนาดสิบจั้งเศษ ลอยอยู่กลางอากาศราวกับห้องห้องหนึ่ง
จากนั้นฝาก็บินออกมา ไอสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกจำนวนนับไม่ถ้วนพลันทะลักออกมาจากบาตรทรงกลม และขยายไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน
ฉากยามค่ำคืนขยายใหญ่ขึ้น ปกคลุมท้องฟ้ากว่าครึ่งเอาไว้
ชั่วขณะนั้นผลึกวารีที่อยู่ตรงหน้าหานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันกลายเป็นสีดำสนิท มองไม่เห็นสิ่งใดอีก
ทั้งสองพลันหน้าเปลี่ยนสี แต่ไม่รอให้ผู้ใดเอ่ยปาก ผลึกวารีก็เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ผิวภายนอกกลับมาเป็นเช่นเดิม ภาพวาดปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เห็นเพียงทุกอย่างในภาพวาดก็ดูคล้ายคลึงกับก่อนหน้าเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งเมฆสีขาวสองสามกลุ่มที่อยู่ไกลออกไปก็เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว แต่ชนเผ่าแมลงมีเขาและชายหนุ่มเขาสีทองที่เดิมกำลังลอยอยู่กลางอากาศกลับหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
แววตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์เปล่งประกาย ชี้นิ้วเรียวไปที่ผลึกวารี
ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ผิวของผลึกวารีเปลี่ยนไปอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะสะท้อนภาพฉากด้านล่างออกมา
ผลคือปรากฏขึ้นท่ามกลางพายุทรายสีเหลืองอีกครั้ง ไม่เห็นเงาของชาวเผ่าแมลงมีเขาอีกเช่นกัน
“ดูแล้วอีกฝ่ายคงสำแดงเคล็ดวิชาลวงตา ปิดบังการเคลื่อนไหวของตนเอง นอกเสียจากว่าจะฝืนควบคุมผลึกเงาให้พุ่งเข้าไปในเขตอาคม เช่นนั้นก็ทำอันใดไม่ได้ แต่เช่นนั้นร่องรอยของพวกเราสองคนก็จะต้องถูกเปิดเผยอย่างไม่ต้องสงสัย ช่างเป็นการได้ที่ไม่คุ้มเสียจริงๆ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง
จากนั้นนางพลันสะบัดแขนเสื้อไปทางผลึกวารี ลำแสงผลึกวารีเปล่งแสงสว่างวาบ ไอหมอกสีขาวนวลปรากฏขึ้นเป็นสายๆ แล้วภาพวาดก็สลายตัวออกราวกับภาพลวงตา สุดท้ายก็กลายเป็นผลึกสีขาวนวลที่ดูธรรมดาๆ เม็ดหนึ่ง ถูกเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ
“ช่างเถิด ในเมื่อคนเผ่าแมลงมีเขาระมัดระวังตัวเช่นนี้ พวกเราก็อย่าทำให้พวกเขารู้ตัวเลย แต่เช่นนั้นพวกเขาคงมีแผนการไม่น้อย ไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบกับเรื่องของพวกเราหรือไม่?” หานลี่กลับเอ่ยพึมพำพร้อมกับครุ่นคิด
“สองสามหมื่นลี้ สำหรับพวกเรามันใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น มันหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ พี่หานมีแผนการดีๆ หรือไม่?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ใจหายวาบ แล้วเอ่ยถามอย่างแช่มช้า
“อีกฝ่ายมีจำนวนมากเกินไป และยิ่งไปกว่านั้นอิทธิฤทธิ์ก็ไม่ด้อยไปกว่าพวกเรา วิธีที่ดีที่สุดแน่นอนว่าย่อมไม่มี มีเพียงถึงยามนั้นต้องวางอาคมหลายชั้นขึ้นหน่อย จะได้ปกปิดระลอกคลื่นยามที่พวกเราทลายเขตอาคม นอกจากนี้แม้ว่าคนเผ่าแมลงมีเขาจะวางเคล็ดวิชาลวงตาอำพรางการเคลื่อนไหวของตนเอง พวกเราก็ทำอันใดแถวๆ เขตอาคมลวงตาได้ ส่งหุ่นเชิดไม่ก็อสูรวิญญาณไปจับตามอง หากพวกเขากระทำการใหญ่จริงๆ พวกเราก็จะได้ระวังตัวได้” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา
“มีเพียงต้องทำเช่นนั้น” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่เช่นกัน และทำได้เพียงตอบรับอย่างจนปัญญา
“ในเมื่อเซียนเองก็ไม่ปฏิเสธ พวกเราก็เริ่มวางเขตอาคมกันเถิด ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน รีบวางเขตอาคมกันเถิด” หานลี่เอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าสหายสือจะมาถึงที่นี่เมื่อใด คงไม่เกิดปัญหาอันใดระหว่างทางหรอกนะ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม แล้วเอ่ยด้วยท่าทางกังวลใจเล็กๆ
“ในเมื่อเราสองคนมาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่น จากอิทธิฤทธิ์ของพี่สือก็น่าจะไม่เป็นอันใด และยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ยังไม่ถึงสองเดือน หากสหายสืออ้อมมาไกลหน่อย มาสายสักสองสามวันก็เป็นเรื่องปกติ” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ดูเหมือนว่าจะเชื่อมั่นในตัวของสือคุนเต็มเปี่ยม
“หวังว่าจะเป็นเช่นกันกระมัง” หญิงสาวสวมงอบได้ฟังหานลี่กล่าวเช่นนั้น ย่อมไม่กล้าพูดอันใดที่กังวลใจอีก
หานลี่หัวเราะออกมา แล้วสะบัดแขนเสื้อ
ชั่วขณะนั้นเงาสีขาวสายหนึ่งพลันบินออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นหญิงสาวสวมชุดสีขาวท่ามกลางลำแสงสีขาวเย็นเยียบ ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ
นั่นก็คือหุ่นเชิดสะท้านฟ้า ‘หวาหวา’
“ไป! จับตาดูคนเผ่าแมลงมีเขาเหล่านั้น ไม่ต้องลงมือกับพวกเขา ขอแค่มองพวกเขาอยู่ไกลๆ ก็พอแล้ว” หานลี่ออกคำสั่งอย่างราบเรียบ
‘หวาหวา’ ได้ยินคำนี้พลันแววตาเปล่งประกาย ค้อมตัวลงเล็กน้อย หมายจะพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ แต่ภายใต้ความคิดของหานลี่ ก็ออกเสียงเรียกหญิงสาวผู้นั้น
“ช้าก่อน! เจ้าเอาสมบัติและยันต์วิเศษนี้ไปด้วย! จะได้ไม่กังวลว่าจะถูกพบ” หานลี่เอ่ยไปพลางมือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ในมือมีลำแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันมีผ้าไหมสีดำและยันต์วิเศษปรากฏขึ้น
ยันต์นั้นเปล่งแสงสีม่วงออกมา นั่นก็คือยันต์ชำระพิสุทธิ์
ใบหน้าของ ‘หวาหวา’ ยังคงดูสีหน้าไม่ออก แต่ก็ตะปบมือข้างหนึ่งออกมาอย่างเชื่อฟัง ดูดผ้าไหมสีดำและยันต์วิเศษเข้ามาในมือ จากนั้นร่างกายพลันเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ กลายเป็นเงาสีขาวสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไป
“พี่หานท่านรักหุ่นเชิดตัวนั้นไม่น้อยเลยสักนิด ทว่านั่นก็ไม่แปลก หุ่นเชิดสะท้านฟ้าระดับสูงเช่นนี้ ต่อให้เป็นน้องหญิงก็อิจฉานางมากเช่นกัน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์มองเห็นภาพตรงหน้าก็ฉีกยิ้มเบิกบาน
“หึๆ เซียนล้อเล่นแล้ว จากฐานะของสหายหากอยากจะซื้อหุ่นเชิดสะท้านฟ้าสักตัว ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอันใด แต่จะว่าไปแล้วหุ่นเชิดชนิดนี้กลับดีแต่ภายนอก ปกติแล้วย่อมสู้อสูรวิญญาณระดับเดียวกันไม่ได้ ตัวนี้ของข้าก็มีคนมอบให้” หานลี่ฉีกยิ้มน้อยๆ ออกมา แล้วเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น
“นั้นมันก็ใช่ หากควบคุมหุ่นเชิดชนิดต่อกรกับศัตรู แค่ศิลาวิญญาณระดับสุดยอดที่ต้องสูญเสียไป ก็เพียงพอจะทำให้ผู้คนเจ็บปวดแล้ว ในเมื่อพี่หานส่งหุ่นเชิดสะท้านฟ้าออกไป ข้าก็จะปล่อยอสูรวิญญาณตัวหนึ่งออกไปร่วมมือกับหุ่นเชิดคอยจับตาดูคนของเผ่าแมลงมีเขาเช่นกัน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นหานลี่ไม่อยากเอ่ยเรื่องหุ่นเชิดสะท้านฟ้ามากนัก ก็เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาอย่างรู้จักวางตัว
จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็ใช้มือข้างหนึ่งกดไปตรงบั้นเอว สายรุ้งห้าสีสายหนึ่งพุ่งออกมา จมหายไปกลางอากาศราวกับลำแสงอัสนีศิลาเพลิง
แม้ว่าจากเนตรวิญญาณของหานลี่ ก็ทำได้เพียงมองเห็นรางๆ ครู่หนึ่ง นั่นดูเหมือนหมาไม้น้อยติดปีกตัวหนึ่ง เปล่งแสงห้าสีสันออกมา
หานลี่ถูกความเร็วของอสูรน้อยทำให้ตกตะลึง อดที่จะมองไปยังหญิงสาวสวมงอบแวบหนึ่งอย่างมีเลศนัยไม่ได้
แต่หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับยืนขึ้นแล้วเอ่ยว่า
“พวกเราไปกันเถิด ไปรอสหายสือแถวเขตอาคมก็แล้วกัน”
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่มีท่าทีคัดค้าน
ดังนั้นทั้งสองคนจึงเปล่งแสงวาวโรจน์ กลายเป็นลำแสงหลีกหนีสองสายพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ บินออกห่างจากพวกเผ่าแมลงมีเขา
ระหว่างทางทัศนียภาพบนพื้นดินล้วนเหมือนเดิม สิ่งที่เข้ามาในครรลองสายตาล้วนเป็นพายุทรายสีเหลือง
มีซากปรักหักพังปรากฏขึ้นท่ามกลางพายุทรายอยู่รางๆ
หานลี่มาถึงที่นี่เมื่อสองสามวันก่อน แล้วมองเห็นภาพรวมคร่าวๆ ของซากปรักหักพังแล้ว
ที่นี่มีพื้นที่กว้างใหญ่ ประมาณสองสามล้านลี้
ยังมีสถานที่จำนวนไม่น้อยที่มีเขตอาคมต้องห้ามวางอยู่ ดูอันตรายเป็นอย่างมาก
โชคดีที่หานลี่ได้รับคำเตือนจากพวกของไช่หลิวอิง และหลบหลีกแดนเหล่านี้ไปให้ไกล มิเช่นนั้นที่นี่คงมีกลไกโบราณที่คล้ายกับหุ่นเชิดวิหคอัสนีก็มากกว่าตัวเดียว
ส่วนเขตอาคมต้องการที่พวกของไช่หลิวอิงจดจำไม่ลืมเลือนนั้น ก็คือสถานที่ที่ดูแล้วอันตรายที่สุด
หลังจากที่ทั้งสองคนบินมาได้สองสามหมื่นลี้อย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็หยุดลำแสงหลีกหนีลง
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วมองไปเบื้องหน้า
เห็นเพียงด้านล่างไกลออกไปหมอกลำแสงสีขาวขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางร้อยจั้ง ค่อยๆ หมุนวนอยู่ท่ามกลางพายุทราย ปล่อยให้พายุทรายส่งเสียงหวีดร้อง ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด
และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพายุทรายสัมผัสกับหมอกลำแสงนี้ ก็ทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไป ราวกับถูกกลืนกินไปจนเกลี้ยง
สิ่งที่ทำให้ยิ่งขนลุกซู่ก็คือ รอบด้านของหมอกลำแสงมีโครงกระดูกอสูรกองอยู่เกลื่อนพื้น
กว่าครึ่งล้วนถูกเม็ดทรายสีเหลืองปกคลุมเอาไว้ ทว่าก็เผยหัวกะโหลกสีดำปนเหลืองออกมา ไม่รู้ว่าอยู่ที่นี่มากี่ปีแล้ว บ้างกลับเป็นสีขาวโพลนเหมือนใหม่ เห็นได้ชัดว่าเป็นโครงกระดูกอสูรประหลาดที่เพิ่งตาย
ยามนี้ในมือของหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันมีจานอาคมประหลาดขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏออกมา พลางพิจารณาอย่างละเอียด
“ใช่แล้ว ที่นี่แหละ นี่คือแดนต้องห้ามของท่านอาจารย์และท่านอาวุโสต้วน”
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
“ดูอันตรายมาก! ทว่าในเมื่อท่านอาวุโสทั้งสองทุ่มเทขนาดนี้ให้พวกเรามารวมตัวกันที่นี่เพื่อทำลายเขตอาคมจะต้องมีความมั่นใจอยู่หลายส่วนแน่” หานลี่กวาดตามองบนโครงกระดูกอสูร แต่กลับเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง จากคำพูดของท่านอาจารย์ เขตอาคมต้องห้ามแห่งนี้เป็นสิ่งกลายสภาพมาจากลำแสงเทวะดูดปราณและ ‘ลำแสงเขียวไท่อี่’ ในสมัยโบราณ หากจะทลายมัน มีเพียงต้องใช้ลำแสงเทวะดูดปราณที่เป็นปฏิปักษ์กับมันตามธรรมชาติ คิดดูแล้วที่รวบรวมพวกเราที่มีร่างของเทวะดูดปราณทั้งสามคนมา น่าจะเพียงพอให้ทำลายเขตอาคมนี้แล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เข้าใจเขตอาคมตรงหน้ามากกว่าหานลี่ไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ลำแสงเขียวไท่อี่!” หานลี่ที่เดิมสีหน้าราบเรียบกลับอดที่จะร้องอุทานออกมาเบาๆ ไม่ได้ ใบหน้าพลันมีความตกตะลึงระคนดีใจฉายแวบผ่าน
“อันใด พี่หานสนใจลำแสงประหลาดนี้หรือ?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ดูเหมือนจะพบสีหน้าแปลกประหลาดของหานลี่ จึงเอ่ยถามด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
“ผู้แซ่หานมีสมบัติดูดปราณอยู่กับตัว แน่นอนว่าย่อมเข้าใจลำแสงประหลาดเหล่านี้อยู่บ้าง ว่ากันว่าลำแสงเขียวไท่อี่เลื่องชื่อว่าเป็น ‘มีดล่องหน’ แหลมคมมาก หากปล่อยออกมาอานุภาพแทบจะเทียบกับไอกระบี่ไร้รูปได้ สังหารอีกฝ่ายได้ในพริบตา ไม่รู้ว่ามหัศจรรย์เช่นนั้นหรือไม่” หานลี่กลับมีสีหน้าปกติ และเอ่ยออกมาเบาๆ
“ดูแล้วพี่หานคงรู้จักลำแสงเขียวไท่อี่อยู่ไม่น้อยจริงๆ ข้าได้ยินท่านอาจารย์กล่าวว่าลำแสงนี้แม้จะมีอานุภาพไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้น่าตกตะลึงเท่าในตำนาน แต่หากใช้ลำแสงประหลาดนี้สร้างเขตอาคม ก็เป็นสิ่งที่ไร้เทียมทาน เอาชนะไม่ได้ มิเช่นนั้นตอนแรกท่านอาจารย์คงพยายามเสี่ยงอันตรายทลายเขตอาคมต้องห้ามนี้แล้วเอาสมบัติกลับมาแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นลำแสงเขียวไท่อี่ก็ไม่อาจฝึกฝนในวันหลังได้เช่นกัน มีเพียงต้องอาศัยพลังที่สร้างขึ้นจากธรรมชาติสร้างขึ้น ในแดนวิญญาณของพวกเรา ลำแสงประหลาดนี้หาได้ยากกว่าลำแสงเทวะดูดปราณนัก ผู้ที่ฝึกฝนลำแสงเทวะดูดปราณ บางครั้งก็ยังพอได้ยินมาบ้าง แต่ผู้ที่ฝึกฝนลำแสงเขียวไท่อี่นั้น กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนตั้งแต่ในอดีตกาล” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยอธิบาย
“เช่นนั้นเขตอาคมด้านล่างก็น่าจะมีสมบัติที่สามารถควบคุมลำแสงเขียวไท่อี่อยู่ชิ้นหนึ่งสินะ ไม่ก็มีสิ่งที่มีลำแสงชนิดนี้แฝงอยู่!” หางตาของหานลี่กระตุก อดที่จะเอ่ยถามย้อนกลับไม่ได้