คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1700 สายฟ้าสีม่วง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1700 สายฟ้าสีม่วง
หานลี่เห็นประตูบานนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี แต่ร่างกายก็เคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด กายเป็นเงาลวงตาแล้วหายวับไปจากที่เดิม
ครู่ต่อมาด้านหน้าประตูลำแสงพลันมีเงาสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ หานลี่จมหายเข้าไปข้างใน หุ่นเชิดวานรยักษ์ตัวนั้นพลิ้วกาย แล้วไล่ตามไปติดๆ
ชั่วพริบตาที่หุ่นเชิดหายวับไปจากในประตูลำแสง ดวงแสงสีดำและฟ้าที่เดิมลอยอยู่กลางอากาศก็เปล่งเสียงคำราม ผิวของมันเริ่มมีลำแสงประหลาดหมุนวนโคจร กลายเป็นลำแสงเจิดจ้าแสบตาแล้วระเบิดออก
ตาข่ายเส้นไหมยักษ์ที่เดิมห่อหุ้มอยู่ทั่วทั้งจัตุรัส แตกออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน และกลายเป็นลำแสงวิญญาณสลายหายไป
ดังนั้นครู่ต่อมาประตูลำแสงบานใหญ่ยักษ์ก็เปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ บรรยากาศรอบด้านบิดเบี้ยวแล้วสลายหายไป
ทุกอย่างในจัตุรัสกลับสู่สภาพเดิมทุกระเบียบนิ้ว
ทว่าหานลี่และหุ่นเชิดวานรยักษ์ตัวนั้นหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยมาที่นี่มาก่อน
แทบจะในเวลาเดียวกัน บันไดหินด้านนอกตำหนัก สือคุนอยู่ห่างจากยอดเขาไปไม่ถึงร้อยขั้นเศษ และมองเห็นประตูวิหารอยู่รางๆ
ส่วนหลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็อยู่ห่างออกไปสองสามร้อยขั้น
เป็นเพราะทั้งสองรู้ว่าหานลี่เข้าไปในวิหารแล้ว สีหน้าจึงเยือกเย็น แล้วก้มหน้าลง
…….
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงแล้วเบิกตาขึ้นอีกครั้ง มองเห็นทุกอย่างในครรลองสายตาอย่างชัดเจน
เขาที่ออกมาจากประตูลำแสง อยู่ตรงหน้าวิหารสีทองอมม่วงหลังหนึ่ง
ประตูของวิหารหลักดูธรรมดาๆ ใช้วัตถุดิบธาตุทองสร้างขึ้นเช่นกัน มีเพียงผิวที่สลักอักขระง่ายๆ เอาไว้ กลับเป็นด้านบนประตูที่มีแผ่นป้ายใหญ่ยักษ์ยาวเจ็ดแปดจั้งแขวนอยู่ ด้านบนเขียนตัวอักษรโบราณสีทองเอาไว้ หานลี่พิจารณามองไป ก็อดที่จะใจเต้นไม่ได้
แม้ว่าจะไม่รู้จักอักขระโบราณเหล่านี้ แต่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยไม่ต่างอันใดกับอักขระลูกอ๊อดสีเงิน น่าจะเป็นอักขระจ้วนทองไม่ผิดแน่
น่าเสียดายผู้ที่เข้าใจอักขระจ้วนท้องในแดนวิญญาณนั้นมีอยู่น้อยมาก ตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ยังไม่อาจล่ำเรียนได้
มิเช่นนั้นบางทีจากอักขระโบราณเหล่านี้ อาจจะมองอันใดออก
หานลี่ขบคิดเช่นนี้เช่นกัน หลังจากสายตามองไปยังประตูที่ปิดสนิทแวบหนึ่ง ก็กระตุ้นวานรยักษ์ที่อยู่ด้านข้าง
หุ่นเชิดสาวเท้าไป ผ่านบันไดสองสามขั้นไป มาถึงประตูวิหารหลัก สองมือยกขึ้นกดไปบนประตู เตรียมจะผลักประตูออกเหมือนบานก่อนหน้า
แต่ครั้งนี้ความคิดของหานลี่กลับไม่สมหวัง ล้มเหลวแล้ว
เมื่อสองมือของวานรยักษ์สัมผัสกับประตูวิหารที่ดูธรรมดาๆ ฉับพลันนั้นบนประตูก็มีเสียงฟ้าผ่าทุ้มต่ำดังขึ้น จากนั้นเสียงอึกทึกพลันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลิ่นอายการทำลายล้างแผ่ออกมาจากประตู
“แย่แล้ว”
แม้ว่าประตูบานใหญ่จะอยู่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ยังร้องว่าแย่แล้วในใจ ผิวเปล่งเสียงฟ้าผ่าออกมาเช่นกัน ชุดอัสนีสีเขียวขาวปรากฏขึ้นคุ้มครองร่างของเขาเอาไว้
จากนั้นเขาพลันโน้มกายท่อนบน กายท่อนล่างไม่ทันได้เคลื่อนไหว แต่สองเท้าพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วไถลออกไป
การเคลื่อนไหวเงียบเชียบ ราวกับภูตผีอย่างไรอย่างนั้น
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นประตูวิหารก็เปล่งแสงสีม่วงเจิดจ้า ประจุไฟฟ้าสีม่วงปรากฏออกมา เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วกลายเป็นอสรพิษสีม่วงยี่สิบสามสิบตัวพุ่งออกมาจากประตู
หุ่นเชิดวานรยักษ์ที่อยู่ใกล้แค่คืบ ถูกประจุไฟฟ้ากลืนกินไปในพริบตา กลายเป็นควันสีเขียวสลายหายไป
ประจุไฟฟ้าสีม่วงเหล่านี้ไม่มีเจตนาจะหยุดยั้งเลยสักนิด มันดีดตัวออก คาดไม่ถึงว่าจะทยอยกันพุ่งมาโจมตีด้านข้างหานลี่ ราวกับว่าตัวมันมีสติสัมปชัญญะก็ไม่ปาน
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี
หากไม่มีเขตอาคมกำจัดการเหาะเหิน แน่นว่าเขาย่อมใช้เคล็ดวิชาหลีกหนีที่มหัศจรรย์ต่างๆ หลบหลีกหนีไป แต่ยามนี้ไม่อาจลอยขึ้นไป ต่อให้กายเนื้อของเขาจะรวดเร็วแค่ไหน ก็ไม่อาจหลบหลีกการโจมตีของอัสนีตรงหน้าได้
ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขายกมือขึ้นอย่างร้อนใจ โล่แวววาวปรากฏขึ้นตรงหน้า
เปล่งแสงสว่างวาบ โล่เล็กๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดสองสามจั้ง
จากนั้นร่างของหานลี่ก็มีไอสีดำหมุนวน เกราะมารโหดเหี้ยมชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางประจุไฟฟ้าสีเขียวขาว ห่อหุ้มร่างของหานลี่เอาไว้อย่างแน่นหนา
นั่นก็คือเกราะมารเหนือฟ้าที่ซ่อมแซมเสร็จแล้ว
ภายใต้สายฟ้าสีม่วง อสรพิษยี่สิบสามสิบตัวโจมตีไปยังโล่ยักษ์ที่อยู่ด้านหน้าสุด
โล่ผลึกวารีสามารถบิดเบี้ยวการโจมตีได้ เคยสำแดงอานุภาพในมือของหานลี่มาหลายครั้ง มีคุณประโยชน์ไม่น้อย
แต่ครั้งนี้กลับไม่เหมือนกัน
เห็นได้ชัดว่าประจุไฟฟ้าสีม่วงไม่เหมือนกับสายฟ้าธรรมดาๆ จากพลังมหัศจรรย์ของโล่ผลึกยักษ์คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่หนึ่งในสามส่วนเท่านั้น ฝืนแยกโล่ออกเป็นสองส่วน
การโจมตีที่เหลือกว่าครึ่งยังคงโจมตีไปบนนั้นอย่างแน่นหนา
สายฟ้าสีม่วงระเบิดออก กลิ่นอายร้อนฉ่าที่น่ากลัวกลืนโล่ยักษ์เข้าไป
ฉากที่ยากจะเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าโล่ยักษ์จะหลอมละลายอย่างรวดเร็วท่ามกลางประจุไฟฟ้าสีม่วงที่ห่อหุ้มอยู่ ชั่วพริบตาก็กลายเป็นของเหลวโปร่งใส จมหายไปในพื้นอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่พลันตกตะลึง มือหนึ่งร่ายอาคมอย่างไม่ต้องขบคิด ชุดอัสนีบนร่างเปล่งเสียงอึกทึกพลางกลายเป็นตาข่ายไฟฟ้าสีเขียวขาวม้วนวนออกมา และตัดสลับไปมากับประจุไฟฟ้าสีม่วง
ชุดอัสนีกลายเป็นประจุไฟฟ้า สร้างขึ้นจากเคราะห์เมฆาที่หานลี่เก็บได้กลางอากาศ แน่นอนว่าอานุภาพย่อมไม่ธรรมดา ไม่ใช่สิ่งที่พลังของเพลิงอัสนีปกติจะเทียบเทียมได้
แต่หลังจากที่ประจุไฟฟ้าสองชนิดตัดสลับไปมาพลางกะพริบวาบๆ ชั่วขณะนั้นแสงสีเขียวขาวก็สลายหายไป คาดไม่ถึงว่าจะถูกประจุไฟฟ้าสีม่วงกลืนกินลงไปจนเกลี้ยง กลับทำให้ลำแสงสีม่วงเจิดจ้าขึ้น
หานลี่หน้าซีดขาว รีบร้อนสะบัดแขนเสื้อไปเบื้องหน้าอีกครั้ง เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองดีดตัวออกมา
แต่การเคลื่อนไหวนี้กลับสายไปแล้ว ประจุไฟฟ้าสีม่วงเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นแสงสีม่วงหนาเท่าปากชามสองสามสาย เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วโจมตีไปบนเกาะมารเหนือฟ้าบนร่างของหานลี่
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นพลันดังขึ้น ร่างของหานลี่ซวนเซไป ร่างทั้งร่างถูกลำแสงอัสนีสีม่วงสายหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้
แต่ทันใดนั้นเขาพลันร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว เกราะมารบนร่างพองตัวขึ้น ลวดลายสีดำบนผิวเกราะปรากฏขึ้นราวกับมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น กลายเป็นอักขระสีดำทอตัวอยู่เต็มไปหมด แล้วปะทะเข้ากับประจุไฟฟ้าสีม่วง
อักขระที่ดูเหมือนไม่สะดุดตาเหล่านี้ อานุภาพกลับยิ่งใหญ่เกินที่คาดคิดเอาไว้ เมื่อสัมผัสกับประจุไฟฟ้าสีม่วงคาดไม่ถึงว่าจะระเบิดออกทั้งคู่ จากนั้นพลันกลายเป็นพายุเปลวเพลิงสีดำและม่วง วนล้อมรอบหานลี่
เมื่อสองเท้าของหานลี่ยืนได้อย่างมั่นคง และยืดตัวตรงนั้น ไม่ใช่แค่สายฟ้าสีม่วงที่หายวับไป พายุประหลาดก็สลายหายไปทันที
หานลี่ถอนหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง มองเกราะมารเหนือฟ้าบนร่าง อดที่จะบ่นพึมพำว่าโชคดีจริงๆ ไม่ได้
หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เขาซ่อมแซมเกราะมารชิ้นนี้แล้ว แม้ว่าการโจมตีที่คาดไม่ถึงเมื่อครู่จะไม่อาจทลายมันได้จริงๆ แต่ก็คงได้รับบาดเจ็บหนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น เขาก็หน้าดำผมกระเซิง ท่าทางสะบักสะบอมเล็กน้อย
หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง กวาดตามองของเหลวแวววาวบนพื้นแวบหนึ่ง ในใจพลันรู้สึกเสียดายขึ้นมา
โล่ผลึกน้ำถูกทำลายจนเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจซ่อมแซมได้อีก
มองประตูวิหารหลักที่กลับมาเงียบสงัดเหมือนเดิมแวบหนึ่ง แววตาของหานลี่พลันเปล่งประกาย เผยสีหน้าลังเลออกมา
คาดไม่ถึงว่าประตูของวิหารหลักจะวางเขตอาคมที่ร้ายกาจเช่นนี้ ด้านในจะต้องมีสิ่งสำคัญของเซียนในสมัยโบราณหลงเหลืออยู่แน่ แต่เขตอาคมต้องห้ามน่ากลัวเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะทำลายได้จริงๆ ก็ไม่อาจทำได้ในเวลาอันสั้นแน่ และหากเสียเวลาไปขนาดนี้ สือคุนและพวกทั้งสองก็คงมาถึงพอดี เกรงว่าคงกลายเป็นการทำชุดแต่งงานให้ผู้อื่น[1]ได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ
เมื่อตัดสินใจแล้ว หานลี่ก็ไม่ลังเลอีก ทันใดนั้นพลันหันกาย เดินไปตามทางเดินหิน ตรงไปยังวิหารด้านข้างอีกหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง
คิดดูแล้วต่อให้ที่นั่นมีเขตอาคมต้องห้ามอยู่ ก็คงไม่น่ากลัวเท่าตรงนี้ น่าจะมีโอกาสให้เข้าไปได้
แน่นอนว่าในเวลาเดียวกันที่เขาบินเข้ามาอย่างรวดเร็วนั้น เขาพลันสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวบินออกมา คาดไม่ถึงว่าจะปล่อยหุ่นเชิดวานรยักษ์ออกมาตัวหนึ่ง
เป็นเพราะบทเรียนจากในอดีต หุ่นเชิดตัวนี้ถูกปล่อยออกมาก็แทบจะหมอบติดอยู่กับพื้น แล้วร่อนลงมาบนพื้นอย่างมั่นคง
ภายใต้การกระตุ้นของหานลี่ หุ่นเชิดตัวที่สองพลันสาวเท้าเข้าไปยังด้านของวิหารข้าง
หานลี่เดินตามหลังไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เดินตามทางเดินหินไป กลับไม่พบความผิดปกติอันใด หานลี่มาถึงด้านหน้าวิหารอย่างราบรื่น
วิหารข้างนี้ดูแล้วมีขนาดเล็กกว่าวิหารหลักหนึ่งในสามส่วน แต่ไม่ว่ารูปร่างหรือวัตถุดิบที่ใช้สร้างก็เหมือนกับวิหารหลักทุกระเบียบนิ้ว แม้กระทั่งประตูของวิหารข้างก็มีขนาดเล็กกว่าสองสามส่วน บนแผ่นป้ายเขียนตัวอักษรจ้วนทองเอาไว้เช่นกัน
ประตูใหญ่ของวิหารข้างดูเหมือนจะวิจิตรงดงาม หางตาของหานลี่อดที่จะกระตุกสองสามคราไม่ได้ หลังจากขบคิดเล็กน้อย ร่างกายก็พลิ้วไหวแล้วถอยออกมา หลังจากห่างออกจากวิหารข้างไปได้สี่สิบจั้งถึงได้หยุดฝีเท้าลง
จากนั้นพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้น ยันต์วิเศษสองสามแผ่นพลันปรากฏขึ้นในมือ แล้วแปะลงไปบนเรือนร่างอย่างรวดเร็ว
เกราะป้องกันหลากสีสันสองสามชั้นพลันปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องทันที
จากนั้นหานลี่พลันใช้สองมือร่ายอาคม เสียงอึกทึกดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองพลังปรากฏขึ้นรางๆ
หลังจากเตรียมการป้องกันแล้ว หานลี่ก็กระตุ้นหุ่นเชิดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทันใดนั้นร่างของวานรยักษ์พลันมาอยู่ตรงหน้า ยกแขนอันใหญ่โตทั้งสองข้างขึ้นเช่นกัน กดลงไปบนประตู
หานลี่อดที่จะกลั้นลมหายใจไม่ได้
เสียง “ครืด” ดังขึ้น ประตูทั้งสองบานค่อยๆ เปิดออก คาดไม่ถึงว่าประตูบานนี้จะไม่มีเขตอาคมต้องห้ามอันใด
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมดีอกดีใจเป็นอย่างมาก ทว่าเพื่อความปลอดภัย จึงไม่ได้เคลื่อนไหวในทันที แต่ยังคงควบคุมหุ่นเชิดให้เดินเข้าไปข้างในก่อน
รอจนหุ่นเชิดวานรยักษ์เดินเข้าไปในวิหารแล้วยังคงไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาถึงได้วางใจลงจริงๆ
ทันใดนั้นร่างพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ยันต์วิเศษสองสามชั้นที่กลายเป็นเกราะป้องกันหายวับไปในทันตา หลังจากกำหมัดทั้งสองข้างอย่างรวดเร็วแล้ว ประจุไฟฟ้าสีทองในแขนเสื้อก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาสาวเท้ามาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วตรงไปที่ประตูวิหารข้าง
เมื่อหานลี่เดินเข้าไปในวิหารข้าง หุ่นเชิดวานรยักษ์ก็ยืนอยู่ด้านข้างในประตู คอยรักษาการณ์นิ่งงันอยู่ตรงนั้น
สายตากวาดมองไปด้านในวิหารอย่างรวดเร็ว เขามองเห็นทุกอย่างด้านในทันที สีหน้าจึงเผยความประหลาดใจออกมา
เห็นเพียงด้านหน้าวิหารมีโต๊ะบูชาสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกอยู่ตัวหนึ่ง
บนโต๊ะมีศาลเจ้าเปล่งแสงสีม่วงระยิบระยับตั้งอยู่ ด้านในเปล่งแสงเรืองๆ ออกมา เผยให้เห็นเทวรูปอยู่รางๆ
และตรงข้ามกับเทวรูป ก็มีฟูกสีเหลืองนวลเรียงรายอยู่เป็นร้อยอัน ในเวลาเดียวกันมุมทั้งสี่ของวิหารก็มีกระถางธูปสีเขียวตั้งอยู่
กลิ่นอายของธูปหอมอบอวลไปทั่วทั้งวิหาร
[1] ทำชุดแต่งงานให้ผู้อื่น หมายถึง ตนเองทำแทนคนอื่น ลำบากเสียเปล่า