คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1709 ฉากกั้นห้องและหม้อสีทอง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1709 ฉากกั้นห้องและหม้อสีทอง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ผู้แซ่สือเองก็ได้รับคำสั่งมา ไม่อาจปล่อยยาลูกกลอนวิญญาณสูญไปได้ ไม่สู้เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน นอกจากยาลูกกลอนวิญญาณสูญแล้ว ของที่เหลือข้าน้อยจะมอบให้เซียน เซียนไม่ต้องแย่งชิงกับผู้แซ่สือหรอก และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากนี้ ท่านอาจารย์จะต้องตกรางวัลให้กับท่านอาวุโสไฉ่แน่” สือคุนได้ยินคำพูดของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ ก็หัวเราะหึๆ ออกมา แต่น้ำเสียงกลับเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
“สหายสือหมายความว่าอย่างไร นี่ไม่ใช่พูดซ้ำกับน้องหญิงหรือ ท่านอาจารย์สั่งไว้ชัดเจน จะต้องเอายาลูกกลอนวิญญาณสูญมาให้ได้ หากสหายยอมถอยให้ น้องหญิงจะตัดสินใจแทนอาจารย์ มอบ ‘ของเหลวผลึกจันทรา’ สมบัติประจำเผ่าผลึกของพวกเราให้ท่านขวดหนึ่ง ของเหลวนี้มีค่ากับเผ่าศิลารังไหมแค่ไหน คิดดูแล้วพี่สือน่าจะรู้ดีสินะ สำหรับสิ่งมีชีวิตระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าท่าน ของเหลววิญญาณนี้เป็นสิ่งที่ร้องขอก็ไม่มีทางได้มา” แววตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ฉายแววเย็นเยียบ แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนมาก
“ของเหลวผลึกจันทรา”
เมื่อได้ยินชื่อนี้สือคุนพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย รู้สึกคาดไม่ถึงและรู้สึกสนใจมากหลายส่วนจริงๆ
แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนออกเดินทางต้วนเทียนเริ่นได้สั่งการเขาเอาไว้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก หลังจากรู้สึกตื่นเต้นแล้ว ก็โยนความคิดนี้ทิ้งไป ทันใดนั้นก็สั่นศีรษะปฏิเสธระรัว
“ไม่ได้ แม้ว่าข้าน้อยจะอยากได้ของเหลวผลึกจันทรามาก แต่หากไม่มียาลูกกลอนวิญญาณสูญล่ะก็ ผู้แซ่สือจะออกไปรายงานกับท่านอาจารย์ว่าอย่างไร เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้”
“เช่นนั้นสหายสือก็ไม่คิดจะยอมถอยเลยสินะ” น้ำเสียงของหลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็ไม่เป็นมิตรขึ้นมาเล็กน้อย
ครั้งนี้สือคุนกลับไม่ได้ตอบอันใด แค่มองหลิวสุ่ยเอ๋อร์ด้วยสีหน้าเย็นชา ความหมายของเขาย่อมชัดเจนไม่ผิดพลาด
จากนั้นหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่เอ่ยปากอีก แววตาค่อยๆ เย็นยะเยือกขึ้นเช่นกัน
บรรยากาศของทั้งสองเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
หานลี่เห็นฉากนี้ ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
“เหตุใดสหายทั้งสองต้องทำเช่นนี้! แม้ว่าข้าน้อยจะไม่รู้ว่ายาลูกกลอนวิญญาณสูญมีผลลัพธ์ที่น่าตกตะลึงใด จนให้ท่านอาวุโสทั้งสองอยากได้มาให้ได้ แต่ยามนี้ทั้งสองท่านยังไม่พบยาลูกกลอนชนิดนี้ก็ทำท่าเหมือนลูกศรพร้อมออกจากแล่งแล้ว ไม่คิดว่ามันเร็วเกินไปหน่อยหรือ!” ฉับพลันนั้นเขาพลันเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เร็วเกินไป? พี่หานหมายถึง…” สือคุนหน้าเปลี่ยนสี แล้วเอ่ยปากออกมา
หลิวสุ่ยเอ๋อร์ได้ยิน แววตางดงามพลันฉายแววแปลกประหลาด
“ท่านอาวุโสทั้งสองมั่นใจว่าในวิหารจะต้องมียาลูกกลอนวิญญาณสูญแน่ คิดดูแล้วคงคาดเดาจากเบาะแสต่างๆ แต่สถานการณ์ในนี้เป็นอย่างไรกันแน่ ก็พูดยากแล้ว เหตุใดสหายทั้งสองถึงไม่เข้าไปยืนยันสมบัติชิ้นนี้ก่อน จากนั้นค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ สือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็เงียบขรึมขึ้น
ว่ากันตามจริงแล้วจากประสบการณ์ของทั้งสองแน่นอนว่าย่อมขบคิดถึงความเป็นไปได้นี้ แต่ชั่วพริบตาที่ประวิหารถูกทำลาย ทั้งสองก็กังวลว่าอีกฝ่ายจะชิงเอายาลูกกลอนไป แน่นอนว่าครานั้นจึงไม่สนใจเรื่องนี้
ยามนี้เมื่อได้ยินหานลี่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ทั้งสองก็มีสีหน้ากระจ่างแจ้งอีกครั้ง แน่นอนว่าย่อมขบคิดถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบทันที
คิดว่าหากมั่นใจว่าในตำหนักมีของ ค่อยหาวิธีเอายาลูกกลอนมา ก็จะมั่นคงกว่า
“พี่หานพูดมีเหตุผล สหายสือ พวกเราเข้าไปดูว่ายาลูกกลอนวิญญาณสูญอยู่ในวิหารหรือเปล่า จากนั้นค่อยปรึกษากันก็แล้วกัน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันเอ่ยปากก่อนอย่างแช่มช้า
“เซียนกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่สือก็ไม่มีความเห็นอื่น” เมื่อคิดได้ว่ายังมีหานลี่อยู่ด้วย ความจริงแล้วก็ส่งผลกระทบว่ายาลูกกลอนจะเป็นของใครเป็นอย่างมาก ใบหน้าของสือคุนจึงแสยะยิ้มออกมา เอ่ยปากรับเต็มคำ
“ในเมื่อสหายทั้งสองไม่มีความเห็น พวกเราสามคนก็เข้าไปข้างในกันเถิด อย่าแยกกันเลย” หานลี่เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ แล้วสาวเท้าไปข้างหน้า จนมาอยู่ข้างกายของทั้งสองคน
สือคุนและพวกทั้งสองย่อมไม่ได้ปฏิเสธ ล้วนพากันพยักหน้า
ดังนั้นทั้งสามคนจึงเดินตามกันเข้าไปในประตูวิหาร จากนั้นก็เรียงกันเป็นแถว พลางพิจารณาด้านในวิหาร
สมกับที่เป็นวิหารหลักจริงๆ!
ทั้งวิหารมีความกว้างเกือบพันจั้ง บรรจุคนได้สองสามพันคนพร้อมกันได้เหลือเฟือ
สิ่งที่เข้าตาที่สุดก็คือเสาสีม่วงทองในวิหาร ทุกต้นล้วนบางเท่าตัวคน มีอยู่มากกว่าร้อยต้น
กำแพงวิหารรอบด้านมีอาวุธที่ดูโบราณและวิจิตรงดงามแขวนอยู่ ไม่เป็นขวานยาวก็เป็นขวานยักษ์ ทุกด้ามล้วนเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ แผ่ไอวิญญาณออกมา
ภายใต้การกวาดมองอย่างลวกๆ ก็มีเกือบพันชิ้น
ด้านล่างกำแพงตำหนัก ทุกๆ ระยะหนึ่งจะมีหมวกเกราะหลากสีสันวางกองอยู่
ในหมวกเกราะนั้นว่างเปล่า ผิวของมันมีลวดลายวิจิตรงดงามสลักอยู่ แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่หมวกเกราะธรรมดา
สุดทางเดินด้านตรงข้ามกับประตูวิหาร มีฉากกั้นห้องขนาดยักษ์สูงเจ็ดแปดจั้งวางอยู่
ผิวของฉากกั้นเปล่งแสงสีเขียวเรืองๆ ด้านบนดูเหมือนว่าจะวาดภาพอันใดสักอย่าง แต่เป็นเพราะมันไกลเกินไปจึงไม่อาจมองให้ชัดในทันที
ด้านหน้าฉากกั้นห้องมีโต๊ะเตี้ยๆ ราวกับโต๊ะน้ำชาอยู่อีกตัวหนึ่ง วางหม้อโบราณสีทองเอาไว้
นอกจากนี้ ทั้งตำหนักก็ว่างเปล่า ไม่มีของประดับใดๆ อีก ทั้งสามไม่จำเป็นต้องไปเสียแรงตามหาสมบัติใดๆ
เมื่อเห็นว่าในตำหนักมีรูปร่างเป็นเช่นนี้ หลิวสุ่ยเอ๋อร์ สือคุนและพวกย่อมรู้สึกตกตะลึง
หานลี่มองไปที่ฉากกั้นและหม้อสีทองที่อยู่ไกลออกไปชั่วครู่ ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเดินไปโดยไม่ได้ปริปากอันใด
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนเห็นการเคลื่อนไหวของหานลี่ ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง แต่ทันใดนั้นก็เลื่อนสายตาออก แล้วเดินตามไปโดยไม่ปริปากใดๆ
ถึงอย่างไรเสียทั้งตำหนักนั้นนอกจากทางนี้แล้ว ก็ไม่มีทางอื่นให้ค้นหาอีก
ดังนั้นภายใต้บรรยากาศที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ทั้งสามคนจึงมาอยู่ห่างจากฉากกั้นห้องและหม้อสีทองไปสิบจั้งเศษ
สองเท้าหยุดชะงัก หานลี่หยุดอยู่ที่เดิม พิจารณาทั้งสองอย่างละเอียด
ทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนั้น ก็หยุดฝีเท้าตามความรู้สึก แล้วมองไปยังของทั้งสองสิ่งพร้อมกันด้วยสีหน้าที่หลากหลาย
หานลี่เอาสองมือไพล่หลัง ดูเหมือนจะมีสีหน้าราบเรียบ แต่นัยน์ตาพลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบไม่หยุด แม้ว่าผิวของฉากกั้นห้องจะมีแสงสีเขียวบดบังอยู่ แต่จะต้านทานอิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณได้อย่างไร
ชั่วพริบตานั้นเขาก็มองเห็นสิ่งที่ปักอยู่บนฉากกั้นห้องอย่างชัดเจน
ผลคือสีหน้าตกตะลึงพลันฉายแววสว่างวาบ
บนฉากกั้นห้องมีประตูประหลาดยักษ์ที่มีอักขระยันต์สีทองและเงินปักอยู่
ประตูบานนี้มีรูปทรงเก่าแก่โบราณ บานประตูเป็นสีดำ แต่ผิวของมันมีอักขระยันต์สองชนิดเปล่งแสงสว่างวาบตัดสลับกันไปมา กลับขับให้เป็นความลึกลับขึ้นหลายส่วน
อักขระยันต์สีทองเงินค่อนข้างคุ้นตา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นตัวอักษรสองชนิดของแดนเซียนนั่นก็คือตัวอักษรลูกอ๊อดสีเงินและอักษรจ้วนทอง
หานลี่เลิกคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ ชั่วพริบตานั้นก็แผ่จิตสัมผัสออกไป ค้นหาในภาพวาดประตูบนฉากกั้นห้อง
ผลคือพริบตาที่สัมผัสกับภาพวาดประตูยักษ์ พลังมหาศาลก็ปรากฏขึ้นบนฉากกั้นห้อง จิตสัมผัสส่วนนั้นไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็ถูกดึงเข้าไปในฉากกั้นห้อง ตัดขาดความสัมพันธ์กับตัวของหานลี่
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ชั่วขณะนั้นในใจพลันรู้สึกหวาดกลัวฉากกั้นห้องนี้หลายส่วน
สือคุนแค่นเสียงหึ ร่างกายถอยร่นไปด้านหลังครึ่งก้าว ทันใดนั้นร่างกายก็หยุดชะงัก
เห็นได้ชัดว่าผู้นี้ก็เสียเปรียบเช่นกัน ดูเหมือนว่าจะเสียเปรียบกว่าหานลี่เท่าหนึ่ง
เป็นเพราะหลิวสุ่ยเอ๋อร์มีงอบบดบังอยู่ จึงไม่อาจมองเห็นสีหน้าได้ชัด แต่ดูจากร่างกายของนางที่สั่นเทาแล้ว ก็มั่นใจได้ว่าสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฉากกั้นห้องนี้เช่นกัน
แม้ว่าจะสูญเสียจิตสัมผัสไปเล็กน้อย แต่เทียบกับจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของเขา แน่นอนว่าย่อมไม่มีผลกระทบอันใด
หานลี่ล้มเลิกการตรวจสอบฉากกั้นห้องนี้ชั่วคราว ก้มหน้าลงสายตาตกอยู่บนหม้อโบราณสีทอง
ตัวหม้อเป็นสีทองเรืองรอง แต่ลวดลายที่สลักบนผิวของมันกลับเป็นลวดลายราวกับเมฆา
ลวดลายเหล่านี้สลับซับซ้อนมาก และส่วนใหญ่ล้วนมีรูปทรงขดเกลียว เรียงตัวอยู่ทั่วหม้อโบราณ หากสังเกตให้ละเอียดก็จะพบว่ามันทำให้เขารู้สึกมึนหัว
หานลี่พลันใจหายวาบ แผ่จิตสัมผัสออกมาด้วยสีหน้าราบเรียบเช่นกัน วนล้อมรอบหม้อสีทองสองสามรอบ แล้วไม่อาจเข้าไปในหม้อได้เลยสักนิด
ไม่รู้ว่าหม้อใบนี้ทำขึ้นจากวัตถุดิบใด คาดไม่ถึงว่าจะกั้นพลังจิตวิญญาณเอาไว้ได้
ทว่าเขาเองก็สัมผัสได้ว่า ทั้งสองฝั่งของหม้อใบนี้มีรอยบุ๋มเข้าไปเป็นสี่เหลี่ยม ดูเหมือนว่าจะเอาไว้ใช้ฝังของสองสิ่งโดยเฉพาะ
หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็สัมผัสอันใดได้ จึงเงยหน้าขึ้นมองที่เหลือทั้งสองคนแวบหนึ่ง ผลคือทำให้ใจเต้น
เห็นเพียงยามนี้หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนคาดไม่ถึงว่าจะจ้องเขม็งไปที่หม้อโบราณสีทองด้วยตาที่ไม่กะพริบ
ไม่ถูก น่าจะจ้องเขม็งไปที่รอยบุ๋มทั้งสองฝั่งบนหม้อถึงจะถูก
สีหน้าของสือคุนเผยสีหน้าดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่งออกมา
“อันใด สหายทั้งสองรู้จักหม้อสีทองใบนี้หรือ!” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วเอ่ยถามอย่างเชื่องช้า
“พี่หานล้อเล่นแล้ว ผู้แซ่สือเองก็เพิ่งเคยเข้ามาที่นี่ครั้งแรก จะรู้จักของสิ่งนี้ได้อย่างไร” สือคุนได้ยิน สีหน้าดีใจพลันหายวับไป แต่กลับสั่นศีรษะขณะเอ่ย
“อ๋อ เช่นนั้นก็ยิ่งแปลก ในเมื่อไม่รู้จัก เหตุใดสหายทั้งสองจึงสนใจหม้อใบนี้ขนาดนี้” หานลี่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางๆ
“เรื่องนี้ พี่หานมิสู้ถามเซียนดูล่ะ นางมีความรู้มากกว่าข้าน้อยไม่น้อย” เมื่อเห็นหานลี่ซักถามอย่างไม่ลดละ ชายร่างใหญ่ก็กลอกตาไปมา แล้วโยนให้หลิวสุ่ยเอ๋อร์เสียเลย
ได้ยินสือคุนกล่าวเช่นนี้ หญิงสวมงอบพลันรู้สึกโมโห แต่เมื่อเห็นหานลี่ส่งเสียงขานรับแล้วหันมามองนาง หญิงสาวผู้นี้ก็ทำได้เพียงเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
“พี่หานไม่จำเป็นต้องกังวลอันใด หม้อใบนี้น่าจะเป็นอาวุธที่ใช้ใส่ยาลูกกลอนวิญญาณสูญและของอย่างอื่นที่ท่านอาจารย์และท่านอาวุโสต้วนต้องการ สาเหตุที่ข้าและสหายสือรู้ ก็เพราะว่าเราสองคนพกของสิ่งหนึ่งมา สหายสือไม่สู้เจ้ากับข้าเอาสิ่งนี้ออกมาให้พี่หานดูเถิด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยออกมาเสียดื้อๆ
“เหอๆ ได้ฟังท่านเซียนกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยก็แปลกใจจริงๆ” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา
“เรื่องนี้…” สือคุนอดที่จะเผยสีหน้าลังเลออกมาไม่ได้ ในเวลาเดียวกันก็ตอบโต้หลิวสุ่ยเอ๋อร์ในใจ แล้วรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก
“อันใด หรือว่าสหายสือคิดว่าไม่ค่อยสะดวก” ดูเหมือนว่าหานลี่จะเอ่ยถามอย่างส่งๆ ไปอย่างนั้น น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นท่าทีปฏิเสธไม่ได้ของหานลี่ ชายร่างใหญ่ก็ใจหายวาบ ทันใดนั้นก็ได้สติกลับคืนมาแล้วหัวเราะฮ่าๆ
“เจ้าสิ่งนี้ หากพี่หานไม่พูด ผู้แซ่สือก็ต้องเอาออกมาใช้อยู่แล้ว ถึงอย่างไรเสียหากอยากได้ของในหม้อ ก็ต้องใช้ของสองสิ่งนี้”
เมื่อเอ่ยจบ ชายร่างใหญ่ก็พลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ชั่วขณะนั้นลำแสงสีทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบ สิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
หานลี่เห็นเช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมจ้องเขม็งไปอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด จึงมองเห็นเจ้าสิ่งนั้นอย่างชัดเจน