คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1718 ร่างระเบิดและจานสีทองเหลือง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1718 ร่างระเบิดและจานสีทองเหลือง
การโจมตีจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์ ต้องการพลังลึกลับมากกว่าที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้
พลังที่แข็งแกร่งกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าโคจรอยู่ในร่างของทารกวิญญาณที่สองไม่หยุด ทำให้ไอสีดำที่เดิมหมุนวนอยู่รอบทารกวิญญาณมีหมอกลำแสงห้าสีปรากฏขึ้นแทน และทำให้ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าราวกับเป่าลม
ของเหลวสีทองในเสาลำแสงดูเหมือนว่าจะสัมผัสอันใดได้ รวมตัวกันกลายเป็นร่างสีทองในเวลาเดียวกัน ห่อหุ้มทารกวิญญาณที่สองเอาไว้ข้างใน
พลังมหาศาลทะลักออกมาจากร่างของทารกวิญญาณ แม้ว่าร่างทองจะไม่อาจรับการโจมตีเช่นนี้ได้ ก็ปริแตกแล้วละลายออกในเวลาเดียวกันที่ทารกวิญญาณที่สองทลายจุดคอขวด
การโจมตีแค่ครั้งเดียวไม่อาจทลายจุดคอขวดของระดับหลอมสุญตาและระดับผสานอินทรีย์ได้
หลังจากที่ทารกวิญญาณที่สองจำใจต้องให้ร่างทองสลายไปนั้น ก็รวบรวมพลังลึกลับขึ้นใหม่อีกครั้ง และเมื่อร่างทองเพิ่งจะสลายหายไป ลำแสงสีม่วงทองที่แผ่ออกมาก็รวมตัวกันอีกครั้ง
การโจมตีอย่างต่อเนื่องเจ็ดแปดครั้ง ทุกการโจมตีล้วนทำให้พลังลึกลับในร่างของทารกวิญญาณที่สองสลายหายไป ในเวลาเดียวกันเป็นเพราะพลังนั้นมหาศาลเกินไป จึงทำให้ร่างทองที่เพิ่งสร้างขึ้นแตกสลายไปอย่างง่ายดาย แต่ภายใต้การควบคุมด้วยจิตสัมผัสของทารกวิญญาณที่สอง ร่างทองก็รวมตัวกันอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็เริ่มรวบรวมพลังลึกลับที่แข็งแกร่งกว่าครั้งก่อน
ความแข็งแกร่งของจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์เหนือกว่าที่จินตนาการเอาไว้ ภายใต้การโจมตีหลายรอบ ก็แค่ทำให้มันคลายลงเล็กน้อยเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่ายังห่างจากการทลวงระดับนี้อยู่อีกไกล
จิตใจของหานลี่พลันหนักอึ้ง
ร่างของเขาในยามนี้พลังยุทธ์และลมปราณก็อยู่ในระดับยอดสุดของระดับหลอมสุญตาขั้นปลายเช่นกัน ไอเย็นเยียบเริ่มยัดเข้าไปในจุดชีพจรต่างๆ ของร่างกาย
ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกตัวบวมพองอย่างชัดเจน
หานลี่รู้สึกตกตะลึงระคนหวาดกลัว แต่เป็นเพราะส่วนลึกในจิตวิญญาณรู้สึกเจ็บปวด จึงทำได้เพียงปล่อยให้ประคองสติของตนเองเอาไว้ ไม่อาจร่ายอาคมหรือกระตุ้นสมบัติใดๆ
แม้ว่าเขาจะมีอิทธิฤทธิ์และสมบัติที่น่าตกตะลึง ยามนี้กลับอับจนหนทาง
ส่วนระลอกคลื่นสีทองที่พ่นออกมาจากเสาลำแสง ก็ยังคงเป็นสีขาวโพลน ไม่มีท่าทีอ่อนเลยสักนิด
หานลี่สัมผัสได้ถึงพลังความลึกลับที่โคจรอย่างรวดเร็วในชีพจร หน้าเปลี่ยนสีเป็นสีขาวซีด
เขารู้ดีแม้ว่าร่างของตัวเองจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่อาจเทียบกับอานุภาพของร่างเทวรูปทองได้
แม้ชั่วพริบตาที่ร่างทองทะลวงจุดคอขวด ทยอยกันหลอมละลาย กายเนื้อของตนก็ไม่อาจรับพลังการโจมตีทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์ใดๆ ได้
พลังของเสาลำแสงมหัศจรรย์เช่นนี้ แต่เทียบกับพลังปราณธรรมดาๆ ก็อัศจรรย์มาก
แต่ความรู้สึกแทบจะนอนรอความตายนี้ ตั้งแต่ที่เขาเหยียบย่างเข้าสู่หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ก็แทบจะไม่เคยประสบมาก่อน แม้ว่าจะมีจิตใจที่เข้มแข็งดุจหินผา แต่ก็อดที่จะรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้
หลังจากผ่านไปแค่ชั่วครู่ร่างของหานลี่ก็ดูเหมือนถูกฉาบด้วยผงสีทอง ไม่เพียงร่างจะเปล่งแสงสีทองเรืองรอง ผิวยังมีเกล็ดสีทองขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มหลอมละลาย กลายเป็นเสื้อชั้นในสีทองอ่อน
แม้จะบางมาก แค่บางๆ ชั้นหนึ่ง แต่มองไกลๆ กลับมองเห็นเป็นเกราะสงครามสีทองที่ชำรุดชิ้นหนึ่ง
นั่นก็คือการฝึกฝนเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้อยู่ในระดับลึกสุดยอด มันจะสร้างชุดเกราะประจำกายขึ้นมาอย่าง ‘ชุดเกราะพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์’
ชุดเกราะสงครามในยามนี้กล่าวไม่ได้ว่ามีอานุภาพใดๆ พลังป้องกันยิ่งสู้เกราะมารเหนือฟ้าไม่ได้แม้หนึ่งในสิบส่วน แต่พลังของเกราะสงครามประจำกายนี้มีจำกัด มันจะเพิ่มขึ้นตามพลังยุทธ์ของผู้เป็นนาย และค่อยๆ พัฒนาขึ้นอย่างช้าๆ และยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะหลอมผนึกขึ้นเอง ยามที่เปลี่ยนแปลงหรือกระตุ้นพลานุภาพย่อมไม่ใช่สิ่งที่เกราะสงครามอื่นๆ จะเทียบเทียมได้
แน่นอนว่าเดิมเกราะสงครามพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ระดับหลอมสุญตาจะหลอมขึ้นได้ แต่เป็นความสามารถของเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ที่พัฒนาสู่ระดับผสานอินทรีย์แล้วชนิดหนึ่ง
ยามนี้หลังจากที่พลังลึกลับฝืนบีบให้ทะลักออกมาจากร่างแล้ว ถึงได้โชคดีกระตุ้นออกมาส่วนหนึ่ง
แม้ว่ายามนี้เกราะชิ้นนี้จะไม่นับว่าแข็งแกร่งอันใด แต่ยิ่งปรากฏขึ้นเร็วเท่าไหร่ แน่นอนว่าย่อมมีพลานุภาพมากขึ้นเท่านั้น สามารถใช้ปราณแท้ประจำกายเพิ่มระดับให้มันได้
แต่เรื่องที่ทำให้หานลี่ดีใจเป็นอย่างมากในยามปกติ แต่สำหรับเขาในยามนี้แม้แต่สายตาก็ไม่ถูกดึงดูดไป
เขาทำได้เพียงโคจรความคิดอย่างรวดเร็ว หมายจะหาวิธีรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้จากอันตรายครั้งนี้
ไม่ต้องพูดถึงสติปัญญาของหานลี่ในยามที่ร้อนใจ หลังจากที่ทารกวิญญาณที่สองทะลวงจุดคอขวดของระดับผสานอินทรีย์ล้มเหลวอีกครั้ง ก็นึกหา ‘วิธี’ ที่ไม่ใช่วิธีได้
นั่นก็คือให้ร่างกายระเบิดออกในพริบตา ทำให้ร่างกายของตนระเบิดก่อน แล้วอาศัยพลังแรงระเบิดช่วยทารกวิญญาณหนีออกมา
แม้ว่าหานลี่ในยามนี้จะไม่อาจกระตุ้นสมบัติและอาคมใดๆ ได้ แต่การเผาไหม้ร่างกายที่เดิมก็เหมือนกระบอกดินปืนอยู่ ทำให้ร่างกายระเบิดก่อน กลับไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้
ถึงแม้ว่าร่างกายจะระเบิดออกเช่นกัน ทั้งสองย่อมไม่เหมือนกัน
การถูกพลังลึกลับทำให้ร่างระเบิด ย่อมไม่อาจควบคุมพลังการระเบิดได้ กว่าครึ่งแม้แต่ทารกวิญญาณก็คงต้องกลายเป็นเถ้าถ่านไปด้วย
แต่การระเบิดตัวเองกลับพอจะผ่อนสถานการณ์ทุกอย่างได้ อานุภาพในการควบคุมร่างกายให้ระเบิดก็อยู่ในขอบเขต ให้โอกาสทารกวิญญาณหลักได้หนีเอาชีวิตรอด
แน่นอนว่าวิธีเช่นนี้เป็นวิธีจนปัญญาหลังจากที่ตายแล้ว!
หากไม่ถึงจุดสำคัญ เขาก็ไม่มีทางนำออกมาใช้
ถึงอย่างไรเสียทารกวิญญาณที่ไม่มีร่าง จุดจบมันน่าอนาถแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
โชคดีที่ในกำไลยังมีร่างวิญญาณของเห็ดเซียนอยู่ หากเหลือเพียงทารกวิญญาณจริงๆ ล่ะก็ ก็มีเพียงต้องสิงมันแล้ว
ทว่าแม้ว่าจะทำตามวิธีนี้ สุดท้ายจะหนีเอาชีวิตรอดได้จริงหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก
แต่นอกจากวิธีการนี้ เขาเองก็ไม่มีวิธีการอื่นจริงๆ
ส่วนทารกวิญญาณที่สอง ก็มีเพียงต้องให้ฟ้าดินเป็นผู้กำหนดแล้ว
เขาในยามนี้ก็ปกป้องตนเองได้ยาก แน่นอนว่าจึงไม่อาจสนใจใดๆ อีก
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว ขณะที่ขบคิดอย่างจนปัญญาแล้ว ในใจก็อดที่จะรู้สึกเสียใจในภายหลังขึ้นมาไม่ได้ มิเช่นนั้นคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทารกวิญญาณทั้งสองต้องเพลี่ยงพล้ำไปพร้อมๆ กัน
อีกเดี๋ยวจุดชีพจรต่างๆ ของเขาก็จะส่งความเจ็บปวดออกมา จะถูกฉีกขาดได้ทุกเมื่อ
สีหน้าของหานลี่เปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง แล้วเริ่มโคจรพลังของจิตวิญญาณที่เหลืออยู่
ชั่วขณะนั้นในชีพจรพลันถูกพลังวิญญาณบริสุทธิ์และพลังลึกลับที่ใส่มาจนถึงขีดจำกัดชักจูง เริ่มหมุนวนในร่างของเขาอย่างบ้าคลั่ง
ร่างนั่งสมาธิลง ลำแสงสีทองเปล่งแสงระยิบระยับ เกราะพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งจะสร้างได้คาดไม่ถึงว่าจะบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย แม้กระทั่งมีรอยสีขาวแตกเป็นสายๆ
หานลี่พลันหัวเราะอย่างขมขื่น มองไปยังทารกวิญญาณที่สองที่อยู่ท่ามกลางลำแสงไกลออกไป พลันตัดสินใจเตรียมกระตุ้นพลังปราณทั้งหมดในร่าง
การกระทำเช่นนี้ราวกับโยนดาวเพลิงดวงหนึ่งลงไปในหม้อน้ำมัน จะระเบิดร่างได้ในชั่วพริบตา
แต่ในยามเส้นยาแดงผ่าแปดเช่นนั้น ความเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้น
แขนข้างหนึ่งพลันร้อนฉ่า ชั่วครู่ก็เหมือนกับถูกเพลิงร้อนแรงห่อหุ้มเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่าเขาพลันตกตะลึง หมายจะหยุดชะงักจิตสัมผัส สายตากวาดมองไปยังแขนข้างนั้นอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง
ผลคือสีหน้าพลันตกตะลึง!
เห็นเพียงด้านหลังแขนข้างนั้นมีลำแสงสีเหลืองเจิดจ้าปรากฏขึ้น ตราประทับสีเหลืองอ่อนปรากฏขึ้นรางๆ
“เอ๋ นั่นคือสมบัติ!”
หานลี่พลันใจเต้น รู้จักขึ้นมาในแวบเดียว
ตราประทับนี้เป็นตราประทับที่สร้างขึ้นจากผลสวรรค์ทมิฬ!
แต่ไม่รอให้เขาได้คิดอันใด รอยในลำแสงสีเหลืองก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วเริ่มบิดเบี้ยว พลังลึกลับในร่างของเขาและพลังวิญญาณบริสุทธิ์ราวกับหาทางออกได้ ชั่วพริบตาก็ทะลักออกมาจากจุดชีพจรต่างๆ พุ่งไปตามแขน
ตราประทับนี้ดูเหมือนจะเป็นหลุมที่ไร้ก้น กลืนพลังอานุภาพมหาศาลและพลังวิญญาณเข้าไป คาดไม่ถึงว่าจะแค่กะพริบวาบ ไม่มีท่าทางผิดปกติเลยสักนิด
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ พลังลึกลับในร่างของหานลี่ก็ถูกกลืนกินเข้าไปเกือบครึ่ง
เดิมที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายถึงชีวิต คาดไม่ถึงว่าจะจัดการได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
หานลี่มีสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจสลับกันไปมา!
และครู่ต่อมาฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น
ตราประทับสีเหลืองเปล่งแสงสว่างวาบ ไม้กระบองสีเหลืองปรากฏขึ้นที่แขน
นั่นก็คือร่างของผลสวรรค์ทมิฬ
เมื่อผลนี้ปรากฏขึ้น ก็ดูเหมือนว่าจะตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แค่กะพริบวาบๆ ดูสูบพลังปราณในร่างของหานลี่และพลังลึกลับไปราวกับปลาวาฬสูบน้ำ
ผลสวรรค์ทมิฬแผ่กลิ่นอายที่น่าตกตะลึงออกมา จากนั้นก็พลิ้วไหวตามระลอกคลื่นสีเหลืองทองกลางอากาศ เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ลำแสงสีเขียวมรกตเปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นมีดกระบี่ความยาวสองสามฉื่อสายหนึ่งก็พุ่งออกมา
มีดกระบี่เปล่งแสงสีมรกตสว่างจ้า ใสแจ๋วราวกับกระจก แต่อักขระสีเขียวมรกตที่เรียงแถวอยู่ตรงใจกลาง พลันมีลำแสงเย็นเยียบไหลวนโคจรไปมาไม่หยุด!
นั่นคือกระบี่สวรรค์ทมิฬที่ถูกหลอม!
ไม่ต้องให้หานลี่ต้องควบคุมเลยสักนิด สมบัติชิ้นนี้พลันได้รับอานุภาพมหาศาล ปลายกระบี่ชี้ไปทางระลอกคลื่นสีทองกลางอากาศ เสียงไพเราะดังสนั่นหวั่นไหว
จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ บนมีดกระบี่มีอักขระสีเขียวเข้มปรากฏขึ้น จากนั้นก็สั่นเทาไปมาสองสามครั้ง
ชั่วขณะนั้นปราณฟ้าดินรอบด้านก็กระเพื่อม หมอกลำแสงห้าสีจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา ทะลักไปยังกระบี่สวรรค์ทมิฬ
ชั่วพริบตาเสียงร้องของลำแสงกระบี่สวรรค์ทมิฬก็สูงขึ้น สับลงมาที่ระลอกคลื่นสีเหลืองทอง
กระบี่ลำแสงสีเขียวมรกตปรากฏขึ้น เปล่งแสงเจิดจ้าราวกับสายฟ้า เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป มาอยู่ใกล้กับระลอกคลื่นสีเหลืองทอง แล้วสับลงมา
เสียง “ปัง” ดังขึ้น!
เสาลำแสงสีขาวโพลนถูกสับออกเป็นสองส่วนท่ามกลางลำแสงสีเขียว พลังที่ดูเหมือนจะทำลายพลังฟ้าดินได้ทะลักออกมาจากกระบี่ลำแสง ชั่วครู่ก็หมุนวนแล้วจมหายเข้าไปข้างใน
ชั่วขณะนั้นระลอกคลื่นสีเหลืองทองพลันส่งเสียงหึ่งๆ จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นจานทรงกลมสีทองขนาดสองสามหมู่
ผิวของจานสีทองขนาดยักษ์มีภาพวาดที่เหมือนกับภาพดวงดาราบนแท่นสูงปรากฏขึ้น ในเวลาเดียวกันรอบด้านก็มีอักขระห้าสีปรากฏขึ้นเต็มไปหมด
ส่วนเสาลำแสงสีขาวโพลนสายแล้วสายเล่านั้น ก็พ่นออกมาจากจานสีทอง และพยายามต้านทานพลังหลักการในกระบี่ลำแสงด้านล่างสุดชีวิต
แต่แม้ว่าสมบัติชิ้นนี้จะเป็นสมบัติวิเศษด้านมิติเวลาที่มีประวัติความเป็นมาในแดนเซียน จากระดับความหายากและมูลค่าเหนือกว่าสมบัติสวรรค์ทมิฬธรรมดา แต่อิทธิฤทธิ์ของมันกลับไม่ได้ไว้ใช้ต่อสู้กับผู้คน จะไปต้านทานพลังผสมของหลักโลกที่โจมตีเข้ามาตรงๆ ได้อย่างไร
ทำได้แค่ชั่วครู่ เสาลำแสงสีขาวโพลนก็ถูกพลังหลักการกลืนกินไปจนเกลี้ยง
บรรยากาศรอบด้านบิดเบี้ยว กระบี่ลำแสงสีเขียวสับลงมาที่จานทรงกลมสีทองอย่างแรง