คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1737 ร่ำเรียนอักขระวิญญาณ
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1737 ร่ำเรียนอักขระวิญญาณ
นิ้วทั้งสิบของหานลี่ร่ายอาคมหลากสีสันเป็นสายๆ ใส่ม่านลำแสง
หลังจากที่ทุกสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปแล้ว ลำแสงสีเงินก็เปล่งแสงสว่างวาบอย่างบ้าคลั่ง
ผ่านไปชั่วครู่ ม่านลำแสงก็เดือดพล่านราวกับราดน้ำเย็นลงไปในกระทะน้ำมัน อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา และเริ่มหมุนเวียนเป็นแถวอย่างมีกฎเกณฑ์
หานลี่จ้องเขม็งไปยังม่านลำแสงด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ อาคมในมือไม่หยุดเลยแม้เพียงครู่
ฉับพลันนั้นเสียงตะโกนต่ำๆ พลันดังขึ้น ชูแขนเสื้อขึ้นอีกครั้ง ธงอาคมยี่สิบสามสิบด้ามพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็เรียงตัวเป็นเขตอาคมประหลาดด้านบนม่านลำแสง
ธงอาคมทั้งหมดเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา พลิ้วไหวเล็กน้อยแล้วแผ่ลำแสงวิญญาณหลากสีสันออกมา
หานลี่ร้องคำรามด้วยเสียงทุ้มต่ำ มือหนึ่งชี้ไปกลางอากาศ
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น!
ธงอาคมทั้งหมดเปล่งแสงเจิดจ้า ลำแสงวิญญาณตัดสลับกันไปมา กลางอากาศมีเขตอาคมลำแสงที่สลับซับซ้อนปรากฏขึ้น และหมุนวนไปมาไม่หยุดอยู่กลางอากาศต่ำๆ
“ไป”
แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ นิ้วชี้ไปที่แผ่นป้ายกว้างเย็น
ชั่วขณะนั้นแผ่นป้ายพลันสั่นเทา กลายเป็นลำแสงสีทองเงินสายหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเขตอาคมอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมากลิ่นอายแปลกประหลาดพลันแผ่ออกมาจากเขตอาคมลำแสง จากนั้นก็เปล่งเสียงหึ่งๆ เสาลำแสงสีทองและสีเงินสองสีพุ่งออกมาจากใจกลางของเขตอาคมลำแสง และโจมตีไปที่ม่านลำแสงสีเงินอย่างพอดิบพอดี
ม่านลำแสงที่แต่เดิมไม่ขยับเขยื้อนสัมผัสกับเสาลำแสงนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียง “ครืดๆ” ออกมา หลอมละลายราวกับหิมะที่ละลายในวสันตฤดู
แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ อักขระรอบด้านม่านลำแสงก็ทะลักไปยังจุดที่เสาลำแสงร่อนลงมา คาดไม่ถึงว่าจะหลอมละลายแล้วหยุดชะงัก กลับค่อยๆ หนาแน่นขึ้น
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น สีหน้าไม่โกรธขึ้งแต่กลับยินดี
มือหนึ่งปัดไปที่กำไลเก็บของ ลำแสงสีทองเงินอีกสองกลุ่มบินออกมา เผยแผ่นป้ายโบราณอีกสองแผ่น
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแผ่นป้ายกว้างเย็นอีกสองแผ่น!
หนึ่งในนั้นแน่นอนว่าเป็นแผ่นป้ายที่เขาเก็บมาโดยพลการ อีกแผ่นหนึ่งกลับเป็นแผ่นที่เขาหาได้จากร่างของชาวเผ่าหรงสวมงอบในภูเขาเทวะดูดปราณ
ผู้ที่หลอมแผ่นป้ายกว้างเย็นในเผ่าหรงกลุ่มนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่ชายร่างใหญ่ชาวเผ่าหรงที่ร้ายกาจที่สุด ทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจ
ชาวเผ่าหรงอีกสองคนที่ถูกเก็บเข้าไปในภูเขาเทวะดูดปราณ หลังจากเก็บสิ่งของทั้งหมดในกำไลเก็บของพวกเขาไปจนเกลี้ยงแล้วก็ถูกเขาใช้เพลิงกลืนวิญญาณเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ยามนี้เมื่อสำแดงแผ่นป้ายกว้างเย็นสองแผ่นออกมา ก็ถูกหานลี่ใช้นิ้วร่ายอาคม จมหายเข้าไปในม่านลำแสงในเขตอาคมลำแสง
เขตอาคมลำแสงพลิ้วไหวอย่างรุนแรง เสียงอึกทึกดังขึ้น
เสาลำแสงสีทองเงินที่ถูกพ่นออกมาจากเขตอาคมลำแสงขยายใหญ่ขึ้นกว่าสามเท่า
เดิมที่พอฝืนต้านทานม่านลำแสงสีเงินได้ ภายใต้อานุภาพที่มหาศาลเช่นนี้ อักขระหลากสีสันก็สั่นเทาอย่างรุนแรงแล้วหลอมละลายไปอีกครั้ง
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยน้ำชา เสียง “ปัง” ก็ดังสะเทือนเลื่อนลั่นท่ามกลางสายตาอันรอคอยของหานลี่
ในที่สุดม่านลำแสงสีเงินก็พังทลาย เปล่งแสงสว่างวาบสองสามคราแล้วสลายหายไป
หานลี่พลันรู้สึกดีใจ มือหนึ่งร่ายอาคมชี้ไปยังเขตอาคมลำแสงกลางอากาศ
เสียงอึกทึกดังขึ้น เขตอาคมลำแสงสลายหายไป กลับคืนเป็นธงอาคมและแผ่นป้ายสามแผ่นดังเดิม
สะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศ หมอกสีเขียวหมุนม้วนวนออกมา ชั่วพริบตาก็กวาดธงอาคมและแผ่นป้ายไปจนเกลี้ยง
หานลี่เลื่อนสายตาไปมองตัวอักษรสีทองที่ชัดเจนขึ้นบนกำแพงหินด้านล่าง แม้ว่าจิตใจจะสงบนิ่งดุจสายธารมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าใบหน้าก็อดที่จะเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาไม่ได้
หลังจากผ่านไปนานเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ได้ สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพลันบินออกจากหุบเขาหลังจากหมุนวนกลางอากาศรอบหนึ่ง ยอดเขาสีดำลูกหนึ่งก็บินออกมาจากสายรุ้งสีเขียว พลิ้วไหวแล้วมีขนาดใหญ่ยักษ์เท่ายอดเขาจริงๆ พลางทับลงมาที่หุบเขาด้านล่าง
เสียงภูเขาสั่นสะเทือนดังขึ้นสองสามครั้งอย่างต่อเนื่อง
ทั้งหุบเขาถูกยอดเขาสีดำกดทับเอาไว้ หลังจากสั่นคลอนราวกับจะปริแตก คาดไม่ถึงว่าจะเตี้ยลงยี่สิบกว่าจั้ง
หุบเขานี้แทบจะถูกกดจนแบนราบ
ลำแสงสีเขียวหม่นแสงลงเงาร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
เขามองไปที่หุบเขาด้านล่างด้วยแววตาราบเรียบ มือหนึ่งตะปบออกไปด้านล่างอย่างส่งเดช
ยอดเขายักษ์เปล่งเสียงอึกทึก หดเล็กลงกลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งบินกลับมาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของหานลี่
ผิวหนังเปล่งแสงสีเขียวสว่างจ้า เขากลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งแหวกอากาศไปอีกครั้ง
……
หนึ่งวันต่อมาเหนือเกาะทะเลสาบที่ไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง ชายชราคนหนึ่งและหญิงสาววัยดรุณีคนหนึ่งกำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่บนยอดเขาสีเขียวขจี
ทั้งสองมีสีหน้าเคร่งขรึมผิวหนังเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด ไอสีขาวหมุนวนโคจรรอบกายไปมา
ฉับพลันนั้นหญิงสาวพลันหน้าเปลี่ยนสี ไอสีขาวรอบด้านสลายออก
แทบจะในเวลาเดียวกันลำแสงวิญญาณบนผิวพรรณของชายชราก็หม่นแสง แล้วลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
แน่นอนว่าทั้งสองคือชายชราแซ่ซวีและเซียนเย่ว์
“ดูเหมือนจะมีคนมา หรือว่าจะเป็นสหายหาน?” หญิงสาวเอ่ยพึมพำแต่ก็มีท่าทีไม่มั่นใจ
“เป็นไปได้แต่สหายหานเพิ่งจากไปไม่ถึงสองวัน ต่อให้มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรแค่ไหนก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้ง่ายดายเช่นนี้ ถึงอย่างไรเสียทางนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันกับพวกเราอยู่สิบกว่าคน” ชายชรามีท่าทีไม่อยากจะเชื่อ
“ผู้มาเยือนนั้นพูดยาก ทว่าใช่สหายหานหรือไม่เดี๋ยวก็รู้แล้ว” เซียนเย่ว์แววตาเปล่งประกาย ชูมือหนึ่งขึ้น ผ้าไหมสีขาวบินออกมา กลายเป็นม่านลำแสงสีขาวชั้นหนึ่งห่อหุ้มร่างเอาไว้
ชั่วพริบตาร่างของหญิงสาวและม่านลำแสงก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วอำพรางกายไปพร้อมกัน
ส่วนชายชราก็พยักหน้า มือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ธงอาคมสีเขียวด้ามหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ พลิ้วไหวแล้วหายวับไปท่ามกลางลำแสงสีเขียว
ยอดเขามหึมาหายวับไปทันที
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ขอบฟ้าก็มีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งปรากฏขึ้น พุ่งตรงมายังเกาะ
สายรุ้งสีเขียวหมุนวน ร่อนลงมายังยอดเขาสีเขียวมรกต ลำแสงหลีกหนีหม่นแสงลง ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้น
หลังจากที่แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบแล้วกวาดมองไปรอบด้าน หานลี่ก็หัวเราะร่าขึ้นมา
“สหายทั้งสอง ข้าน้อยได้อาคมกลับมาแล้ว ยังไม่รีบปรากฏกายอีก”
“เป็นพี่หานดังคาด!”
“ขอแสดงความยินดีกับสหายหาน!”
เสียงตกตะลึงระคนดีใจของเซียนเย่ว์และชายชราแซ่ซวีดังขึ้นแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นลำแสงสีเขียวขาวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างปรากฏขึ้นใกล้ๆ พร้อมกัน
ทั้งสองมีสีหน้าดีอกดีใจ
“พี่หานท่านเอาคาถาเคล็ดวิชาลับทั้งหมดมาได้แล้วจริงๆ หรือ” หญิงสาวมีท่าทีไม่อยากจะเชื่อ น้ำเสียงอดที่จะสั่นเทาไม่ได้
“หึๆ นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว หากสหายไม่เชื่อละก็ลองดูก่อนเป็นไง” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ชูมือขึ้น ก่อนจะมีคัมภีร์สีเชียวพุ่งออกมาจากฝ่ามือ
เซียนเย่ว์พลันตกตะลึง แต่ก็ยกมือขึ้นดูดคัมภีร์เข้ามาในมืออย่างไม่รู้ตัว แววตางดงามเผยสีหน้าลังเลออกมา
คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะมอบคาถาให้นางอย่างง่ายดายเช่นนี้ ช่างทำให้นางรู้สึกประหลาดใจเสียจริง
ชายชราแซ่ซวีที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
ส่วนหานลี่ก็ทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นสายตาประหลาดใจของทั้งสอง แค่หัวเราะบางๆ ไม่พูดไม่จา
“เช่นนั้นน้องหญิงจะไม่เกรงใจแล้ว!” เซียนเย่ว์ตั้งสติใช้จิตสัมผัสกวาดเข้าไปในคัมภีร์ในมือ หลังจากมั่นใจว่าไม่มีเขตอาคมใดๆ สีหน้าตกตะลึงก็หายวับไป วางคัมภีร์ลงบนหน้าผากอย่างไม่ต้องขบคิด เริ่มตรวจสอบสิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์
หญิงสาวผู้นี้บอกว่าตนเองรู้จักอักขระจ้วนทอง ดูแล้วคงเป็นความจริง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หญิงสาวก็เริ่มหน้าเปลี่ยนสี บางครั้งก็เผยสีหน้าขบคิดและดีอกดีใจเล็กๆ ออกมา
แต่หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ใบหน้าของเซียนเย่ว์กลับเริ่มเคร่งขรึม สุดท้ายพลันมีสีหน้าตกตะลึงระคนฉงนสงสัย
ชายชราแซ่ซวีเห็นสีหน้าของหญิงสาวก็ลูบเครา แววตาอดที่จะเปล่งประกายสว่างวาบสองสามคราไม่ได้
พ่นลมหายใจออกมาบ่อยๆ แขนเรียวของหญิงสาวตกลง เลื่อนคัมภีร์ออกจากหน้าผากและหัวเราะขมขื่นใส่หานลี่และชายชรา
“เซียนเย่ว์ หรือว่ามีอะไรผิดปกติงั้นหรือ? หรือว่าอักขระจ้วนทองในถ้ำลับไม่ใช่เคล็ดวิชาลับ?” ชายชราแซ่ซวีอดที่จะถามขึ้นไม่ได้
“อาคมเป็นของจริง และเป็นเคล็ดวิชาลับจริงๆ แค่น้องหญิงดูผ่านๆ กลับพบว่าเงื่อนไขที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ยากลำบากมาก สำหรับแดนวิญญาณอย่างพวกเรานั้นเกรงว่าจะมีผู้ที่ฝึกฝนได้อยู่เพียงไม่กี่คน มิน่าล่ะเดิมเคล็ดวิชานี้ควรจะเป็นเคล็ดวิชาลับของแดนเทพเซียน ไม่เหมาะกับพวกเราก็เป็นเรื่องปกติ ทว่าในคัมภีร์มีเนื้อหาของคัมภีร์อยู่แค่ครึ่งแรก บางทีครึ่งหลังอาจจะมีหนทางแก้ไขอื่นๆ กระมัง!” เซียนเย่ว์มองหานลี่แวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า มีเลศนัย
ชายชราแซ่ซวีได้ยินเซียนเย่ว์กล่าวเช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย อดที่จะมองหานลี่ไม่ได้
หานลี่ขมวดคิ้วมุ่นแต่ทันใดนั้นก็กลับมามีสีหน้าปกติแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ใช่แล้ว ในนี้มีคาถาอยู่แค่ครึ่งเดียว หลังจากที่สหายทั้งสองถ่ายทอดอักขระให้แก่ข้าน้อย ผู้แซ่หานก็จะมอบอีกครึ่งหนึ่งให้สหายทั้งสอง พี่ซวี เซียนเย่ว์ คิดว่าอย่างไรกัน?”
“ฮ่าๆ ไม่มีปัญหา ตาเฒ่าและสหายเย่ว์ตกลงว่าจะถ่ายทอดอักขระเที่ยงแท้เป็นการแลกเปลี่ยนกับคาถาให้กับพี่หานอยู่แล้ว ทว่าอักขระจ้วนทองนั้นลึกซึ้งมาก มีเพียงต้องบรรยายด้วยปากเกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายวัน” หลังจากชายชราแซ่ซวีหัวเราะร่าแล้วก็เอ่ยปากรับคำ
“ในเมื่อพี่หานเก็บอาคมไปแล้วน้องหญิงก็จะรักษาสัญญา ทว่าที่นี่อยู่ใกล้กับถ้ำลับมาก พวกเราหาที่ที่ปลอดภัยอีกที่แล้วถ่ายทอดอักขระวิญญาณให้กับพี่หานเถิด” เซียนเย่ว์ได้ยินเงื่อนไขของหานลี่ก็ฉีกยิ้มเบิกบาน
“เซียนเย่ว์พูดมีเหตุผล พวกเราไปกันเถิด” หานลี่ฉีกยิ้มแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
ดังนั้นหลังจากที่ทั้งสามคนปรึกษากันแล้วก็ทยอยกันเป็นลำแสงหลีกหนี กลายเป็นสายรุ้งสามสายพุ่งไปตามเส้นขอบฟ้า
หลังจากที่หานลี่และพวกออกจากเกาะได้ห้าวัน เหนือหุบเขาที่อยู่ไกลออกไป กลับมีชาวเผ่าหรงขนดกสิบกว่าคนปรากฏตัวขึ้น
ผู้นำคือชายชราใบหน้าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง มองลงมายังหุบเขาที่ถูกทับจนแบนด้านล่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายธาร
……
ยามนี้หานลี่และพวกทั้งสามกลับซ่อนตัวอยู่ในภูเขาที่ไม่รู้ตั้งกี่หมื่นลี้
ในห้องโถงที่สร้างขึ้นตรงสันเขาทั้งสามคนต่างนั่งสมาธิอยู่
อาศัยจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน หานลี่รับการถ่ายทอดจากทั้งสองคนสลับหมุนเวียนกันทั้งวันทั้งคืน ระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือนก็เข้าใจอักขระจ้วนทองเกือบทั้งหมด
หลังจากที่หานลี่รู้สึกว่าเชี่ยวชาญแล้วก็มอบคาถาเคล็ดวิชาลับครึ่งหลังให้กับพวกเขาทันที
ชายชราแซ่ซวีและเซียนเย่ว์พลันรู้สึกดีอกดีใจ หลังจากที่ทั้งสองคัดลอกให้ตัวเองชุดหนึ่งแล้วทันใดนั้นก็บอกลาหานลี่ แล้วต่างคนต่างไป
ยามนี้อยู่ห่างจากเวลาที่แดนกว้างเย็นจะปิดตัวลงอีกไม่นานแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาต้องเริ่มค้นหาสถานที่ลับเพื่อเตรียมกักตนทะลวงจุดคอขวด