คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1739 กลับ
ยอดเขาสีดำมีอักขระสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเขตอาคมลำแสงขนาดยักษ์ ชั่วพริบตาพลังมหาศาลที่ไร้รูปร่างก็ห่อหุ้มลงมา
อสูรลับสีทองที่อยู่ด้านล่างถูกเสาลำแสงสีทองสามสายโจมตีจนหมุนคว้าง เพิ่งจะสะบัดหัวแล้วฝืนยืนขึ้นได้ ก็สัมผัสได้ถึงอากาศรอบด้านที่ตึงแน่น ร่างกายหนักขึ้นเป็นพันชั่ง
ชั่วขณะนั้นมันพลันร้องคำรามด้วยความตกตะลึง ขนบนร่างลุกชัน กลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งลงมาทั่วทั้งสี่ด้าน
จากระดับผสานอินทรีย์ของอสูรลับสีทอง หากเป็นยามปกติ ลำแสงสีทองย่อมทะลวงผ่านเขตอาคมรอบด้านแล้วทำลายสิ่งที่รัดอยู่บนเรือนร่างได้ แต่ยามนี้พลังปราณในร่างเหลือไม่ถึงหนึ่งส่วน เมื่อลำแสงสีทองอยู่ห่างจากร่างไปสองสามจั้ง ก็ทยอยกันแข็งค้างท่ามกลางพลังมหาศาล
อสูรลับมีสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดกลัว!
แม้ว่ามันจะมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกร แต่ไม่มีพลังปราณใดที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นแหล่งต้นกำเนิด และจะสำแดงวิธีการทำลายสิ่งที่รัดพันอันร้ายกาจได้อย่างไร
และในยามนี้ ไม้บรรทัดยักษ์สีเงินที่ร่อนลงมาก็พลิ้วไหว เงาไม้บรรทัดเปล่งเสียงฟ้าผ่าออกมา ทยอยกันโจมตีไปที่ร่างของอสูรลับระดับราชา
เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาพลันดังขึ้น!
ชั่วพริบตากายเนื้อของอสูรลับก็ถูกประจุไฟฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มเอาไว้ กลิ่นไหม้โชยออกมา
เสียง “ฉับ” ดังขึ้น กระบี่ยักษ์สีเขียวเล่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมากลางอากาศ!
อสูรลับสีทองที่อยู่ท่ามกลางประจุไฟฟ้าและแรงรัดของพลังมหาศาล ไม่อาจหลบหลีกได้เลยสักกระผีก ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ถูกสับออกเป็นสองส่วนตรงๆ
ร่างของอสูรตัวนี้กลายเป็นสองส่วน แยกออกจากกัน
เสียงระเบิดดังขึ้น
อสูรลับสีทองที่ขนาดเล็กกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง พลันปรากฏขึ้นกลางซากศพ ผิวของมันพ่นหมอกลำแสงสีโลหิตออกมา กลายเป็นลำแสงสีโลหิตพุ่งออกไป
เสียงร้องอุทาน “เอ๋” ดังขึ้นจากจุดที่ใกล้เคียงเบาๆ
จากนั้นเสียง “ปัง” พลันดังขึ้น
ยอดเขาสีดำที่เดิมอยู่กลางอากาศสูงพลันย้ายลงมา คาดไม่ถึงว่าจะกดลงมายังลำแสงสีโลหิตที่กำลังหลีกหนีอย่างแม่นยำไม่ผิดเพี้ยน
แต่ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น
ชั่วพริบตานั้นลำแสงสีโลหิตพลันแตกกระจายออกไปพร้อมกัน ลำแสงสีทองบางๆ ดีดตัวพุ่งออกมา มีอสูรลับสีทองขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้นรางๆ ในนั้น
คาดไม่ถึงว่าจะใช้เคล็ดวิชาถอดเปลือกแมลงสีทองต่อเนื่องติดต่อกันสองครั้ง
เสียงแค่นเสียงหึที่เย็นชาจนเข้ากระดูกดำดังลงมาจากที่สูง
ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ วิหคเพลิงสีเงินขนาดเท่ากำปั้นปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าอสูรลับตัวจิ๋วที่กำลังหลีกหนี สยายปีกทั้งสองข้างออกแล้วกระโจนออกมา กลืนอสูรลับสีทองที่หลบหลีกไม่พ้นลงท้องไป
อสูรลับขนาดจิ๋วไม่ทันได้แม้แต่จะส่งเสียงหึออกมา ก็ถูกเพลิงกลืนวิญญาณทำให้หายวับไป
และในยามนั้นเองเสียงฟ้าร้องคำรามต่ำๆ ก็ดังขึ้น เส้นไหมลำแสงสีเขียวขาวสายหนึ่งปรากฏขึ้นใกล้ๆ กับเปลวเพลิงสีเงิน
ลำแสงหลีกหนีหม่นแสงลง!
ร่างของหานลี่พลันปรากฏขึ้น และยกมือขึ้นแตะไปไปทางเปลวเพลิงสีเงินอย่างรวดเร็ว
เสียง “สวบ” ดังขึ้น แกนผลึกสีทองขนาดเท่าหัวแม่มือถูกดูดออกมาจากเปลวเพลิง แล้วร่อนลงในมือของเขา
นั่นคือแก่นดวงจิตปีศาจของอสูรลับระดับราชาตัวนั้น
หานลี่แค่พิจารณาอสูรตัวนี้สองแวบ แล้วเลื่อนสายตาไปอีกด้าน
ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง ปีศาจพยัคฆ์สีขาวมีปีกที่แผ่นหลังตัวนั้นเผยสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวออกมาขณะมองมาที่แก่นดวงจิตปีศาจในมือของเขา แต่ก็ลังเลไม่กล้าเข้ามา
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ยกมือขึ้นกวักเรียกยอดเขาสีดำและไม้บรรทัดสีเงิน
สมบัติทั้งสองเปล่งเสียงร้องหึ่งๆ แล้วพุ่งกลับมา หลังจากฟื้นฟูกลับมามีขนาดเท่าเดิม ก็เริงระบำอยู่รอบด้านไปมาไม่หยุด
ส่วนเขาก็ถือแก่นดวงจิตปีศาจเอาไว้นิ่งกลางอากาศ มองมาทางปีศาจพยัคฆ์สีขาวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ยามนี้ปรากฏการณ์บนท้องฟ้ายิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ท่ามกลางม่านหมอกห้าสีเริ่มมีประจุไฟฟ้าสีเงินปรากฏขึ้นเป็นสายๆ จากนั้นห่าฝนก็เทลงมา ปกคลุมม่านหมอกทั่วทั้งท้องฟ้า
ร่างพยัคฆ์ปีศาจสีขาวเริ่มรางเลือนในจุดที่ไกลออกไป แต่สายตายังคงเปล่งประกายไม่แน่นอน ท่าทางลังเลไม่ตัดสินใจ
หานลี่แค่นเสียงด้วยความเย็นชา ใบหน้าเผยสีหน้าหมดความอดทนออกมา ปีกที่แผ่นหลังของเขากระพือออกมาเบาๆ พร้อมกัน ดวงแสงสายฟ้าสีเขียวขาวเริ่มปรากฏขึ้นเต็มแผ่นหลังของเขา
เสียง “เปรี๊ยะ” ดังขึ้นเรื่อยๆ
พยัคฆ์สีขาวเห็นฉากนี้ รูม่านตาสีเขียวมรกตพลันหดเล็กลง คำรามเสียงต่ำๆ ด้วยความไม่พอใจ ฉับพลันนั้นพลันหันหัวกลายเป็นลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งบินกลับไปยังทางที่มา
หานลี่ไม่ได้ขยับกายไล่ตาม กลับมองลำแสงสีขาวที่เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปที่ขอบฟ้า ปีกสั่นเทาเล็กๆ ดวงแสงสีขาวสลายหายไปอย่างเงียบเชียบ
ยอดเขาสีดำและไม้บรรทัดสีเงินหมุนวนโคจรอยู่ข้างกาย และเปล่งแสงสว่างวาบพลางหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ถูกเขาเก็บกลับไป
พยัคฆ์สีขาวตัวนั้นอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น แต่กลับสูญเสียพลังปราณในร่างไปไม่ต่างอันใดกับอสูรลับ ยามนี้แดนกว้างเย็นจะปิดตัวลงแล้ว แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่ยอมเสี่ยงอันตรายไล่ตามไป
หากเกิดสิ่งที่คาดไม่ถึงขึ้น มันจะได้ไม่คุ้มเสีย
ส่วนพยัคฆ์สีขาวก็มีสติปัญญาไม่ต่ำต้อย เห็นหานลี่สังหารอสูรลับสีทองที่ไล่ตามมาได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะรู้สึกโกรธเกรี้ยว แต่ก็มั่นใจว่าสถานการณ์ตรงหน้าตนไม่มีหวังที่จะสู้กับหานลี่ได้ จึงทำได้เพียงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจากไปอย่างไม่เต็มใจ
อสูรมิคาทนที่อยู่ในกำไลอสูรวิญญาณยิ่งตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงจะเริ่มร้องคำรามต่ำๆ ไม่หยุด แม้กระทั่งถ่ายทอดความคิดที่หมายจะเอาแก่นปีศาจอสูรลับสีทองตัวนั้นมาให้หานลี่ด้วยความรอคอย
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ส่งแก่นปีศาจสีทองในมือเข้าไปในกำไลอสูรวิญญาณ
ชั่วขณะนั้นอสูรมิคาทนที่ซ่อนอยู่ในนั้นพลันเปล่งเสียงร้องต่ำๆ ด้วยความยินดี ปากก็กลืนแก่นปีศาจลงท้องไป จากนั้นก็ส่งเสียงแสดงเจตนาขอบคุณหานลี่ แล้วหมอบอยู่ที่เดิมทันที หลับตาทั้งสองข้างลงไม่ไหวติง
ไม่นานก็มีเสียงหลับอุตุดังมา
เพราะว่ามีประสบการณ์จากการกลืนแก่นปีศาจอสูรลับระดับสูงก่อนหน้า หานลี่จึงไม่ได้มีสีหน้าตกใจ ในใจพลันรู้สึกรอคอยขึ้นมาหลายส่วน
แก่นดวงจิตของอสูรลับระดับราชาย่อมเหนือกว่าแก่นดวงจิตของอสูรลับระดับสูงสองสามเม็ดอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าจะทำให้อสูรมิคาทนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
จากนั้นหานลี่ก็ลอยอยู่กลางอากาศ ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ อีก
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม หมอกห้าสีกลางอากาศก็เปล่งเสียงอึกทึกดังมา ร่อนลงมาจากกลางอากาศอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ร่างของหานลี่ถูกหมอกกลืนเข้าไป ด้านในมีสายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ บรรยากาศน่าตกตะลึงส่งมา
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา หมอกทั่วทั้งท้องฟ้าที่มีฟ้าแลบแปล๊บๆ ออกมาก็สลายตัวออก จุดที่หานลี่รออยู่ที่เดิมนั้นว่างเปล่า ไหนเลยจะมีเงาร่างคนสักนิด
และฉากที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วก็ปรากฏตัวตามจุดต่างๆ ทั่วทั้งแดนกว้างเย็น
ชนต่างเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนถูกพลังกฎเกณฑ์ส่งออกจากแดนนี้
……
หานลี่รู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้ามีหมอกลำแสงห้าสีเจิดจ้าจนแสบตา จากเนตรวารีกระจ่างไม่อาจมองสบตาตรงๆ ได้เลยสักนิด จากนั้นสองขาก็ว่างเปล่า เกิดเป็นระลอกคลื่นหมุนวน
เมื่อสองขาของเขากลับมาแตะพื้นอีกครั้ง ข้างหูกลับมีเสียงระเบิดเสียดแก้วหูดังมา จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงพลังเย็นเยียบสายหนึ่งโจมตีเข้ามา
หานลี่พลันตกตะลึง ทันใดนั้นไอสีดำก็หมุนวนทั่วเรือนร่างอย่างไม่ต้องขบคิด เกราะมารเหนือฟ้าสีดำสนิทปรากฏขึ้นบนร่างทันที
เสียง “เคร้ง” ดังขึ้นเบาๆ พร้อมกัน เขาพลันลืมตาขึ้น
เห็นเพียงเหนือศีรษะ กระบี่บินยาวสองสามฉื่อเปล่งแสงเย็นเยียบสายหนึ่งถูกลำแสงสีดำที่แผ่ออกมาจากเกราะมารดีดออก ไม่อาจทำลายเครื่องป้องกันของเขาได้เลยสักนิด
และเจ้านายของกระบี่บินเล่มนี้คือชายร่างใหญ่ ที่หัวมีเขายาวๆ คู่หนึ่ง แต่ร่างกายกลับสวมเกราะสีเงินอยู่
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นชาวเผ่าแมลงมีเขาคนหนึ่ง
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม กวาดสายตาไป แล้วมองเห็นกลางอากาศใกล้ๆ สมบัติต่างๆ พลันปลิวว่อนทั่วทั้งท้องฟ้า ลำแสงห้าสีสันระเบิดออกเป็นครั้งคราว
ชนต่างเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังสำแดงอิทธิฤทธิ์รบราฆ่าฟันกัน
คนกว่าครึ่งในนั้นเป็นคนของเผ่าแมลงมีเขา ส่วนคนที่เหลือคือผู้พิทักษ์เผ่าเมฆาสวรรค์ที่รับหน้าที่คุ้มครองเขตอาคม
ตรงจุดที่สูงยิ่งกว่า สำเภารบของเผ่าแมลงมีเขาที่มีขนาดเท่าเมืองขนาดย่อมสองลำ ลอยอยู่สูงขึ้นไปสองสามหมื่นจั้งไม่ขยับเขยื้อน และมีชาวเผ่าแมลงมีเขาและชาวเผ่าเมฆาสวรรค์กำลังต่อสู้กันมากกว่าเสียอีก
เขตอาคมต่างๆ ที่ถูกวางอยู่ใกล้กับเขตอาคมขนาดยักษ์สองเขต ส่วนใหญ่ถูกโจมตีจนพังทลาย
และห่างจากเมืองเมฆาสวรรค์ไปไกลกว่านั้น พลันมีเพลิงลำแสงพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นกัน เสียงระเบิดดังขึ้นไม่หยุด ราวกับว่าทั้งเมืองเมฆาสวรรค์กำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย
สิ่งที่แปลกก็คือผู้ที่สู้รบกันอยู่ที่นี่ทั้งสองฝ่ายไม่มีสิ่งมีชีวิตระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไป พลังยุทธ์สูงที่สุดก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาเหมือนกับพวกเขาเท่านั้น
และเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์วุ่นวายจนถึงขีดสุด
เขตอาคมบนพื้นยังคงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วเปล่งเสียงร้องไม่หยุด และคนที่ถูกส่งกลับมา ก็มีเขาแค่คนเดียวเท่านั้น ไม่เห็นเงาร่างของคนอื่นๆ
มิน่าล่ะยามที่เขาส่งตัวกลับมา ก็ถูกโจมตีทันที
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายธาร มองไปยังชายร่างใหญ่เผ่าแมลงมีเขาที่ใช้กระบี่บินโจมตีเขาแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็สะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศ กระบี่สีเขียวพุ่งออกมา
กระบี่ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
นักรบชุดเกราะเผ่าแมลงมีเขาผู้นั้นเห็นกระบี่บินของตนถูกเกราะสงครามของหานลี่ดีดออก เดิมก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง และเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำให้กระบี่บินหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ก็ร้องว่า “แย่แล้ว” ออกมาในใจ ผิวเปล่งแสงสว่างวาบ พุ่งหนีไปทันที
แต่กลับสายไปเสียแล้ว!
กระบี่ลำแสงสีเขียวอยู่ห่างจากชายร่างใหญ่เผ่าแมลงมีเขาไปแค่คืบ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วทะลวงออกมา วนล้อมคอของเขาเอาไว้ ศีรษะพลันกลิ้งหลุนๆ ร่วงลงมา
จากนั้นลำแสงสีทองก็เปล่งแสงสว่างวาบไปทางศพไร้หัวที่กำลังร่อนลงมา ชั่วพริบตานั้นไอกระบี่แหลมคมก็สับซากศพรวมทั้งทารกวิญญาณที่ซ่อนอยู่ภายในจนแหลกเป็นชิ้นๆ ทำให้มันหายลับไปจากโลกนี้
หานลี่ถึงได้ยกมือขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วกวักมือเรียกกระบี่บินกลับมา
และในยามนั้นกลางอากาศก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างสี่คนปรากฏขึ้นในเขตอาคมตามลำดับ
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ชั่วครู่ก็จำบุรุษคนหนึ่งและสตรีคนหนึ่งได้ นั่นคือหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุน
อีกสองคนคือชายวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาๆ และชายหนุ่มคนหนึ่ง ล้วนเป็นกลุ่มเดียวกับที่ตามเขาเข้าไปในแดนกว้างเย็น
ทว่าเมื่อสายตาของหานลี่กวาดไปบนเรือนร่างของชายวัยกลางคน รูม่านตาก็หดเล็กลง
เรือนร่างของอีกฝ่ายแผ่พลังแรงกดของระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นออกมาจางๆ
ชายวัยกลางคนดูไม่สะดุดตาเลยสักนิดในตอนแรก คาดไม่ถึงว่าจะโชคดีทะลวงจุดคอขวดสำเร็จในแดนกว้างเย็น
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกยังมีกลิ่นอายดังเดิม เห็นได้ชัดว่าทะลวงจุดคอขวดล้มเหลว
ยามนี้เขตอาคมอีกแห่งใกล้เคียงกันก็เปล่งแสงสว่างวาบ ส่งคนกลับมาอีกสี่คน
หานลี่กวาดสายตาไป จำได้แค่คนเดียว กลับเป็นหญิงสาวนามว่าเซียนเย่ว์ผู้นั้น
คาดไม่ถึงว่าชายชราแซ่ซวีจะหายไปอย่างไร้เงา!
ส่วนใบหน้าของเซียนเย่ว์พลันมีรอยยิ้มจางๆ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากเรือนร่างไม่เหมือนกับก่อนหน้า คาดไม่ถึงว่าจะทะลวงจุดคอขวดสำเร็จ และอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นแล้ว