คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1742 พบกันโดยบังเอิญ
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1742 พบกันโดยบังเอิญ
แม้ว่าเผ่าแมลงมีเขาจะดันสงครามเข้ามาประชิดเมืองเมฆาแล้ว แต่ขอแค่เมืองเมฆาไม่ได้ถูกยึดจุดยุทธศาสตร์ในวันนี้ แดนหลังย่อมยังอยู่ในการควบคุมของชาวเผ่าเมฆาสวรรค์
ดังนั้นหลังจากรถเหาะบินไปทางด้านหลัง ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ ระหว่างทางอีก
ครึ่งเดือนต่อมาหานลี่มองเห็น “เมืองมังกร” เมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่งของชาวเผ่าเมฆาสวรรค์อยู่ไกลๆ
เมืองแห่งนี้แตกต่างกับเมืองเมฆาที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ มันตั้งอยู่ในยอดเขาที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตา
กำแพงเมืองกว่าครึ่งสร้างขึ้นจากสิ่งปลูกสร้างที่เชื่อมโยงกันระหว่างยอดเขา และในเมืองยังมียอดเขาขนาดน้อยใหญ่อยู่อีกนับไม่ถ้วน
ไม่ว่าบนยอดเขาหรือว่าระหว่างภูเขา ล้วนสร้างเป็นห้องขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน
รอบๆ ยอดเขาเหล่านี้มีถนนรูปครึ่งวงกลมล้อมรอบอยู่ และแตกกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ดูพิเศษมาก
เห็นได้ชัดว่าเมืองมังกรในยามนี้ก็ได้รับผลกระทบจากกองทัพเผ่าแมลงมีเขาทางเมืองเมฆาเช่นกัน ห่างจากเมืองยี่สิบสามสิบลี้ ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ตึงแน่น
ไม่เพียงจะมีระลอกคลื่นต้องห้ามส่งมาจากบ่อน้ำในเมือง นักรบชุดเกราะลาดตระเวนอยู่เป็นกลุ่มสิบกว่าคนบ้างก็ร้อยกว่าคน และกำลังตรวจตราไปมาในบริเวณรอบไม่หยุด
แม้ว่ารถเหาะยักษ์ของหานลี่และพวกจะมีสัญลักษณ์ของเมฆาสวรรค์ แต่ก็ถูกนักรบชุดเกราะสองสามกลุ่มเข้ามาขวางอย่างต่อเนื่อง และตรวจสอบสองสามครั้ง
แน่นอนว่าหลังจากพิจารณาแผ่นป้ายแสดงฐานะของชายร่างใหญ่หน้าดำอย่างละเอียดแล้ว พวกเขาก็ทยอยกันขอตัวลา
ดังนั้นรถเหาะจึงบินมาถึงประตูเมืองได้อย่างไร้การขัดขวาง แล้วร่อนลงมา
“ที่แท้ก็เป็นท่านอาวุโสอี๋ ทุกท่านคือสหายที่กลับมาจากแดนกว้างเย็นสินะ อาวุโสทุกท่านของเผ่าเมฆาได้ออกคำสั่งไว้นานแล้ว ให้สหายทุกท่านกลับมาแล้วไปเข้าพบพวกเขาที่หอคอยดาราเมฆาทันที”
ผู้พูดคือนักรบชุดเกราะระดับหลอมสุญตาที่รับหน้าที่ตรวจสอบตรงหน้าประตูเมืองคนหนึ่ง เขามองปราดเดียวก็จำชายร่างใหญ่หน้าดำได้ จึงเอ่ยอย่างนอบน้อม
“อืม ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกท่านก็เข้าเมืองเถิด ข้ายังมีธุระ ต้องกลับไปที่เมืองเมฆาก่อน” ชายร่างใหญ่หน้าดำไม่ได้ตกใจกับสิ่งเหล่านี้เลยสักนิด พลางพยักหน้าให้กับนักรบชุดเกราะที่เอ่ยถาม แล้วหันหน้าไปเอ่ยกับเซียนเย่ว์และพวก
คนที่เหลือย่อมไม่มีความเห็น หลังจากขอบคุณชายร่างใหญ่หน้าดำอย่างนอบน้อมแล้ว ก็ทยอยกันลงจากรถเหาะ
ชายร่างใหญ่หน้าดำร้องตะโกนต่ำๆ ออกมา อสูรวิญญาณหกตัวพวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้าทันที รถเหาะพุ่งตามขึ้นไปอีกครั้ง ชั่วพริบตาก็หายไปที่ขอบฟ้า
หลังจากที่หานลี่และพวกเข้ามาในประตูเมือง ก็พบว่าบนท้องถนนนั้นครึกครื้นคึกคักมาก แต่ใบหน้าของคนส่วนใหญ่ล้วนร้อนใจและเป็นกังวล
คิดดูแล้วก็ใช่!
เมืองมังกรอยู่ใกล้กับเมืองเมฆามากที่สุด ชาวเผ่าต่างๆ ของเมฆาสวรรค์ละทิ้งเมืองเมฆา แน่นอนว่ากว่าครึ่งต้องมารวมตัวที่นี่ ทำให้ประชากรหนาแน่น
พวกเขาหยุดรถอสูรสีขาวหิมะสองคันบนถนน แล้วเอ่ยกับพลขับว่า “หอคอยดาราเมฆา”
รถอสูรจึงพุ่งไปยังยอดเขาวิญญาณแห่งหนึ่งในเมือง
หานลี่นั่งอยู่ด้านข้างหน้าต่างบานหนึ่งของรถอสูร สายตามองไปยังกลุ่มคนและสิ่งปลูกสร้างตามข้างทาง แต่ใบหน้ากลับไร้ซึ่งความรู้สึก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่
ฉับพลันนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี สายตาจ้องเขม็งผู้คนข้างถนน
คนผู้นี้สวมชุดคลุมสีเทา ผมสีขาวโพลน สีหน้าดูป่วยกระเสาะกระแสะ กำลังยืนอยู่ตรงประตูร้านค้าขายวัตถุดิบแห่งหนึ่ง และกำลังพูดคุยอันใดสักอย่างกับอีกคนหนึ่ง
คนผู้นั้นสวมชุดคลุมสีเหลือง สีหน้าเขียวคล้ำ หน้าตาดุดันมาก
หานลี่พลันขมวดคิ้ว หลังจากที่สีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสก็เอ่ยปากว่า “หยุดรถ ข้ามีเรื่องต้องทำสักหน่อย เหล่าสหายไปที่หอคอยดาราเมฆาก่อนเถิด ข้าจะรีบตามไป”
คนอื่นๆ ที่นั่งรถคันเดียวกันกับเขาได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนั้น แม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ไม่มีเหตุผลอันใดจะขัดขวาง
ดังนั้นพลขับจึงหยุดรถอสูรตามคำสั่ง
หานลี่บินลงมาอย่างเชื่องช้าแล้วเดินไปบนถนน
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนที่อยู่ข้างทางกำลังโต้เถียงอันใดกันสักอย่างหนึ่ง น้ำเสียงดังขึ้นหลายส่วน
“ศิลาวิญญาณที่ติดอยู่ต้องคืนให้หมดภายในสามวัน มิเช่นนั้นอย่าโทษว่าข้าไม่ไว้หน้า” ผู้ที่หน้าเขียวคล้ำผู้นั้นมีสีหน้าเคร่งขรึมพลันเอ่ยอย่างเย็นชา
“สถานการณ์ของตาเฒ่า สหายหวงน่าจะรู้ดี ภายในสามวันไม่มีทางรวบรวมศิลาวิญญาณจำนวนมากขนาดนั้นได้ครบแน่” ชายชราหน้าตาป่วยกระเสาะกระแสะสั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง สีหน้าดูไม่ได้เล็กน้อย
“ข้าน้อยไม่สนใจว่าสถานการณ์ของเจ้าจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่คืนศิลาวิญญาณเจ้ารู้ผลที่จะตามมาดี สามวันจากนี้หากไม่มีศิลาวิญญาณ หึๆ…” ผู้ที่หน้าเขียวคล้ำหัวเราะอย่างเย็นชา
ชายชราหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ยามที่คิดจะเอ่ยอะไรอีกนั้น ฉับพลันนั้นผู้ที่หน้าเขียวคล้ำซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็มีสีหน้าตกตะลึง แววตาเผยความฉงนออกมา จากนั้นเสียงบุรุษราบเรียบก็ดังขึ้นก็ดังขึ้นที่แผ่นหลังของชายชรา
“ศิษย์พี่เซี่ยงติดศิลาวิญญาณนายท่านเท่าไหร่ ข้าจะใช้คืนให้”
ชายชราพลันตกตะลึง เสียงที่อยู่ด้านหลังเหมือนจะอยู่ใกล้แค่คืบ แต่ระยะใกล้เพียงนี้เหตุใดถึงไม่รู้ตัวเลย
เขาพลันตกตะลึงค้าง รีบร้อนหันกายไป เห็นเพียงห่างออกไปสองสามจั้ง มีชายหนุ่มอายุน้อย หน้าตาธรรมดาสามัญ สวมชุดคลุมสีเขียวกำลังยืนมองด้วยสีหน้าอมยิ้มอยู่คนหนึ่ง
มิใช่หานลี่แล้วจะเป็นผู้ใดได้?
“ศิษย์น้องหาน?” ชายชราเห็นหานลี่ชั่วขณะนั้นก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมา
“ศิษย์พี่เซี่ยง ไม่ได้พบกันนานสบายดีหรือ!” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา
ชายชราผู้นี้ก็คือผู้ที่เคยพบหน้ากับหานลี่ในเมืองเมฆาตอนแรก แต่ก็ต้องแยกกันไปหลายปี เซี่ยงจือหลี่!
“ศิษย์น้อง เจ้าก็มาที่เมืองมังกรเช่นกันหรือ ก่อนที่ข้าจะออกมาจากเมืองเมฆาได้เคยออกไปตามหาศิษย์น้อง แต่เบาะแสของศิษย์น้องดูเหมือนจะลึกลับมาก จึงไม่อาจสืบหาได้” เซี่ยงจือหลี่เอ่ยด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“เบาะแสของข้าตอนนี้สืบได้ยากจริงๆ กลับต้องลำบากศิษย์พี่แล้ว ใช่แล้ว ศิษย์พี่เซี่ยงติดศิลาวิญญาณเจ้าอยู่เท่าไหร่?” หานลี่พยักหน้าให้เซี่ยงจือหลี่แล้วเอ่ยถามผู้ที่หน้าเขียวคล้ำอีกครั้ง
ผู้ที่มีหน้าเขียวคล้ำเองก็มีระดับพลังไม่ต่างอะไรจากเซี่ยงจื่อหลี่อะไรในยามนี้ เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังยุทธ์แค่ระดับหลอมรวมคนหนึ่ง จิตสัมผัสของเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังยุทธ์ที่ลึกล้ำของหานลี่ได้ จึงหน้าซีดขาวไปตั้งนานแล้ว ยามนี้ได้ยินคำพูดของหานลี่ก็รีบร้อนคารวะหานลี่ด้วยตัวที่สั่นเทาพลางเอ่ยอย่างนอบน้อม
“มิกล้า! ชนรุ่นหลังไม่ทราบว่าสหายเซี่ยงมีที่มาเดียวกับท่านอาวุโส ศิลาวิญญาณพวกนี้ไม่ได้มีค่าอันใดคิดว่าเป็นสิ่งที่ชนรุ่นหลังคารวะท่านอาวุโสก็แล้วกัน”
“หึๆ เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่ชอบติดหนี้บุญคุณคนอื่นงั้นหรือ? เท่าไหร่บอกมาเถิด!” หานลี่ตีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงเย็นชาขึ้นหลายส่วน
“ไม่มาก แค่…” ชายหน้าเขียวคล้ำใจเต้น รีบร้อนเอ่ยจำนวนที่ไม่พอให้หานลี่ต้องพูดถึงออกมา
หานลี่พลิกฝ่ามือ ถุงหนังปรากฏขึ้นใบหนึ่ง โยนออกไปอย่างส่งเดชและใช้น้ำเสียงแกมออกคำสั่งเอ่ยว่า
“เก็บศิลาวิญญาณไป เจ้าไปได้แล้ว”
ชายหน้าเขียวคล้ำพยักหน้าค้อมเอวตรวจสอบถุงหนังแล้วก็จากไปโดยไม่กล้าพูดอันใดอีก
“ช่างน่าละอายเสียจริง ทำให้ศิษย์น้องหานสิ้นเปลืองแล้ว แล้วยังเห็นท่าทีจนตรอกของพี่อีก” เซี่ยงจือหลี่รอจนชายหน้าเขียวคล้ำหายไปก็ประสานมือคารวะหานลี่แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น
“ไม่เป็นไร ศิลาวิญญาณแค่นี้เล็กน้อย กลับเป็นข้าที่ได้พบกับศิษย์พี่เซี่ยงที่นี่ ช่างบังเอิญเสียจริง ทว่าข้าจำได้ว่าศิษย์พี่เคยกล่าวกับข้าเอาไว้หากข้าใกล้จะกลับไปที่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนควรจะมาพบท่านอีกสักครั้งหนึ่ง เพราะมีเรื่องจะสั่งเสียกับข้า ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องใด ศิษย์พี่สะดวกบอกตอนนี้หรือไม่” หานลี่ยกมือขึ้นม่านลำแสงสีเทาชั้นหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ถึงได้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ภายใต้เขตอาคมลำแสงเทวะดูดปราณชั่วคราว หานลี่กลับไม่กลัวว่าบทสนทนาของทั้งสองจะถูกคนอื่นแอบฟังเข้า
แม้ว่าเซี่ยงจือหลี่จะไม่รู้ว่าหานลี่ใช้อิทธิฤทธิ์ใด แต่เห็นท่าทางเอ่ยถามอย่างจริงใจของหานลี่ย่อมรู้ว่ามีความลึกลับอยู่หลายส่วน ทันใดนั้นแววตาจึงเปล่งประกายพลางเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “ศิษย์น้องถามเช่นนี้ หรือว่าจะกลับแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนแล้ว”
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าได้ทำธุระให้กับชาวเผ่าเมฆาสวรรค์ จึงยืมใช้เขตอาคมส่งตัวระดับสูงของพวกเขาได้ครั้งหนึ่ง อีกไม่นานก็จะออกจากแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีแล้ว” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
“เยี่ยมจริงๆ ทว่าข้ามีของจะมอบให้ศิษย์น้องแต่ยามนี้ไม่ได้พกติดตัวมาด้วย และยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ก็ไม่เหมาะที่จะพูดคุยกัน เอาอย่างนี้ก็แล้วกันสามวันหลังจากนี้ศิษย์น้องมาที่ยอดเขามังกรวารีสีเขียวที่อยู่ห่างจากเมืองไปร้อยกว่าลี้ พวกเราไปพบกันที่นั่นจะได้พูดคุยกันสะดวก” เซี่ยงจือหลี่เอ่ยด้วยความยินดี
“ยอดเขามังกรวารีสีเขียว? ในเมื่อศิษย์พี่เซี่ยงกล่าวเช่นนี้ก็ทำตามนั้นเถิด” หานลี่ได้ยินแววตาก็ฉายแววประหลาดใจอย่างสัมผัสได้ยากแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าส่งๆ
“ตกลงตามนี้ ใช่แล้ว ศิษย์น้องหานมิใช่พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นอีกแล้วหรือ แม้ว่ายามนี้จะมองพลังยุทธ์ของศิษย์น้องไม่ออก แต่พลังแรงกดที่มีต่อข้ากลับไม่เหมือนกับคราวที่แล้ว!” เซี่ยงจือหลี่พิจารณาหานลี่อีกสักสองสามแวบแล้วเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง
“พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นอะไรกัน แค่ฝึกฝนเพิ่มขึ้นนิดหน่อยแค่นั้น” หานลี่ฉีกยิ้มแล้วตอบกลับอย่างคร่าวๆ
เช่นนั้นหานลี่พูดคุยกับเซี่ยงจือหลี่อีกชั่วครู่ก็เก็บลำแสงเทวะดูดปราณ หยุดรถอสูรคันหนึ่งไว้แล้วขอตัวลา
ชายชรายืนอยู่ที่เดิม มองเงาแผ่นหลังของรถอสูรที่จากไปบนถนน หางตากระตุกเล็กน้อยคาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นรอยยิ้มแปลกประหลาดที่ไม่เป็นธรรมชาติ…
แม้ว่าเมืองมังกรจะกว้างใหญ่เช่นกันแต่เทียบกับเมืองเมฆาแล้วก็ยังเล็กกว่าเล็กน้อย
หานลี่นั่งอยู่บนรถอสูรหลังจากผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยามก็มาถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง
ที่นี่มีหอคอยและวิหารเชื่อมติดกันหลายหลัง ล้อมยอดเขาทั้งลูกเอาไว้ข้างใน
หานลี่เดินขึ้นภูเขาไปตามทางที่พลขับชี้บอก แต่ตรงสันเขาพลันมีนักรบชุดเกราะจำนวนมากปรากฏขึ้น ท่าทางระมัดระวังตัวมาก
โชคดีที่หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกเพิ่งผ่านไป ดังนั้นหลังจากที่หานลี่แสดงฐานะก็ผ่านการตรวจสอบได้อย่างง่ายดาย
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ก็มาปรากฏตัวหน้าหอคอยขนาดใหญ่บนยอดเขา
ตรงประตูหอคอยมีแผ่นป้ายสีเหลืองทองแขวนอยู่คู่หนึ่ง ด้านบนใช้ตัวอักษรโบราณเขียนคำว่า “หอคอยดาราเมฆา” เอาไว้มันเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับดูสะดุดตามาก
ทั้งสองฝั่งของประตูมีผู้สวมชุดสีเงินแปดคนสะพายกระบี่ยาวไว้ที่หลังยืนที่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ
ทว่าสิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงก็คือด้านหน้าหอคอยยังมีชายชราตัวอ้วนกลมสวมชุดคลุมสีเหลืองยืนเอามือไพล่หลังอยู่
ทว่าเมื่อเห็นหานลี่ชายชราสวมชุดคลุมสีเหลืองก็เผยรอยยิ้มออกมาขณะเดินเข้ามา
คาดไม่ถึงว่าชายชราผู้นี้จะเป็น “เชียนจีจื่อ” จากเผ่าหมื่นโบราณ