คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1746 ออกจากเสียงเพรียกอัสนี
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1746 ออกจากเสียงเพรียกอัสนี
ฉับพลันนั้นร่างของหานลี่พลันมีไอสีดำวนเวียน เกราะสงครามสีดำสนิทปรากฏขึ้น
อักขระยันต์สีดำจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากเกราะสงคราม
ดูเหมือนว่าลำแสงโลหิตปะทะเข้ากับไอสีดำ กลับส่งเสียง “ปัง” ออกมา อักขระเปล่งแสงสว่างวาบแล้วถูกดีดออก
เงาโลหิตกลิ้งหลุนๆ ออกไป เผยร่างเดิมออกมา
แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ในที่สุดก็มองเห็นรูปร่างของเงาโลหิตได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าเขาจะผ่านประสบการณ์มามากมาย สีหน้าก็อดที่จะเปลี่ยนสีไปไม่ได้
เมื่อปราดมองใบหน้าของเงาโลหิต คาดไม่ถึงว่าจะเป็นใบหน้าของภูตผีมีเขี้ยวอัปลักษณ์ แต่หลังจากที่เปล่งแสงสว่างวาบ หน้าผีก็กลายเป็นใบหน้าของเซี่ยงจื่อหลี่ หลังจากรางเลือนไปอีกครั้ง ก็กลายเป็นใบหน้าของบุรุษอีกคนหนึ่ง
และบุรุษคนนี้ หานลี่ก็รู้จัก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นมารเฒ่าที่เข้ามาในห้วงมิติเวลาพร้อมกับเซี่ยงจื่อหลี่
ใบหน้าของเงาโลหิตมีสามชนิดและเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็ว ราวกับคลื่นธาราไม่อาจนิ่งสงบได้
“เกราะมารเหนือฟ้า? เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะมีเกราะสงครามของมารสวรรค์ได้อย่างไร!”
เงาโลหิตพลิ้วกาย ในที่สุดก็ปรากฏตัวอีกครั้งในจุดที่ไม่ไกลนัก ปากก็เปล่งเสียงตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวออกมา
น้ำเสียงเหมือนเซี่ยงจื่อหลี่ แต่ก็ทำให้หานลี่รู้สึกไม่คุ้นเคยเล็กๆ
หานลี่แค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีทองเรืองรอง ราวกับทองคำอย่างไรอย่างนั้น ในเวลาเดียวกันนั้นเกราะสีทองก็ปรากฏออกมา
“เจ้าคิดว่าสวมเกราะมารเหนือฟ้า ข้าจะทำอันใดเจ้าไม่ได้งั้นหรือ!” เงาโลหิตเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ใบหน้าพลันเปลี่ยนไปมาสองสามครั้ง ปากก็ร้องเสียงประหลาดๆ ออกมา ร่างกายหมุนติ้วๆ
ชั่วพริบตาพายุหมุนสีโลหิตสายหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากร่างของเงาโลหิต ความสูงสิบกว่าจั้ง
ท่ามกลางพายุหมุนมีเสียงอึกทึกดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบเป็นสายๆ ท่าทางน่าตกตะลึงยิ่ง
จากนั้นเงาโลหิตก็ร่ายคาถาประหลาดๆ พายุหมุนพลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าจะหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็กลายเป็นอักขระสีโลหิตขนาดเท่าศีรษะ ปรากฏขึ้นตรงหน้าเงาโลหิต
หานลี่สัมผัสได้รางๆ ว่าอักขระนี้แผ่ระลอกคลื่นออกมา สีหน้าพลันเคร่งขรึม
เสียงอัสนีฟ้าฟาด!
อักขระสีโลหิตหมุนคว้าง กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีแดงโลหิตสายหนึ่งสับลงมา
เสียง “ปัง” ดังขึ้น!
ประจุไฟฟ้าและอักขระสีดำสัมผัสกันก็เปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะทำให้อักขระสีดำสลายออก โจมตีไปยังเกราะมารเหนือฟ้าสีดำตรงๆ
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีโลหิตก็สลายหายไป เกราะสีดำมีรูโหว่ขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้น
ใบหน้าของเงาโลหิตเผยแววโหดเหี้ยมออกมาอีกครั้ง หลังจากหัวเราะประหลาดๆ แล้ว ก็กลายเป็นสายรุ้งสีโลหิตสายหนึ่งพุ่งออกมา
ความเร็วของมันแค่เปล่งแสงสว่างวาบก็มาอยู่ตรงหน้าหานลี่ กระโจนไปหารูโหว่บนชุดเกราะ
แต่ในยามนั้นเองบรรยากาศรอบๆ พลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ฝ่ามือยักษ์สีทองปรากฏขึ้นตรงรูโหว่ นิ้วทั้งห้ากางออก ตะปบไปทางสายรุ้งสีโลหิต
ลำแสงสีโลหิตหม่นแสงลง เงาโลหิตปรากฏตัวขึ้นในมือสีทองอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าหวาดกลัว แต่ก็อ้าปากออก พ่นเปลวเพลิงโลหิตใส่หานลี่
กระบวนท่านี้เลวร้ายมาก!
หานลี่ในยามนี้ไม่อาจขยับตัวได้เลยสักนิด ประกอบกับระยะใกล้แค่นี้ ตามหลักการแล้วย่อมไม่อาจล้มเหลวได้
แต่มุมปากของหานลี่พลันขยับ เผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา
หว่างคิ้วมีลำแสงสีดำสว่างวาบ ดวงตาสีดำสนิทข้างหนึ่งลืมตาขึ้น ลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ พ่นลำแสงสีดำสายหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วโจมตีไปยังเปลวเพลิงโลหิตอย่างแม่นยำ
เสียง “ฟู่” ดังขึ้น บรรยากาศรอบด้านบิดเบี้ยว ทั้งสองตัดสลับกันไปมา ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปกลางอากาศ แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เงาโลหิตพลันตกตะลึง ร่างเปล่งแสงสีโลหิต หมายจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อันใดอีก แต่กลับไม่มีโอกาสแล้ว
ฝ่ามือสีทองมีเปลวเพลิงสีเงินทะลักออกมาจากนิ้วทั้งห้า แค่หมุนวนก็ห่อหุ้มเงาโลหิตเอาไว้
เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังออกมาจากเปลวเพลิงสีเงิน เงาโลหิตพยายามดิ้นรนไปมาไม่หยุด ร่างกายยืดยาวราวกับไร้กระดูก ชั่วครู่ก็เปลี่ยนเป็นหนาขึ้น แล้วเปลี่ยนร่างไปมาไม่หยุด
แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ฝ่ามือสีทองก็กำแน่นราวกับแมลงติดอยู่บนกระดูก ทำให้เขาไม่อาจหลบหลีกการควบคุมจากฝ่ามือได้เลยสักนิด
หลังจากผ่านไปแค่ชั่วลมหายใจ เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาก็หยุดลง!
เงาโลหิตหายวับไปท่ามกลางเปลวเพลิง
จะว่าไปแล้วก็นับว่าเงาโลหิตนั้นโชคร้าย
เดิมจากร่างกายที่ไร้รูปร่างของมัน สมบัติธรรมดาและอิทธิฤทธิ์ไม่อาจกักหรือทำร้ายได้ แต่แค่ฝ่ามือสีทองที่สร้างขึ้นจากร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นเพราะพลังยุทธ์หานลี่เพิ่มขึ้นและทำการหลอมหลายครั้งก็มีอานุภาพที่น่าเหลือเชื่อจนสามารถดูดเงาโลหิตที่ไร้รูปร่างได้
ส่วนเพลิงเที่ยงแท้กลืนวิญญาณ เดิมก็เชี่ยวชาญการกลืนกินฟ้าดิน ประกอบกับกลืนเพลิงต่างๆ เข้าไป จึงมีผลในการควบคุมไอมารมากยิ่งขึ้น
นี่จึงทำให้เงาโลหิตถูกหลอมจนกลายเป็นเถ้าถ่านได้อย่างง่ายดาย
หานลี่มองทุกอย่าง ใบหน้าผ่อนคลายลง เนตรทำลายล้างตรงหว่างคิ้วค่อยๆ ผสานเข้าหากันแล้วสลายหายไป
จากนั้นเขาพลันบริกรรมคาถา ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ อ้าปากออกพ่นดวงแสงขนาดเท่ากำปั้นออกมา
ด้านนอกดวงแสงถูกลำแสงสีทองห่อหุ้มเอาไว้ ด้านในกลับมีเส้นไหมลำแสงสีเทาขาวตัดสลับกันไปมา
สิ่งที่ทะลักเข้ามาในร่างเมื่อครู่ถูกเขาใช้พลังปราณแท้กดเอาไว้ และดันออกมาจากร่าง
นี่เป็นเพราะพลังยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้น เคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้จึงใกล้จะประสบความสำเร็จ มิเช่นนั้นคงไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ได้
และหลังจากที่ดวงแสงสีเทาขาวถูกเขาพ่นออกมา ร่างกายก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
หานลี่ชี้ไปที่เปลวเพลิงสีเงินโดยไม่ปริปาก
ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงเที่ยงแท้กลืนวิญญาณก็เปล่งเสียง “สวบ” ม้วนวนท่ามกลางฝ่ามือสีทอง แล้วห่อหุ้มดวงแสงเอาไว้
ฝ่ามือสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วสลายหายไปจากกลางอากาศ
หลังจากที่ดวงแสงสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบท่ามกลางเปลวเพลิงสีเงิน ก็หายวับไป
ยามนี้หานลี่พลันกลอกตาไปมา กวาดมองโครงกระดูกที่มีเนื้อหนังโลหิตรางๆ ซึ่งอยู่ไกลออกไปสองสามจั้ง ก็อดที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งไม่ได้
แม้ว่าเขาในยามนี้จะไม่เข้าใจว่าเซี่ยงจื่อหลี่พบกับความยากลำบากอันใด คาดไม่ถึงว่าในร่างกายจะมีเงาโลหิตซ่อนอยู่ แต่กายเนื้อกลับเป็นของเซี่ยงจื่อหลี่อย่างไม่ต้องสงสัย
และยิ่งไปกว่านั้นยามที่ใบหน้าของเงาโลหิตเปลี่ยนแปลงไป คาดไม่ถึงว่าจะดูดจิตวิญญาณดั้งเดิมของเซี่ยงจื่อหลี่และมารเฒ่าถูกกลืนกินกลายเป็นร่างเดียวกัน
หากไม่ใช่วันนั้นที่เขาได้พบเซี่ยงจื่อหลี่ในเมืองเมฆาครั้งแรก วิญญาณครวญยังไม่หลับลึกและมีท่าทีกระวนกระวายใจไม่เป็นสุข จนทำให้เขาระวังตัวขึ้น เกรงว่าคงไม่อาจพบความผิดปกติของ “เซี่ยงจื่อหลี่” ได้
เดิมต่อให้ “เซี่ยงจื่อหลี่” จะมีปัญหาจริงๆ ขอแค่ไม่มาหาเรื่องเขา หานลี่ก็ไม่คิดจะเสียแรงไปจัดการอันใด
แต่ “เซี่ยงจื่อหลี่” ผู้นี้พบกับเขาสองครั้ง ล้วนมีท่าทีไม่คิดร้ายต่อเขา
หานลี่ย่อมเกิดจิตสังหาร แล้วถึงได้มาตามที่นัดหมาย
ทว่าเป็นเพราะไม่มั่นใจว่า “เซี่ยงจื่อหลี่” มีปัญหาจริงๆ หรือไม่ เขาถึงได้รอให้อีกฝ่ายก่อกบฏก่อน
หานลี่ที่ระมัดระวังตัวอยู่แล้ว หลังจากที่พลังยุทธ์พัฒนาขึ้นในแดนกว้างเย็น แน่นอนว่าย่อมมั่นใจว่าจะไม่ถูกเงาโลหิตลอบทำร้าย
ความจริงแล้วเมื่อครู่ต่อให้เขาไม่ใช่ร่างทองและเพลิงกลืนวิญญาณ ก็มีวิธีการอื่นในการจัดการกับอันตรายเมื่อครู่และสังหารมารตัวนั้นได้อย่างง่ายดาย
ถึงอย่างไรเสียกายเนื้อของเซี่ยงจื่อหลี่ที่ถูกสิงอยู่ก็มีพลังยุทธ์แตกต่างกับหานลี่เป็นอย่างมาก
แม้ว่าเงาโลหิตจะระเบิดกายเนื้อของเซี่ยงจื่อหลี่ และดูดซับโลหิตบริสุทธิ์กว่าครึ่งของกายเนื้อไป ก็ยังสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาได้ไม่เท่าไหร่
หานลี่ยืนเงียบๆ อยู่ที่เดิม ในใจขบคิดไปมาไม่หยุด
เซี่ยงจื่อหลี่เป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดในเผ่ามนุษย์ คาดไม่ถึงว่าจะมีจุดจบเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนอดที่จะถอนหายใจไม่ได้จริงๆ
และไม่รู้ว่าเขาและมารเฒ่าเจอกับอันใดในห้วงมิติเวลา หลังจากที่เข้ามาในแดนวิญญาณแล้ว ถึงได้พบกับเงาโลหิตและถูกยึดครองร่างไป
หากเป็นอย่างหลัง แน่นอนว่าย่อมทำให้ผู้คนต้องใจหายไม่หยุด
หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อไปบนพื้นเบาๆ
ชั่วขณะนั้นก็พ่นระลอกคลื่นสีแดงเพลิงออกมา เพลิงลำแสงหมุนวนไป ซากศพกลายเป็นเถ้าถ่านแล้วหายวับไป
ส่วนสิ่งที่เรียกว่า ‘ยันต์วิญญาณยักษ์’ หายไปพร้อมกับเงาโลหิตตั้งนานแล้ว กลายเป็นผุยผง
เดิมหานลี่เห็นลำแสงสีเทาขาวร้ายกาจเพียงนี้ก็คิดจะศึกษา ตอนนี้ทำได้เพียงช่างเถิด
จากนี้เขาก็ไม่ได้รั้งรออันใดอีก หลังจากนั้นตะปบไปกลางอากาศรอบด้านยอดเขา
ชั่วขณะนั้นรอบด้านยอดเขาก็มีระลอกคลื่นที่สัมผัสได้ยากปรากฏขึ้น ลำแสงหลากสีสันสิบกว่าสายพุ่งออกมา ทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
นั่นคือธงอาคมสิบกว่าด้ามที่ปล่อยออกไปตั้งแต่แรก!
ธงอาคมเหล่านี้เพิ่งจะก่อตัวเป็นเขตอาคมง่ายๆ แค่เขตอาคมที่ง่ายกว่าระลอกคลื่นไอวิญญาณเท่านั้น
ชั่วพริบตาที่ “เซี่ยงจื่อหลี่” มาถึงยอดเขา ก็ถูกเขากระตุ้นเขตอาคม กลบกลิ่นอายการต่อสู้เมื่อครู่ มิเช่นนั้นแม้ว่าจะอยู่ห่างจากเมืองมังกรไปร้อยลี้ แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นแล้ว ก็ยังคงตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว
ยามนี้มีเขตอาคมอำพรางอยู่ แม้ว่าจะไม่อาจกำจัดร่องรอยการต่อสู้ได้หมด แต่สิ่งมีชีวิตระดับสูงก็ไม่อาจสัมผัสได้อย่างชัดเจน
ลำแสงหลีกหนีปรากฏขึ้น หานลี่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไป หลังจากหมุนวนโคจรเหนือยอดเขารอบหนึ่ง ก็พุ่งไปทางเมืองมังกร
หลังจากนั้นไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ นักรบชุดเกราะที่มาลาดตระเวนกลุ่มหนึ่งก็บินมาจากอีกด้าน แต่หลังจากตรวจสอบรอบๆ ยอดเขาแล้วก็ไม่ได้พบอันใด และทำได้เพียงจากไปอย่างกลัดกลุ้มเท่านั้น
ส่วนหานลี่ที่กลับมาถึงเมืองมังกร เมื่อเข้ามาในที่พัก ก็ไม่คิดออกจากที่พักง่ายๆ อีก
เวลาสิบวันที่เหลือ เชียนจีจื่อและพวกทั้งสามก็ส่งคนนำวัตถุดิบที่เหลือมาให้หานลี่ รักษาคำสัญญาที่ให้ไว้
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมรับไว้ทั้งหมดอย่างไม่เกรงใจ
หนึ่งเดือนต่อมาในที่สุดหานลี่ก็ออกจากที่พัก แล้วตรงไปยังยอดเขาที่สูงที่สุดในเมืองมังกร
ว่ากันว่าในยอดเขามีความลับที่ไม่ให้คนนอกรู้ซ่อนอยู่ในสิ่งปลูกสร้างหลักๆ ของเมืองมังกร
ครึ่งเดือนต่อมายอดเขาก็สั่นสะเทือน เสาลำแสงยักษ์พ่นออกมาจากเนินเขา แล้วพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
แต่หลังจากกะพริบวาบๆ เสาลำแสงยักษ์ก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
แม้ว่าสถานการณ์นี้จะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในชนต่างเผ่า และถกเถียงกันด้วยความสงสัยไปหลายวัน
แต่เวลายาวนานเช่นนี้ทุกคนกลับลืมเรื่องนี้ไป ยังคงยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของตัวเอง
แทบจะในเวลาเดียวกัน ในแดนลึกลับแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่ พลันมีเสาลำแสงสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมาเช่นกัน จากนั้นหลังจากที่เสาลำแสงหม่นแสงลง เงาร่างคนก็ปรากฏตัวกลางใจกลางของเขตอาคมยักษ์