คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1751 ขับไล่
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1751 ขับไล่
ในห้องโถงบนชั้นสูงของเจดีย์ศิลา หลังจากที่สายรุ้งสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบก็หายวับไป
“จานวิญญาณวิเศษมีปฏิกิริยาอันใดหรือ?” ชายชราร่างกายผ่ายผอมเห็นลำแสงหลีกหนีของหานลี่ออกไปไกล ก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“รายงานใต้เท้า ไม่มี ท่านอาวุโสหานผู้นี้คือเผ่ามนุษย์จริงแท้แน่นอนขอรับ!” ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลคนหนึ่งตอบ
“ไม่มีแผ่นป้ายผ่านทาง แผ่นป้ายผู้พิทักษ์ยมโลกนิลถูกยกเลิกก็ไม่ถูกเก็บกลับคืน หรือว่าหลายปีมานี้คนผู้นี้อยู่ในแดนรกร้าง ดูแล้วคงได้รับวาสนาไม่น้อย มิเช่นนั้นสามร้อยปีคงไม่อาจบรรลุระดับหลอมสุญตาขั้นปลายจากระดับเทพแปลงได้แน่ ทว่าในเมื่อเป็นเผ่ามนุษย์ คิดดูแล้วคงไม่มีปัญหา ข้าก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากอันใด” ผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมแววตาเปล่งประกายชั่วครู่ สุดท้ายก็สั่นศีรษะ
เรื่องพัฒนาระดับขั้นอย่างต่อเนื่องภายในสองสามร้อยปีมานี้ แม้ว่าจะหาได้ยากมาก แต่ในแดนรกร้างๆ ต่างก็มีวาสนาอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน และไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากอีกฝ่ายไม่เคยเข้าร่วมผู้พิทักษ์สวรรค์มาก่อน เขาก็ลองทดสอบได้ ดูว่ามาตีสนิทกับผู้พิทักษ์สวรรค์หรือไม่ ยามนี้อีกฝ่ายเป็นอิสระจากเมืองเทวะสวรรค์แล้ว เขาย่อมไม่มีทางไปหาเรื่องอีก
ดังนั้นผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมผู้นี้จึงลืมเรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็ว กลอกตาไปมาแล้วมองไปยังนักปราชญ์ทั้งสี่คนที่เดินออกมาจากวิหารจากจุดเดียวกัน
……
หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีพิจารณาด้านล่างไม่หยุด
สามร้อยปีผ่านไป สิ่งปลูกสร้างทุกอย่างในเมืองเทวะสวรรค์แทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด
ในเมืองยังคงมีนักรบชุดเกราะสีดำขาวจำนวนมากลาดตระเวนอยู่กลางอากาศต่ำๆ และมีผู้บำเพ็ญเพียรจากภายนอกจำนวนมากกำลังเข้าๆ ออกๆ สิ่งปลูกสร้างอย่างรีบร้อน
ทั้งเมืองมีท่าทีคึกคักเป็นอย่างยิ่ง มองร่องรอยการถูกชนต่างเผ่าเข้าโจมตีไม่ออกเลยสักนิด
ทว่าเช่นนั้นหานลี่กลับไม่ได้สนใจอันใด ลำแสงหลีกหนีพุ่งตรงไปยังย่านร้านค้าของเมืองเทวะสวรรค์
การมาของเขาครั้งนี้ไม่ได้คิดจะรั้งรออยู่ที่เมืองเทวะสวรรค์นานนัก
หลังจากทำให้พลังปราณมาร้อยกว่าปี ประกอบกับเกิดมารเข้าแทรกระดับจิตใจไปหลายครั้ง เขาก็มีเงื่อนไขที่จะบรรลุระดับคอขวดของระดับผสานอินทรีย์แล้ว หากฝึกฝนอีกสักหน่อย ก็จะเริ่มทะลวงจุดคอขวดแล้ว
จากอิทธิฤทธิ์มากมายในตัวเขา แม้ว่าจะอยู่แค่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น ก็น่าจะต้านทานระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายได้แล้ว แทบจะไร้เทียมทานระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ
ดังนั้นสิ่งที่เขาจะทำต่อจากนี้ ขอแค่เลือกสถานที่ลับใกล้ๆ กับเมืองเทวะสวรรค์แห่งหนึ่ง เตรียมกักตนสักระยะ เพื่อเริ่มทะลวงจุดคอขวดเท่านั้น
ก่อนหน้านั้นเขาย่อมลืมเรื่องอื่นๆ ไป เก็บเอาไว้ยังไม่สนใจชั่วคราว
ทว่าเมื่อสูญเสียพลังไปร้อยกว่าปี เขาจำต้องหาวัตถุดิบช่วยเสริมจำนวนมากในเมืองเทวะสวรรค์ก่อน
แม้ว่าที่ผ่านมาจะฟื้นฟูกลับมาได้บ้างในเขตของชนต่างเผ่า แต่เป็นเพราะสถานที่ที่ไปล้วนเป็นเขตแดนของชนต่างเผ่า แน่นอนว่าจึงไม่อาจฟื้นฟูอันใดได้มากนัก
หากไม่ใช่เพราะตอนแรกเขาออกจากแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีนั้นได้เตรียมของมาไม่น้อย เกรงว่าคงจำใจต้องหยุดเรียนรู้และศึกษาสิ่งต่างๆ ระหว่างทางแล้ว
จากขนาดของเมืองเทวะสวรรค์ น่าจะจะรวบรวมได้อย่างครบครัน
และหากมีวัตถุดิบเหล่านี้ เขาก็สามารถหลอมยุทธภัณฑ์และยาลูกกลอนมาใช้ช่วยทะลวงจุดคอขวดแล้ว
ย่านร้านค้าของเมืองเทวะสวรรค์ หานลี่ไปมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
ดังนั้นครึ่งชั่วยามต่อมา เขาก็ถูกม่านลำแสงยักษ์แบ่งครึ่งสิ่งปลูกสร้างบนถนนออก
อีกด้านของม่านลำแสง เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนของเผ่าปีศาจในเมืองเทวะสวรรค์
และวิหารหลังหนึ่งตรงใจกลางม่านลำแสงก็เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนสินค้าหายากระหว่างทั้งสองเผ่า
หานลี่กวาดสายตาไปยังวิหารยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี เงาร่างหญิงสาวเผ่าปีศาจฉายวาบขึ้นในสมองรางๆ แล้วเลือนหายไป
ตอนนั้นที่เขาอยู่ในวิหารแห่งนี้ เคยแลกเปลี่ยนกับหญิงสาวเผ่าปีศาจนิรนามคนหนึ่งไปหลายครั้ง ใช้แลกเปลี่ยนกับสมุนไพรและเมล็ดพันธุ์หายากในมือของเผ่าปีศาจ
หากไม่มีช่องทางนี้ แล้วให้เขารวบรวมเองในตอนนั้น ก็ไม่รู้ว่าต้องเสียเวลาอีกเท่าไหร่
ทว่าหญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนจะมีที่มาที่ไป ตอนนั้นคาดไม่ถึงว่าจะรู้ล่วงหน้าว่าเมืองเทวะสวรรค์จะถูกชนต่างเผ่าโจมตี ดังนั้นจึงรีบออกจากเมืองเทวะสวรรค์ไปก่อน
หานลี่ชักสายตากลับมา หลังจากมองไปทางซ้ายทีขวาที ก็เข้าไปในร้านค้าวัตถุดิบที่ค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่งด้วยสีหน้าเฉยเมย
“ร้านเล็กๆ ขายวัตถุดิบในการหลอมอาวุธทุกอย่าง ท่านอาวุโสอยากได้อันใด ก็รับสั่งมาเถิด”
คาดไม่ถึงว่าในร้านจะมีคนอยู่ห้าหกคน ชายหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เจ้าออกไปก่อน ท่านอาวุโสผู้นี้ข้าจะเป็นผู้ต้อนรับเอง”
หานลี่ไม่ทันได้เอ่ยอันใด เถ้าแก่ที่เดิมนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ พบว่าของที่อยู่ในมือเปล่งแสงระยิบระยับ ก็กระโดดขึ้นมาจากเก้าอี้ แล้วเอ่ยด้วยเสียงอันดัง
จากนั้นชายชราระดับจิตวิญญาณสีทองก็วิ่งเหยาะๆ มาอยู่ตรงหน้าของหานลี่ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้านอบน้อม
“ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสมาเยี่ยมเยียนร้านของเรา ชนรุ่นหลังไม่ได้ออกไปรับแต่ไกล หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่ถือสา”
หานลี่ได้ฟังก็รู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย
แม้ว่าจะบรรลุระดับแล้ว เขากลับไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาลับจงใจปิดบังพลังยุทธ์ของตนเอง แต่สิ่งมีชีวิตระดับจิตวิญญาณสีทองคนหนึ่งย่อมไม่มีทางมองพลังยุทธ์ของเขาออกแน่
แต่เมื่อสายตาของชายชรากวาดไปที่อาวุธทรงจานอาคมในมือแวบหนึ่ง หานลี่พลันเข้าใจขึ้นมา แล้วพยักหน้าขณะเอ่ย
“ที่แท้เจ้าก็มีจานกดวิญญาณ มิน่าล่ะถึงรู้พลังยุทธ์ของข้า เอาละ ไม่พูดพล่ามไร้สาระแล้ว ข้าต้องการวัตถุดิบจำนวนมาก เจ้าไปรวบรวมมาให้ข้าเถิด”
หานลี่พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือมีคัมภีร์สีขาวปรากฏขึ้น แล้วโยนไปทางชายชรา
ชายชราใช้สองมือรับคัมภีร์เอาไว้ ปากก็เอ่ยตอบรับเป็นพัลวัน แต่หลังจากกวาดจิตสัมผัสไปในคัมภีร์ ก็เผยสีหน้าทั้งตกตะลึงระคนดีใจออกมา
“คาดไม่ถึงว่าท่านอาวุโสจะต้องการวัตถุดิบจำนวนมากเพียงนี้ ร้านเล็กๆ ของเราหาให้ได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่วัตถุดิบอื่นต้องไปยืมจากร้านอื่น ท่านอาวุโสรอสักประเดี๋ยวได้หรือไม่ขอรับ”
“ได้ ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งเค่อ” หานลี่ออกคำสั่งอย่างราบเรียบ
ชายชราได้ยินพลันดีใจ รีบร้อนเชิญให้หานลี่นั่งลงบนเก้าอี้อีกด้าน จากนั้นก็ให้เด็กรับใช้คนหนึ่งน้ำชาวิญญาณมาเสิร์ฟ แล้วออกคำสั่งให้คนอื่นๆ ไปหยิบวัตถุดิบในคลัง
และจากนั้นเขาก็ออกจากประตูร้าน ตรงไปยังร้านที่ค่อนข้างสนิทสนม รวบรวมวัตถุดิบอื่นๆ ให้หานลี่
เมื่อเห็นเถ้าแก่ทำเช่นนี้ เด็กรับใช้เหล่านั้นจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหานลี่ผู้ซึ่งเป็น “ท่านอาวุโส” จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่งกาจมาก จึงอดที่จะมองมาด้วยสายตาหวั่นเกรงไม่ได้
หานลี่จิบชาวิญญาณในมืออย่างสบายอารมณ์ แล้วหลับตาทำสมาธิไม่ได้ปริปากใดๆ
ผลคือผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ชายชราก็กลับมาพร้อมสีหน้ายินดี ในมือมีกำไลเก็บของปรากฏขึ้น
และในยามนี้เด็กรับใช้คนอื่นๆ ในร้านก็หยิบกล่องหยกขวดหยกขนาดน้อยใหญ่ออกมากองใหญ่
สำหรับหานลี่ในตอนนี้บางทีวัตถุดิบเหล่านี้ก็เป็นเพียงวัตถุดิบช่วยเสริมธรรมดาๆ เท่านั้น แต่สำหรับเจ้าของร้านแล้ว ยังคงเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก
จิตสัมผัสกวาดไปที่กล่องและขวดในกำไลเก็บของสองสามรอบ หานลี่เอ่ยถามราคาอย่างราบเรียบ
ชายชราเอ่ยราคาที่มหาศาลสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ออกมาด้วยรอยยิ้ม
หานลี่กลับไม่กระตุกแม้แต่เปลือกตา มือหนึ่งปัดไปบนข้อมือ ชั่วขณะนั้นถุงหนังขนาดไม่ใหญ่นักก็ถูกโยนออกไป
ชายชรารับถุงหนังไป กวาดจิตสัมผัสเข้าไป คาดไม่ถึงว่าจะมากกว่าที่เขากล่าวไว้ ทันใดนั้นก็เอ่ยขอบคุณด้วยความดีใจ
หานลี่เก็บของทั้งหมดมาด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วเดินตัวปลิวออกไปจากประตู
ลำแสงหลีกหนีปรากฏขึ้น หานลี่ออกจากย่านร้านค้า ตรงไปยังอีกด้านของเมืองเทวะสวรรค์
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม เขาก็เดินอย่างทระนงองอาจออกจากเมืองเทวะสวรรค์ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งไปยังเทือกเขาที่เรียงตัวกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน หานลี่ก็เดินออกจากสถานที่ที่อยู่ในการดูแลของเมืองเทวะสวรรค์ แต่ยังคงไม่มีเจตนาจะหยุดพัก พลางเดินไปยังที่ที่ไกลแสนไกลต่อ
สองเดือนต่อมาในที่สุดสายรุ้งสีเขียวก็ร่อนลงมาบนยอดเขาสีเขียวขจี
ลำแสงหลีกหนีหม่นแสงลง เงาร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นบนก้อนหินยักษ์บนยอดเขา หลังจากพิจารณาชั่วครู่ ก็หลับตาลงแผ่จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งออกไป
ชั่วครู่ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ที่นี่มีชีพจรวิญญาณที่ไม่เลว แม้จะไม่ใหญ่นัก แต่ไอวิญญาณหนาแน่นในรัศมีสองสามร้อยลี้ ก็เหมาะสมจะให้เขาใช้พอดี
ทว่าเทือกเขาวิญญาณนี้ย่อมไม่อาจไร้เจ้าของ หลังจากที่กวาดจิตสัมผัสไปเมื่อครู่ ก็พบถ้ำพำนักของผู้บำเพ็ญเพียรขนาดน้อยใหญ่อยู่ใกล้ๆ คาดไม่ถึงว่าจะมีอยู่สิบกว่าหลัง
ในถ้ำพำนักเหล่านี้มากหน่อยก็มีผู้คนรวมตัวกันอยู่สิบกว่าคน น้อยหน่อยก็มีคนอาศัยอยู่แค่คนเดียว
ทว่าพลังยุทธ์สูงที่สุดก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตระดับก่อกำเนิดสองคนเท่านั้น ที่เหลือล้วนอยู่ในระดับหลอมรวมและสร้างปราณ
คิดดูแล้วก็ปกติ ผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงหน่อย ไหนเลยจะมาสร้างถ้ำพำนักในที่รกร้างเช่นนี้
ระดับเทพแปลงขึ้นไปสามารถเขย่าทุกสิ่งในรัศมีสองสามหมื่นลี้ แม้ว่าไอวิญญาณที่นี่จะไม่เลว แต่กลับไม่สามารถทนต่อสิ่งมีชีวิตระดับสูงได้
ทว่าหานลี่กลับไม่คิดจะฝึกฝนนาน แน่นอนว่าย่อมไม่ได้สนใจเรื่องนี้
ทันใดนั้นเขาพลันใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ขยับริมฝีปากสองสามครั้ง กลับเอ่ยคำพูดที่ไร้สุ้มเสียงออกมา ราวกับว่ากำลังถ่ายทอดเสียง
ตรงสันเขาของยอดเขาอีกลูกหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปร้อยลี้ ชายชราสวมชุดคลุมสีดำผมขาวโพลนคนหนึ่งกำลังอยู่ในห้องลับที่มีเขตอาคมแน่นหนา ตรงข้ามมีเตาสูงสองสามจั้ง มือหนึ่งร่ายอาคม สีหน้าเคร่งเครียด
ด้านล่างเตาหลอม เปลวเพลิงสีฟ้าเริงระบำอยู่รอบเตา ในเวลาเดียวกันกลิ่นหอมของสมุนไพรก็โชยออกมาจากตรงนั้น
ฉับพลันนั้นพลังจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อก็มองข้ามเขตอาคมแน่นหนาของห้องลับไป เข้าไปในห้องลับราวกับจิตสัมผัสมาร
ชายชราชุดคลุมสีดำไม่มีโอกาสได้ต่อต้าน เสียงปังดังขึ้น ถูกจิตสัมผัสกลุ่มนี้พาพลังมหาศาลกดลงกับพื้น ร่างกายไม่อาจกระดุกกระดิกได้เลยสักนิด
“เอ๋”
ชายชราร้องอุทานออกมา แน่นอนว่าย่อมตกตะลึง
แต่ไม่รอให้เขาได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอันใด เสียงบุรุษอันเย็นชาก็ดังสะท้อนไปมาในห้องลับ “ข้ามีธุระ ต้องยืมใช้ที่นี่สักหน่อย หวังว่าจะไม่ถูกรบกวน ทุกคนที่ได้ยินการถ่ายทอดเสียง รีบย้ายออกไปจากที่นี่ทันที ภายในหนึ่งวันหากยังมีคนกล้าอยู่แถวๆ นี้ จักได้อยู่ตลอดกาล”
ประโยคสั้นๆ จบลง พลังจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งก็สลายออกไป
ชายชราสวมชุดคลุมสีดำรู้สึกเพียงว่าตัวเบาลง แล้วกลับมาเคลื่อนไหวได้ดังเดิม
หลังจากที่เขายืนขึ้นด้วยกายที่สั่นเทาแล้ว แววตาก็เต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดกลัว
หลังจากที่ชายชราขบคิดชั่วครู่ ฉับพลันนั้นขยับปลายเท้า ร่างกายพุ่งออกจากห้องลับในพริบตา ไม่หันมองเตาหลอมที่เดิมให้ความสำคัญมากเลยสักแวบ
หนึ่งชั่วยามต่อมาลำแสงสีขาวสายหนึ่งก็หมุนวนอยู่เหนือยอดเขา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็พุ่งไปยังขอบฟ้า
ฉากที่เหมือนกันพลันเกิดขึ้นตามจุดต่างๆ ในรัศมีสองสามร้อยลี้
ลำแสงหลีกทยอยกันบินไปตามจุดต่างๆ สายแล้วสายเล่า ออกจากชีพจรวิญญาณไปอย่างรีบร้อน
ครึ่งวันต่อมาบนเทือกเขาก็ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ใดๆ อีก เหลือเพียงถ้ำพำนักที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน