คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1752 หลอมจิตสัมผัสขั้นที่หนึ่ง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1752 หลอมจิตสัมผัสขั้นที่หนึ่ง
หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปในรัศมีสองสามร้อยลี้ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนใดซ่อนตัวอยู่ ก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีไปยังสันเขา
ลำแสงสีเขียวหม่นแสงลง หานลี่ปรากฏตัวขึ้นด้านหน้ากำแพงหินสีเขียว
แววตาของเขาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบพลางพิจารณากำแพงหินสองแวบ กำไลเก็บของบนข้อมือสั่นเทา ลำแสงสีเขียวสองสามกลุ่มบินออกมา เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วกลายเป็นหุ่นเชิดร่างวานรสูงใหญ่สองสามตัว
ไม่ต้องให้หานลี่ออกคำสั่งอันใด หุ่นเชิดเหล่านี้ก็ยกมือขึ้น นิ้วทั้งสิบพ่นลำแสงสีเขียวความยาวสองสามฉื่อออกมาแล้วทยอยกันกระโจนเข้าหากำแพงหิน
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ กำแพงหินค่อยๆ ถูกสับออกราวกับเต้าหู้ ชั่วพริบตาประตูบานใหญ่สูงประมาณ สิบจั้งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
หุ่นเชิดสองสามตัวพลันเคลื่อนไหว เอามือจมหายเข้าไปในประตู
ยามนี้หานลี่กลับไม่ได้สนใจหุ่นเชิดเหล่านี้อีก กลับขยับแขนเสื้อ ลำแสงสีทองกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง อสูรน้อยความยาวสองสามฉื่อก็ปรากฏขึ้นบนพื้นตรงหน้า
อสูรน้อยตัวนี้มีขนปกคลุมสีทองเรืองรอง เมื่อมองผ่านๆ ก็ดูเหมือนลูกมิคาทนตัวหนึ่ง
นั่นก็คืออสูรเกล็ดมิคาทนตัวนั้น!
ผิวของอสูรตัวนี้เปล่งแสงสีทองสว่างวาบ ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็มีขนาดยักษ์สองสามจั้ง เผยเขี้ยวแหลมคมออกมา บนเรือนร่างปรากฏลวดลายสีดำแปลกประหลาดเป็นสายๆ เหนือหัวมีเขาสั้นๆ สีเงินยาวสองสามชุ่นงอกออกมาคู่หนึ่ง
มันแผ่กลิ่นอายน่ากลัวที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกออกมา
“ตรวจสอบรอบๆ อย่าให้ผู้ใดเข้าใกล้ยอดเขานี้” หานลี่ออกคำสั่ง
อสูรเกล็ดมิคาทนยักษ์ร้องคำราม เท้าทั้งสี่มีไอสีดำแผ่ออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในพื้นดิน จนมองไม่เห็นร่องรอย
หานลี่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม รอให้ถ้ำพำนักตรงหน้าสร้างเสร็จอย่างเงียบๆ
ยามนี้อสูรเกล็ดมิคาทนเปลี่ยนเป็นมีรูปร่างเช่นนี้ อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาเล็กน้อย
หากจะหาเหตุผล กลับเป็นเพราะอสูรตัวนี้กินแก่นดวงจิตอสูรลับระดับราชาดวงหนึ่งเข้าไปในแดนกว้างเย็น
หลังจากที่อสูรตัวนี้กินแก่นดวงจิตเข้าไปตอนแรก คาดไม่ถึงว่าจะหลับใหลไม่ได้สติไปถึงสิบปีเศษ
และเมื่ออสูรตัวนี้ตื่นขึ้นมา พลังยุทธ์ก็เพิ่มขึ้นทันที คาดไม่ถึงว่าจะบรรลุระดับหลอมสุญตาได้อย่างง่ายดาย รูปลักษณ์ภายนอกก็เปลี่ยนเป็นน่ากลัวทันที
หานลี่ย่อมส่งเสียงจุ๊ๆ ชมว่าสุดยอดไม่หยุด
ทว่าเดิมอสูรตัวนี้ก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขของจิตวิญญาณเที่ยงแท้กิเลนอยู่แล้ว ประกอบกับกินแก่นปีศาจของอสูรลับระดับราชาเข้าไป พอโตเต็มวัยก็เปลี่ยนไปอย่างน่าตกตะลึง ดูเหมือนจะไม่ใช่ว่าจะรับไม่ได้
ส่วนพลังของอสูรมิคาทนก็ดูเหมือนว่าจะมีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ยี่สิบกว่าปีต่อมาอสูรตัวนี้ก็กินยาลูกกลอนของหานลี่ไปจำนวนมาก สองสามปีก่อนจึงพัฒนาระดับขั้นอีกครั้ง เข้าสู่ระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง มีอิทธิฤทธิ์ที่ร้ายกาจเพิ่มมากขึ้นหลายชนิด
จากที่หานลี่คาดเดา ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นปลายธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอสูรตัวนี้
ส่วนรูปร่างของอสูรเกล็ดมิคาทน ก็เพิ่งจะเป็นการก้าวเข้าสู่การโตเต็มวัยเท่านั้น
นี่จึงทำให้เขาอดที่จะเฝ้ารอคอยให้อสูรตัวนี้เติบโตขึ้นไม่ได้
และการปล่อยอสูรตัวนี้ออกมาในยามนี้ ย่อมทำให้เขาวางใจเป็นอย่างมาก
ขอแค่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ระดับศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่อาจเข้าใกล้ยอดเขาแห่งนี้ได้
เมื่อขบคิดเช่นนั้น หานลี่ก็ค่อยๆ หลับตาทั้งสองข้างลง
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม ในที่สุดหุ่นเชิดวานรยักษ์สองสามตัวก็สร้างถ้ำพำนักสำเร็จ แล้วเดินออกมาจากประตูอย่างต่อเนื่อง
หานลี่เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น สะบัดแขนเสื้อ หุ่นเชิดสองสามตัวกลายเป็นลำแสงสีเขียวจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
จากนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ธงอาคมปรากฏขึ้นในมือเป็นตั้งๆ
ชูมือขึ้น ลำแสงวิญญาณหลากสีสันยี่สิบกว่าสายพุ่งออกไปทั่วทั้งสี่ทิศ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ม่านหมอกสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นแล้วคลี่ขยายออก
ชั่วครู่ทั้งยอดเขารวมทั้งทุกอย่างในบริเวณร้อยกว่าลี้ก็กลายเป็นทะเลหมอก มองไม่เห็นอันใดอีก
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น พลันใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ตะปบมือไปกลางอากาศ ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ในมือมีจานอาคมทรงกลมขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้น
“ห้าม”
หานลี่ใช้นิ้วชี้ไปที่จานอาคม ปากก็ร้องตะโกนต่ำๆ ออกมา
ชั่วขณะนั้นก็มีอักขระยันต์สีเงินนับพันตัวปรากฏขึ้นกลางเมฆหมอก แต่หลังจากหมุนคว้างแล้วก็เปล่งแสงสว่างวาบพลางหายวับไป
หานลี่ถึงได้เก็บจานอาคม แล้วเดินเข้าไปยังทางเข้าของกำแพงหิน
ร่างของเขาเพิ่งจะจมเข้าไป แขนเสื้อก็สั่นเทา ประตูหินสีเขียวร่อนลงมาจากเหนือศีรษะ ปิดผนึกเอาไว้
ผิวของประตูหินเปล่งแสงระยิบระยับ หลอมรวมเข้ากับกำแพงหินใกล้เคียง แม้ว่าอยู่ใกล้แค่คืบก็ไม่อาจมองเห็นอันใดได้
เพราะว่าเดิมทีถ้ำพำนักก็เป็นสิ่งที่หานลี่ควบคุมหุ่นเชิดให้สร้างขึ้น แน่นอนว่าย่อมรู้จักทุกอย่างในถ้ำพำนักเป็นอย่างดี
เขาเดินไปที่สวนสมุนไพรก่อนโดยไม่ปริปาก ปลูกสมุนไพรวิญญาณลงไป จากนั้นก็วางเขตอาคมเล็กๆ สองสามแห่งลงไปในถ้ำพำนัก แล้วจึงเดินเข้าไปที่ห้องลับ
แต่เมื่อเขาหักเลี้ยวสองสามครั้ง มองเห็นประตูหินของห้องลับ ฉับพลันนั้นก็ตบไปที่บั้นเอว
หลังจากที่เงาสีขาวอ่อนสายหนึ่งบินออกมา ตรงหน้าก็มีหญิงสาวสวมชุดสีขาวหน้าตางดงามปรากฏขึ้น ท่าทางองอาจห้าวหาญ เรือนกายแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบจางๆ ออกมา
นั่นก็คือหุ่นเชิดสะท้านฟ้า “หวาหวา”
ยามนี้ “หวาหวา” ไม่เหมือนกับในอดีต ไม่เพียงหว่างคิ้วจะมีไข่มุกสีฟ้าขนาดเท่าหัวแม่มือปรากฏขึ้น ราวกับฝังไว้ข้างใน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อกลอกตาไปมา สายตากลับดูมีชีวิตมากกว่าเดิมหลายส่วน
นี้ย่อมเป็นผลจาก “ไข่มุกวารีใส” ที่พกมาด้วย
หลังจากทำให้ชุ่มชื้นด้วยสมบัติวิเศษมาเกือบร้อยปี ร่างของหุ่นเชิด “หวาหวา” ก็มีความมหัศจรรย์ขึ้น ราวกับค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างของวารีใส
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ค่อยชัดเจนนัก เกือบร้อยปีถึงจะดูออก แต่ก็ทำให้หานลี่พึงพอใจมาก
และยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่สติปัญญาของ “หวาหวา” คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทางเหมือนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
นี่ย่อมเป็นผลประโยชน์อีกอย่างที่ได้มาด้วยความบังเอิญ
ยามนี้ความคิดของหานลี่กำลังเคลื่อนไหว หลังจากออกคำสั่งง่ายๆ ให้กับสตรีนางนี้ ก็เปล่งแสงสว่างวาบเข้าไปในห้องลับ
ชูมือขึ้น ฟูกสีเหลืองอ่อนบินออกมา
เขานั่งลงบนฟูกหลับตาทั้งสองข้างลงแล้วนิ่งงันไม่ไหวติง ทำได้เพียงมองเห็นลำแสงสีเขียวแวววาวที่ไหลเวียนอยู่บนใบหน้าของเขาเป็นบางครั้งคราว
หานลี่ตกอยู่ในภวังค์แห่งสมาธิสามวันสามคืน ช่วงเวลานี้ไม่เคยลืมตาขึ้นมาเลยสักครา
ส่วนด้านนอกเทือกเขาขนาดเล็กที่เขาอยู่ ก็เกิดความวุ่นวายขึ้น
ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากขนาดนี้ถูกเขาขับไล่ออกไป บ้างก็จากไปไกลเสียเลย บ้างก็ขอพึ่งพาสหายสนิทที่อยู่ในเทือกเขาใกล้เคียง
ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงย่อมรู้เรื่องนี้ และรู้ว่าบริเวณนี้มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงนิรนามปรากฏตัวขึ้นหนึ่งคน พลังยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดา แค่พลังจิตสัมผัสก็สามารถทะลวงผ่านเขตอาคมต้องห้ามของสิ่งมีชีวิตระดับก่อกำเนิดได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงอย่างระดับหลอมสุญตาคนหนึ่ง
เช่นนั้นแน่นอนว่าผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ย่อมอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่า “ท่านอาวุโส” ผู้นี้จะมาหาเรื่อง
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ทราบว่าสถานที่ที่หานลี่อยู่ถูกหมอกสีขาวปกคลุมปิดผนึกเอาไว้ ถึงได้ผ่อนคลายลง
เมื่อรู้ว่าสิ่งมีชีวิตระดับสูงผู้นี้ไม่ได้คิดจะแย่งดินแดนใดๆ อีก ดูเหมือนจะต้องการแค่ที่นั่นก็พอแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่สุดท้ายก็ไม่ต้องย้ายถ้ำพำนักแล้ว
เช้าตรู่วันที่สี่ ร่างของหานลี่ขยับเล็กน้อย ใบหน้ามีลำแสงสีเขียวผนึกรวมตัวขึ้น แล้วลืมตาทั้งสองข้างขึ้น
เห็นเพียงในดวงตาทั้งสองมีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ แล้วหม่นแสงลงพลางหายวับไปทันที
หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
หลังจากพักผ่อนมาสามวัน ในที่สุดเขาก็ทำให้จิตสัมผัสและพลังปราณกลับมาเต็มเปี่ยม ความเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้ที่มาจากการเดินทางมาเป็นเวลานาน พลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ยามนี้ในที่สุดก็ทำธุระแล้ว
หลังจากที่ใบหน้าของเขามีสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย มือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ในมือมีคัมภีร์ประณีตปรากฏขึ้นม้วนหนึ่ง
คัมภีร์นี้มีลักษณะพิเศษ ไม่เพียงแผ่ลำแสงสีทองอ่อนๆ ออกมา และยังหดตัวกะพริบวาบๆ ในมือราวกับมีจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ราวกับถือไว้ไม่มั่นคง และมีท่าทีจะดีดตัวหนีไป
หานลี่ใช้นิ้วทั้งห้าบีบเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด แตะคัมภีร์ลงบนหน้าผาก และหลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป หลังจากผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ หานลี่ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเลื่อนคัมภีร์ออก
จากนั้นพลันลืมตาขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด!
ในคัมภีร์ย่อมมี “เคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัส” ที่เต็มไปด้วยอักขระจ้วนทอง
เคล็ดวิชานี้มีทั้งหมดสามชั้น ต่อให้ฝึกฝนสำเร็จแค่ชั้นแรก ก็ทำให้จิตสัมผัสของเขาเพิ่มขึ้นสองเท่าแล้ว
การเพิ่มขึ้นที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ ประกอบเดิมหานลี่ก็มีจิตสัมผัสแข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกัน หากฝึกฝนสำเร็จ การขัดขวางจากจุดคอขวดของระดับผสานอินทรีย์ ก็แทบจะลดลงไปกว่าครึ่ง ดีกว่ากินยาลูกกลอนใดๆ หลายเท่า
ดังนั้นเมื่อหานลี่ได้คัมภีร์นี้มาก็เริ่มเรียนรู้ทันที หลังจากที่ส่งตัวออกจากแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีแล้ว ก็เริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชานี้อย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ระยะทางการกลับมาร้อยปี นอกจากจะศึกษาเคล็ดวิชาลับอื่นๆ แล้ว ก็ยังจดจ่ออยู่กับเคล็ดวิชานี้กว่าครึ่ง
เคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสขั้นที่หนึ่ง จะบอกว่ายากก็ไม่ยาก จะบอกว่าง่ายก็ไม่ง่าย
สาเหตุที่กล่าวเช่นนั้นย่อมเป็นเพราะผู้ที่เหมาะสมกับเงื่อนไขมีอยู่น้อยมากในแดนวิญญาณ ผู้ที่ไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขล้วนไม่มีโอกาสฝึกฝนเคล็ดวิชานี้สำเร็จได้ ต่อให้ฝืนฝึกฝน สุดท้ายก็จะถูกพลังแว้งกัดระเบิดร่างออก
จากพลังจิตสัมผัสและกายเนื้อที่แข็งแกร่งของหานลี่หากจะฝึกฝนขั้นที่หนึ่งย่อมเพียงพอ
ดังนั้นหลังจากฝึกฝนไปร้อยปี หานลี่ก็เรียนรู้เคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสขั้นที่หนึ่งได้ และฝึกฝนจนมาถึงขั้นตอนสุดท้าย
เพราะอักขระจ้วนทองในเคล็ดวิชานี้เป็นเคล็ดวิชาลับของแดนเทพเซียน ตามคัมภีร์แล้วยามที่ผู้ฝึกฝนทุกคนฝึกฝนสำเร็จ จะเกิดปรากฏการณ์ที่มหัศจรรย์ไม่น้อยออกมา
ดังนั้นหลังจากที่เดินมาถึงขั้นสุดท้าย จึงเลือกดินแดนลับที่ดีที่สุด และยิ่งไปกว่านั้นรอบๆ ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งใดๆ อยู่
แม้ว่าหานลี่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสขั้นที่หนึ่งสำเร็จแล้วเมื่อสองสามปีก่อน แต่ยามนั้นอยู่ในดินแดนรกร้าง หากพบกับอสูรโบราณที่แข็งแกร่งอันใด เขาก็จะมีอันตรายถึงชีวิต
ยามนี้อยู่ในเผ่ามนุษย์ และอยู่ในแดนรกร้างเพียงนี้ แน่นอนว่าย่อมสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสขั้นที่หนึ่งให้สำเร็จได้
ส่วนที่เขาถอนหายใจเมื่อครู่ กลับเป็นเพราะขั้นตอนของเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสขั้นที่สองลึกลับกว่าขั้นที่หนึ่ง หากอยากเรียนรู้ก็ยุ่งยากมาก หากไม่ตั้งใจฝึกฝนสักสองสามร้อยปีก็อย่าคิดถึงเรื่องนี้เลย
และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเงื่อนไขในการฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสขั้นที่สอง
มือข้างหนึ่งพลิ้วไหว คัมภีร์ที่หว่างนิ้วเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
จากนั้นเขาพลันหยิบขวดหยกขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันออกมาสองสามขวด แล้วเทยาลูกกลอนออกมากิน สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง จานทรงกลมเก้าใบเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ล้อมรอบร่างกายของเขาเอาไว้ แล้วลอยนิ่งอยู่รอบๆ
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม สองมือร่ายอาคมประหลาดๆ เรือนร่างเปล่งแสงสีทองออกมา
เงาลวงตาสีทองสามเศียรหกกรเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังของเขา