คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1753 ตระกูลกู่
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1753 ตระกูลกู่
เทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หลอมร่างออกมาแต่กรทั้งหกพลันร่ายอาคม ใบหน้าสองเศียรที่ชัดเจนขยับมุมปากเล็กน้อย กำลังบริกรรมคาถาอันใดสักอย่างอยู่
หลังจากผ่านไปชั่วครู่เสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตก็ดังสะท้อนก้องไปมาภายในห้องลับ
ในเวลาเดียวกันใบหน้าของหานลี่พลันมีลำแสงสีทองไหลวนโคจรไปมา ผิวหนังขยุกขยิก เกล็ดสีทองปรากฏขึ้น
เห็นได้ชัดว่าโคจรเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้จนถึงขีดสุดแล้ว
จานทรงกลมสีเงินเก้าใบลอยอยู่รอบๆ สั่นเทาเล็กน้อย เริ่มเปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตา และส่งเสียงหึ่งๆ ออกมา
เสียงนี้ดูเหมือนจะตอบรับกับเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตที่ดังสะท้อนต้องไปมาภายในห้องลับ คาดไม่ถึงว่าจะหลอมรวมร่างกันอย่างลงตัว ไม่มีจุดไหนที่เสียดแก้วหูเลยสักนิด ราวกับออกมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ที่แผ่นหลังของหานลี่และเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มีรัศมีลำแสงสีทองปรากฏขึ้น
รัศมีลำแสงที่แผ่นหลังของเทวรูปใหญ่กว่าด้านล่างเท่าหนึ่ง ทั้งระดับความหนาก็ไม่สู้รัศมีลำแสงด้านล่าง
หานลี่แค่นเสียงต่ำๆ อาคมในมือเปลี่ยนแปลงไป
รัศมีลำแสงสีทองทั้งสองหมุนคว้าง อักขระสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากใจกลางของรัศมีลำแสง ทุกตัวล้วนเปล่งแสงสีทองเรืองรองเจิดจ้าเป็นอย่างมาก
เมื่อเพ่งมองอย่างละเอียดก็จะพบว่าอักขระเหล่านี้ล้วนเป็นอักขระจ้วนทอง
ราวกับได้รับการเรียกหาจากอักจระจ้วนทอง จานทรงกลมสีเงินทั้งเก้าเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง
ท่ามกลางเสียงหึ่งๆ อักขระสีเงินขนาดเท่ากำปั้นบินออกมาจากจานทรงกลมอย่างรวดเร็ว และพุ่งเข้าไปในรัศมีลำแสงสีทอง
อักขระสีเงินเหล่านี้เป็นตัวอักษรลูกอ๊อดสีเงินอย่างชัดเจน
ชั่วพริบตาอักขระสีทองและสีเงินทั้งสองสีก็ปรากฏขึ้นในรัศมีลำแสงพร้อมกัน และยิ่งไปกว่านั้นยังมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็เรียงตัวเต็มรัศมีลำแสง
แต่ยังคงมีอักขระจำนวนมากทะลักออกมาไม่หยุด แล้วจมหายเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
ร่างของหานลี่นิ่งงัน แต่ใบหน้าที่เดิมมีสีหน้าไร้ความรู้สึกกลับเผยสีหน้าเหนื่อยล้าออกมา และยิ่งไปกว่านั้นยิ่งอักขระในรัศมีลำแสงเพิ่มขึ้น ก็ค่อยๆ เผยสีหน้าเหนื่อยล้ามากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ดวงตาทั้งสองข้างของหานลี่ก็เบิกโพลงราวกับระฆัง ในเวลาเดียวกันก็ร้องตะโกนราวกับเสียงฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ออกมา
ชั่วขณะนั้นจานทรงกลมสีเงินทั้งเก้าก็เปล่งเสียงร้องแหลมสูงออกมาพร้อมกันแล้วระเบิดออก กลายเป็นลำแสงสีเงินแล้วสลายหายไป
ส่วนรัศมีลำแสงสีทองที่แผ่นหลังของหานลี่ก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว และหดเล็กลงไม่หยุด อักขระสีทองและเงินในนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหดเล็กลงเช่นกัน
ผลคือผ่านไปแค่ชั่วอึดใจ อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนหดเล็กลงจนมีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร
รัศมีลำแสงสีทองก็กลายเป็นดวงแสงสีทองเรืองรองขนาดเท่ากำปั้น
รัศมีลำแสงสีทองที่อยู่กลางอากาศอีกด้าน ถูกเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์กระตุ้น กลายเป็นดวงแสงสีทองอีกลูกร่อนลงมาจากกลางอากาศ
จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เทวรูปยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไป
เช่นนั้นข้างกายของหานลี่จึงเหลือเพียงดวงแสงสองลูกลอยพลิ้วอยู่ตรงนั้น
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม ชี้ไปที่ทั้งสองที่แยกออกจากกันเบาๆ
หลังจากเสียง “สวบๆ” ดังขึ้น ดวงแสงสีทองสองลูกเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วจมหายเข้าไปในหว่างคิ้วอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาหน้าผากของหานลี่เริ่มมีหยาดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองปรากฏขึ้น ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น แขนขาทั้งสี่เริ่มสั่นเทา พลังบิดเบี้ยวปูดโปนออกมาจากใต้เกล็ด
ราวกับมีอันใดสักอย่างกำลังทำร้ายร่างกายภายในของหานลี่ ทำให้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งศีรษะของหานลี่ก็เปล่งแสงสว่างวาบ ถูกลำแสงสีม่วงทองชั้นหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ และกะพริบวาบๆ อยู่ด้านในไปมา
ส่วนใบหน้าของเขาก็มีอักขระสีทองและสีเงินที่บัดเดี๋ยวปรากฏขึ้นบัดเดี๋ยวก็สลายหายไป ราวกับว่ามีอันใดสักอย่างหมายจะหนีออกมา แต่ก็ถูกบีบให้กลับไป
ดูแล้วแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
หานลี่กลับหลับตาอยู่ในยามนี้ สองมือร่ายอาคมไปมาไม่หยุด ราวกับกำลังกระตุ้นอันใดสักอย่างสุดชีวิต ทำให้ลำแสงสีทองบนผิวหนังเปล่งแสงเรืองๆ เดี๋ยวมืดมนเดี๋ยวสดใสไปมาไม่หยุด…
ในเวลาเดียวกันเหนือยอดเขาของถ้ำพำนัก ก็มีปรากฏการณ์น่าตกตะลึงปรากฏขึ้น
เดิมท้องฟ้าเป็นสีเขียวมรกตมีก้อนเมฆดำทะมึนไปหมื่นลี้ พลันเกิดพายุขึ้น
จากนั้นทั่วทั้งท้องฟ้าพลันมืดมน เมฆสีดำปรากฏขึ้น ทำให้ท้องฟ้าในรัศมีร้อยลี้กลายเป็นสีดำสนิทราวกับก้นหม้อ
พายุหมุนที่แต่เดิมกำลังหมุนวนอย่างแรงกลับอ่อนกำลังลง จากนั้นไอเย็นเยียบก็ทะลักมาจากที่ใดก็สุดจะรู้ได้ และเริ่มทำลายก้อนเมฆ
หลังจากลูกเห็บสีฟ้าขนาดเท่ากำปั้นทุบลงมา หิมะก็ร่วงโรยลงมาจากท้องฟ้า
ผ่านไปชั่วครู่ที่นี่ก็กลายเป็นดินแดนหิมะ ทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ราวกับเป็นดินแดนหนาวเหน็บแห่งธารน้ำแข็ง
หิมะใหญ่ยังไม่หยุดตก พายุหมุนร้อนระอุก็ม้วนวนออกมาจากหมู่เมฆ
เมฆทมิฬที่เดิมหนาแน่นถูกเป่าจนสลายออก ชั่วพริบตาแสงอาทิตย์ก็สาดส่องลงมา
ยามนี้ไม่ว่าผู้ใดอยู่ในยอดเขา เห็นท้องฟ้าในยามนี้ก็อดที่จะหน้าเปลี่ยนสีและเผลอสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่งไม่ได้
ยามนี้เป็นยามเที่ยงเดิมควรจะมีพระอาทิตย์ปรากฏขึ้นพร้อมกันสองสามตัว ครานี้กลับเหลือเพียงดวงเดียวที่ยังคงเปล่งแสงระยิบระยับ ดวงอาทิตย์ที่เหลือล้วนหายวับไป
และดวงอาทิตย์ที่เหลือก็เผยสีเหลืองทองออกมารางๆ ท้องฟ้าสีครามเข้มกลายเป็นสีเงินอ่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้
ภายใต้แสงสีทองและเงินที่สาดส่องลงมา ทำให้พื้นที่ทั้งหมดราวกับอยู่ในแดนลึกลับก็ไม่ปาน
ทว่าหากบินออกจากยอดเขาที่หานลี่อยู่ไปในระยะสองสามร้อยลี้ จะพบกับปรากฏการณ์น่าตกตะลึงบนท้องฟ้าที่ค่อยๆ จางลง
เมื่อบินออกมาจากม่านหมอกสีขาวได้สามร้อยลี้ ท้องฟ้าก็ยังคงมีดวงอาทิตย์สองสามดวงเรียงรายอยู่ ส่วนท้องฟ้าก็เป็นสีฟ้าครามดังเก่า แค่ทะเลหมอกกลางอากาศเปล่งแสงสีทองอ่อนระยิบระยับไม่หยุด
กลับเป็นมีเสียงประหลาด “โครมคราม” ดังมาจากอีกด้าน ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยที่เดิมก็รู้สึกระมัดระวังตัวอยู่แล้ว ทยอยกันบินออกมาจากถ้ำพำนักด้วยความตกตะลึง
พวกเขาบางคนก็ยืนอยู่บนยอดเขา บางคนก็ควบคุมสมบัติอาคมบินอยู่กลางอากาศ ล้วนมองไปที่ทะเลหมอก สีหน้าตกตะลึงระคนสงสัย
กลางอากาศเหนือยอดเขาห่างจากทะเลหมอกไปสิบกว่าลี้ มีคนสิบกว่าคนลอยอยู่สูงขึ้นไปพันจั้งเศษ และต่างมองไปที่ทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไปเช่นกัน
ชายสวมชุดคลุมสีขาวหน้าตาหมดจด อายุประมาณสามสิบปีเศษ แต่เห็นได้ชัดว่าฐานะเหนือกว่าผู้อื่น ยืนอยู่บนกระบี่ยักษ์สีขาว
บุรุษและสตรีคนชราเด็กน้อยที่เหลือสิบกว่าคนล้วนขยับเข้ามาใกล้ สายตาที่มองชายสวมชุดคลุมสีขาวเต็มไปด้วยสีหน้าน่านับถือ
“คนผู้นี้เพิ่งมาถึงยอดเขาพระอาทิตย์ขึ้นเมื่อสามวันก่อนจริงๆ หรือ?” ผู้สวมชุดคลุมสีขาวเก็บสีหน้าประหลาดใจกลับมา แล้วเอ่ยถามโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
“รายงานท่านปู่น้อย คนผู้นี้เพิ่งมาถึงยอดเขาพระอาทิตย์ขึ้นเมื่อสามวันก่อนจริงๆ และใช้จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งขับไล่ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมดไปจนเกลี้ยง หลานมีสหายสนิทอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นปลายคนหนึ่งที่อยู่ที่นั่นในตอนแรก ว่ากันว่าพลังจิตสัมผัสนั้นไม่อาจยืนขึ้นได้ พลังปราณในร่างถูกกดจนโคจรไม่ได้เลยสักกระผีก จึงออกมาอย่างไม่กล้าขัดขืนเลยสักนิด” ชายชราหนวดขาวสะอาดคนหนึ่ง ค้อมตัวลงต่ำ แล้วตอบกลับอย่างนอบน้อม
“อ๋อ พลังจิตสัมผัสที่บริสุทธิ์จนกดผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนหนึ่งได้ แม้ว่าจะยุ่งยากหน่อย ข้าก็พอทำได้ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นหากจะกดผู้บำเพ็ญเพียรในถ้ำพำนักสิบกว่าแห่งพร้อมกัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาจะทำได้ แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้” ผู้สวมชุดคลุมสีขาวมีสีหน้าแปลกประหลาด พลางเอ่ยอย่างแช่มช้า
“ความหมายของท่านปู่น้อยคือท่านอาวุโสผู้นี้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์!” ชายชราผมขาวหน้าเปลี่ยนสี แล้วร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
คนอื่นๆ ได้ยินก็ตกใจจนสะดุ้งโหยงเช่นกัน ทยอยกันสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง
“หากบอกว่าพลังจิตสัมผัสแข็งแกร่งก็น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็ละเลยคนผู้นี้ไม่ได้ อาจจะอาศัยอานุภาพของสมบัติวิเศษอันใด หรือฝึกฝนเคล็ดวิชาลับจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งอันใด” ผู้สวมชุดคลุมสีขาวครุ่นคิดเล็กน้อย และเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนักออกมา
“ที่แท้เป็นเช่นนี้!” ชายชราผมขาวมีสีหน้าผ่อนคลายลง ดูเหมือนจะรู้สึกว่าวิธีการนี้ยังพอจะรับได้
“หึ นี่เป็นแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น ต่อให้คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ก็น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตา และยิ่งไปกว่านั้นน่าจะฝึกฝนจนประสบความสำเร็จแล้ว พวกเจ้าอย่าไปล่วงเกินคนผู้นี้เด็ดขาด สิ่งมีชีวิตระดับสูงเช่นนี้ ตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้อย่างพวกเราต้องคบค้าเอาไว้ ห้ามสร้างศัตรูเด็ดขาด” ผู้สวมชุดคลุมสีขาวมีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วออกคำสั่งอย่างเย็นชา
“หลานจะกล้ายั่วโมโหท่านอาวุโสผู้นี้ได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะท่านปู่น้อยผ่านทางมาพอดี หลานคงย้ายออกจากที่นี่ทันทีเพื่อหาที่พักของตระกูลใหม่” ชายชราผมขาวกลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“ย้ายออก! ไม่ต้องหรอก ในเมื่อคนผู้นี้แค่ใช้จิตสัมผัสไล่ผู้อื่น ดูแล้วคงแค่ใช้อำนาจบาตรใหญ่เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายผู้อื่น และยิ่งไปกว่านั้นดูจากปรากฏการณ์บนท้องฟ้าตรงหน้า คนผู้นี้แค่ใช้ที่นี่ฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น ไม่ได้มีแผนการชั่วร้ายอันใด ในเมื่อเลือกสถานที่รกร้างเปล่าเปลี่ยว ก็น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษไร้สังกัด หากดึงเขาเข้าตระกูลรับตำแหน่งอาวุโสแขกผู้มีเกียรติได้ ก็ทำให้กำลังของตระกูลกู่อย่างพวกเราเพิ่มขึ้นแล้ว หากเป็นเช่นนี้ ข้ากลับต้องอยู่ที่นี่อีกระยะหนึ่ง ดูว่าจะคบค้ากับคนผู้นี้ได้หรือไม่” หลังจากที่ผู้สวมชุดคลุมสีขาวแววตาเปล่งประกายก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ท่านปู่น้อยยอมพักอยู่ที่พักชั่วคราวของหลาน เป็นความโชคดีของพวกเราแล้ว” ชายชราผมขาวได้ยิน ก็อดที่จะดีอกดีใจไม่ได้
ท่านปู่น้อยผู้นี้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาคนหนึ่ง พักอยู่ในถ้ำพำนักของพวกเขาชั่วคราวคอยชี้แนะให้พวกเขา ก็เพียงพอจะทำให้ลูกหลานของพวกเขาได้รับประโยชน์แล้ว
ถึงอย่างไรเสียเขาเป็นอาวุโสสาขาย่อยของตระกูลกู่ ก็เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายเท่านั้น
ผู้สวมชุดคลุมสีขาวมีท่าทีพึงพอใจชายชราเป็นอย่างมาก หลังจากพยักหน้าเล็กน้อย สายตาก็มองไปยังทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไป ในใจอดที่จะขบคิดว่าเผ่ามนุษย์ผู้นี้ฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ใด ถึงได้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้น
แต่เคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสเป็นเคล็ดวิชาลับของแดนเทพเซียน แม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูงของตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้ หลังจากดูอยู่นานก็ยังคงงุนงง
โชคดีที่ปรากฏการณ์ที่เห็นไม่ได้น่าตกตะลึงอันใด มิเช่นนั้นหากอยู่ตรงใจกลางของทะเลหมอก ผู้สวมชุดคลุมสีขาวคงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ไหนเลยจะเยือกเย็นได้
ถึงอย่างไรเสียการฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ของแดนวิญญาณ แม้ว่าจะสัมผัสถึงฟ้าดินได้ แต่ก็ทำให้พลังปราณฟ้าดินรอบๆ ปั่นป่วนเท่านั้น ไม่มีทางทำให้เกิดปรากฏการณ์อันน่าตกตะลึงเหมือนกับเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสได้
แต่ต่อให้เป็นปรากฏการณ์ตรงหน้า ก็ทำให้ผู้สวมชุดคลุมสีขาวไม่กล้ามองว่าหานลี่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ในใจจึงคิดจะดึงมาเป็นพวก
หลังจากมองอีกแวบหนึ่ง มองเห็นท้องฟ้าไกลออกไปไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใดอีก ชายหนุ่มชุดขาวรั้งอยู่ที่ยอดเขาคนเดียว ในที่สุดก็พาคนอื่นๆ กลับไปยังถ้ำพำนักตรงตีนเขา
คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เห็นปรากฏการณ์บนท้องฟ้า หลังจากตกตะลึงอยู่นาน ไม่อาจมองสบตาตรงๆ ได้เช่นกัน ส่วนใหญ่ล้วนกลับไปยังถ้ำพำนักด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ