คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1756 บรรลุระดับผสานอินทรีย์ (ตอนต้น)
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1756 บรรลุระดับผสานอินทรีย์ (ตอนต้น)
วานรยักษ์สีทองโบกสะบัดมืออันใหญ่ยักษ์ราวกับพัดทั้งสองรัดคอมังกรวารีสีม่วงเอาไว้ ออกแรงที่แขนทั้งสองข้างคาดไม่ถึงว่าจะบิดหัวของมังกรวารีขนาดยักษ์ตรงๆ ท่ามกลางเสียงร้องคำราม
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ร่างของมังกรวารีสีม่วงกลายเป็นประจุไฟฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วสลายหายไป
วานรยักษ์กลับเงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง อ้าปากออกพ่นลำแสงสีทองออกมา
ชั่วขณะนั้นประจุไฟฟ้าพลันแตกสลายออก ลำแสงสีทองที่แตกสลายออกก็ทยอยกันถูกดูดเข้าไปในปากของวานรสีทอง
ชั่วพริบตาสายฟ้าทั้งหมดก็สลายหายไปจากกลางอากาศ
ไม่ใช่แค่นี้!
เงาลวงตาของวานรยักษ์ไม่มีเจตนาจะหยุดยั้งเลยสักนิด ผิวของมันมีลำแสงหมุนวนโคจรไปมา ลำแสงสีทองที่พ่นออกมาทั้งหมดกลายเป็นเสาลำแสงต้นหนึ่งจมหายเข้าไปในเมฆห้าสี
กลางเมฆวิญญาณมีเสียงอึกทึกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดไม่ถึงว่าเสาลำแสงสีทองจะหมุนวนอยู่ตรงใจกลางเมฆห้าสี
อักขระหลากสีสันทยอยกันบินออกมาจากเมฆวิญญาณด้วยพลังแรงดูดมหาศาล แล้วถูกลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบม้วนเข้าไปข้างใน สุดท้ายก็ถูกเงาลวงตาวานรยักษ์ดูดเข้าไปในท้องจนหมด
ครู่ต่อมาอักขระยันต์หลากสีสันก็ทอตัวทั่วเสาลำแสงสีทอง แล้วทะลักลงไปด้านล่างราวกับคลื่นน้ำ
ปากใหญ่ยักษ์ของวานรยักษ์สีทองดูราวกับหลุมที่ไร้ก้น หลังจากดูดอักขระยันต์จำนวนมากเข้าไปก็ยังมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงขอบของทะเลหมอก ล้วนเห็นทุกอย่างในครรลองสายตาจึงทยอยกันตกตะลึงจนตาค้าง
ในหัวของชายชราผมขาวมีคำว่า ‘วานรยักษ์ภูเขา’ ‘เลือดเนื้อเชื้อไขจิตวิญญาณเที่ยงแท้’ ปรากฏขึ้นไม่หยุดใบหน้าตกตะลึงเสียยิ่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ
ในฐานะที่เป็นอาวุโสสาขาย่อยของตระกูลกู่ซึ่งเป็นตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ แน่นอนว่าย่อมมีความรู้มากกว่าคนธรรมดา มองปราดเดียวก็รู้จักเงาดวงตาสีทองที่ใหญ่ยักษ์ราวกับภูเขาในทะเลหมอก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเทวรูปวานรยักษ์ภูเขา ในใจจะตกตะลึงแค่ไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว
“มิน่าล่ะคนผู้นี้จึงไม่ยอมเข้าร่วมตระกูลกู่ของพวกเรา ที่แท้ก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขของจิตวิญญาณเที่ยงแท้อยู่! ทว่าเทวรูปตนนี้มันน่าตกตะลึงเกินไปหน่อยกระมัง ระยะห่างขนาดนี้ยังแผ่กลิ่นอายที่ทำให้ตนและพวกยอมจำนนออกมาได้ และยิ่งไปกว่านั้นปรากฏการณ์ท้องฟ้าครั้งนี้ยังน่ากลัวกว่าครั้งที่แล้ว พลังปราณฟ้าดินจำนวนมากมารวมตัวอยู่ด้วยกัน หรือว่าอีกฝ่ายจะทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์?” ชายชราผมขาวมีพลังยุทธ์ไม่สูงนัก แต่ในสมองกลับไม่ธรรมดา ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็คาดเดาความจริงได้เจ็ดแปดส่วน จึงตกตะลึงอยู่เงียบๆ
ยามนี้เหนือทะเลหมอกไม่เพียงจะมีอักขระยันต์บินไปหาลำแสงสีทอง แม้แต่เมฆวิญญาณห้าสีเองก็ยังหมุนคว้าง ถูกม้วนเข้าไปข้างใน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เมฆวิญญาณกลางอากาศก็หดเล็กลงค่อยๆ ยืดยาวขึ้น กลายเป็นรูปทรงประหลาดราวกับกรวยยักษ์
พลังปราณแท้จำนวนมากกลายเป็นเมฆวิญญาณ บรรจุเข้าไปในเงาลวงตาวานรยักษ์
เดิมเงาลวงตาวานรยักษ์ยังรางเลือน เมื่ออักขระวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบก็ปรากฏชัดเจนขึ้น
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร เมฆวิญญาณห้าสีก็ถูกดูดไปจนเกลี้ยง
เงาลวงตาวานรยักษ์เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ กลับยังคงไม่หายอยาก หุบปากอันใหญ่ยักษ์ สองมือทุบไปที่ทรวงอกอย่างแรงอีกครั้ง ผิวเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า
เสียง “ปัง” ดังขึ้น!
พายุหมุนสีขาวกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากจุดที่เงาลวงตาวานรยักษ์ยืนอยู่ มันขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็มีขนาดหนามาก ห่อหุ้มเงาลวงตาตัวเท่าภูเขาขนาดย่อมเอาไว้
ในเวลาเดียวกันระลอกคลื่นไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งก็แผ่ออกมาจากพายุหมุนไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านอย่างรวดเร็ว แฉลบผ่านขอบของทะเลหมอก อาณาเขตเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนตกใจจนอ้าปากค้าง
เห็นเพียงพลังปราณฟ้าดินในรัศมีหมื่นลี้ล้วนเกิดความโกลาหลขึ้น ทยอยกันกลายเป็นดวงลำแสงขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลือง แล้วทะลักไปหาทะเลหมอก
ดวงลำแสงทั้งหมดปรากฏขึ้นใกล้ๆ กับพายุหมุนราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ แล้วเปล่งแสงสว่างวาบจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนกลางพายุหมุนก็มีเสียงร้องคำรามต่ำๆ ของวานรยักษ์ดังมาก ราวกับกำลังร้อนใจ และกำลังเจ็บปวด
จากนั้นดวงลำแสงห้าสีก็มากขึ้นเรื่อยๆ เสียงคำรามของวานรยักษ์กลับยิ่งแผ่วเบาลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ อีก
แต่ไม่ว่าดวงลำแสงที่ทะลักมาจากรอบด้านจะมีเท่าไหร่ ก็ถูกพายุหมุนกลืนเข้าไปจนหมด ราวกับไม่มีวันเติมเต็มได้
ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่อยู่รอบด้านทะเลหมอกเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็อดที่จะกลืนน้ำลายลงคอไม่หยุดไม่ได้
หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดา ถูกพลังปรารฟ้าดินบรรจุเข้าไปในร่างจำนวนมากขนาดนี้ เกรงว่าร่างกายคงระเบิดออกตายไปตั้งนานแล้ว
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้อเต็มๆ กลางพายุหมุนสีขาวก็มีเสียงร้องแหลมสูงของวานรดังขึ้น จากนั้นก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
คาดไม่ถึงว่าพายุหมุนจะระเบิดออก ระลอกคลื่นแผ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน พัดดวงลำแสงที่อยู่ในบริเวณรอบจนแตกกระจายออก
และตรงใจกลางระลอกคลื่น เงาร่างวานรยักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ทว่าผิวของเงาลวงตาในยามนี้ไม่ได้มีสีทองเรืองรองอีก กลับมีอักขระห้าสีสันงดงามปรากฏขึ้นรางๆ ราวกับว่าร่างทั้งร่างถูกตัวอักษรห้าสีแปะเอาไว้
มองจากไกลๆ ช่างแปลกประหลาดยิ่ง
ส่วนวานรก็เอาสองมือกุมหัว สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็ว
เดี๋ยวเจ็บปวดเหลือแสน เดี๋ยวระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมา หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ก็ตาแดงก่ำ ราวกับว่าตกอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่งก็ไม่ปาน
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นอักขระยันต์บนร่างของมันก็เปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด ทำให้ร่างกายเดี๋ยวรางเลือน เดี๋ยวชัดเจน ดูเหมือนจะไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง
คนอื่นๆ ที่มองจากไกลๆ ย่อมถลึงตามองและรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจนัก
มีเพียงชายชราผมขาวที่ตกตะลึงอยู่ในใจ และรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
สถานการณ์เช่นนี้อีกฝ่ายกำลังทะลวงจุดคอขวดอยู่ในช่วงเวลาสำคัญชัดๆ ท่าทางจะถูกจิตมารเข้าแทรก
หากอีกฝ่ายควบคุมระดับจิตใจไม่ได้ สูญเสียสติสัมปชัญญะไป ถูกจิตมารเข้าควบคุมก็อาจจะทำการสังหารใหญ่ในบริเวณรอบ
และจากพลังยุทธ์ที่น่าตกตะลึงของอีกฝ่าย ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำและกลางอย่างพวกเราย่อมไม่มีพลังขัดขืน ทำได้เพียงยอมตายอย่างเชื่อฟังเท่านั้น
สถานการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
ชายชราผมขาวยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว ภายใต้ความร้อนใจจึงกระตุ้นพลังปราณในร่าง คิดจะยืนขึ้นท่ามกลางพลังแรงกดมหาศาล เพื่อจะหาคนในเผ่าหนีไป
แต่ร่างกายของเขาเพิ่งจะยืนได้ครึ่งหนึ่ง สองขาก็สั่นเทา แล้วคุกเข่าลงไปกับพื้นอีกครั้ง
แม้ว่าเงาลวงตาวานรยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปจะดูเหมือนมีสติสัมปชัญญะไม่ชัดเจน แต่พลังแรงกดที่แผ่ออกมากลับไม่อ่อนแอเลยสักนิด เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนหนึ่งยังไม่อาจกระดิกตัวได้ พลังปราณในร่างถูกพลังมหาศาลกดเอาไว้จนไม่อาจเคลื่อนไหวได้ แม้กระทั่งคำเตือนก็ยังไม่อาจถ่ายทอดไปสู่คนในเผ่าได้
ชายชราพลันรู้สึกตกตะลึงระคนหวาดกลัว!
ในเวลาเดียวกัน ในห้องลับบนยอดเขา หานลี่นั่งสมาธิอยู่กลางเขตอาคมที่มีลักษณะพิเศษเล็กๆ แห่งหนึ่ง กายเนื้อนิ่งงัน ราวกับเป็นสิ่งไม่มีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
ทารกวิญญาณสีทองอมเขียวสูงครึ่งฉื่อลอยอยู่เหนือจากกายเนื้อไปสองสามฉื่อ จ้องเขม็งไปยังมุมหนึ่งด้านนอกเขตอาคมนิ่ง
สองมือของทารกโอบกอดใบมีดชำรุดสีทองเอาไว้ กระบี่เล่มเล็กสีเขียวความยาวสองสามชุ่นเจ็ดสิบสองเล่มรอบด้าน ปกป้องเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา
ภายใต้กระบี่เล่มเล็กที่ห้อมล้อมอยู่ พลันมีไม้บรรทัดสั้นๆ สีเงินอีกไม้หนึ่ง หม้อใบเล็กสีเขียวอีกใบหนึ่งรวมทั้งกระบี่ยักษ์สีดำอีกเล่มหนึ่ง วนล้อมรอบทารกไปมาไม่หยุด
และสาเหตุที่กล่าวว่าประหลาดนั้นก็เพราะใบหน้าของทารกมีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบที่ดวงตาข้างหนึ่ง ดวงตาอีกข้างหนึ่งเป็นสีแดงสดราวกับโลหิต และตรงกลางใบหน้าระหว่างสันจมูกก็แยกออกเป็นสองส่วน เผยสีหน้าที่แตกต่างกันออกมา
ครึ่งหนึ่งมีสีหน้าบิดเบี้ยว เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม อีกครึ่งกลับดูเหมือนกำลังอมยิ้ม แววตาสดใส
ราวกับว่าในร่างของทารกวิญญาณมีหานลี่สองคนที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วอย่างไรอย่างนั้นอยู่
กายเนื้อด้านล่างใช้มือหนึ่งร่ายอาคม อีกมือหนึ่งถือกระถางธูปหอมทองสัมฤทธิ์เอาไว้ ในกระถางธูปมีธูปสีดำสนิทปักอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ได้ถูกแผดเผา
เพดานห้องลับมีอักขระห้าสีร่อนลงมา ไม่ว่าจะตกลงบนทารกวิญญาณหรือกายเนื้อ ล้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างเงียบเชียบ
ทารกวิญญาณจ้องเขม็งไปยังมุมหนึ่ง กลับมีไอสีดำขนาดเท่าศีรษะหมุนวนไปมา และเปล่งเสียงร้องประหลาดออกมา
เสียงนี้เข้ามาในโสตประสาท กลับเป็นเสียงร้องอย่างร้อนใจ ทำให้จิตใจสงบนิ่งได้ยาก และเป็นเสียงที่ให้ความรู้สึกกระหายที่จะทำการสังหาร
ใบหน้าของทารกวิญญาณครึ่งหนึ่งที่ยังราบเรียบยังพอว่า ไม่ส่งเสียงร้องใดๆ ออกมา
ใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งกลับร้องเสียงแหลมประหลาดๆ ลำแสงสีโลหิตในแววตาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และมีแววบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ มองเห็นว่าสติสัมปชัญญะสุดท้ายกำลังจะสูญเสียไป
แววตาของทารกวิญญาณพลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ฉับพลันนั้นลำแสงเย็นเยียบพลันเปล่งแสงสว่างวาบ มือข้างหนึ่งยกขึ้น ใช้นิ้วชี้ไปที่กระถางธูปที่กายเนื้อถืออยู่
เสียง “ฟิ้ว” ดังขึ้น เปลวเพลิงสีเงินพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว โจมตีไปยังธูปบนกระถางธูปอย่างแม่นยำ
ธูปพลันเผาไหม้ กลิ่นหอมลึกลับอบอวลไปทั้งห้องลับ
จะว่าแปลกก็แปลก ทารกวิญญาณแค่สูดดมกลิ่นธูปเข้าไปสองสามครั้ง ใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งที่เดิมควบคุมไม่ได้ พลันลดความกระหายที่จะสังหารลง แววตาสีโลหิตค่อยๆ จืดจางลง
และไอสีดำที่ซ่อนอยู่ตรงมุมหนึ่ง เมื่อสัมผัสกับกลิ่นหอมนี้ ก็ระเบิดเสียงร้องอันน่าเวทนาออกมา เสียงร้องแปลกๆ หยุดลง
ไอสีดำหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง กลิ่นหอมค่อยๆ แผ่ออกไปทั่ว เผยใบหน้าปีศาจที่หน้าตาไม่มีดวงตาและจมูกออกมา สีหน้าเจ็บปวดมาก
ทารกวิญญาณเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็อ้าปากออกอย่างไม่ลังเล พ่นประจุไฟฟ้าสีทองออกไป
เสียงกรีดร้องดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองโจมตีไปบนใบหน้าของปีศาจอย่างไม่ผิดพลาด ทำให้ร่างกายของมันสั่นเทา
มันกัดฟันอย่างคับแค้น ส่งเสียงกรีดร้องแหลมๆ ออกมา ฉับพลันนั้นก็รางเลือน และสุดท้ายก็กลายเป็นไอสีดำสลายหายไป
ทารกวิญญาณถึงได้ปิดตาลงอย่างช้าๆ ใบหน้าที่เดิมบิดเบี้ยวค่อยๆ สลายหายไป เมื่อดวงตาทั้งสองลืมขึ้นอีกครั้ง แววตาก็สดใสดังเก่า
“เป็นแค่จิตแยกของมารเหนือฟ้าตนหนึ่ง คิดจะถือโอกาสที่จิตมารเข้าแทรกรบกวนจิตวิญญาณของข้า ดูถูกข้าไปหน่อยแล้ว” ทารกวิญญาณใช้เสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา
จากนั้นมันก็โยนใบมีดชำรุดในมือขึ้นไปเหนือศีรษะ สองมือร่ายอาคมอย่างรวดเร็ว แล้วหลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง!
อักขระห้าสีร่วงลงมาจากเพดาน เพิ่มความเร็วขึ้นเท่าหนึ่ง ทั้งห้องลับมีแสงสีสันงดงามเปล่งแสงระยิบระยับไม่หยุด
ในเวลาเดียวกันกลิ่นหอมประหลาดอีกกลุ่มหนึ่งก็แผ่ออกมาจากกายเนื้อด้านล่าง
แต่ทารกวิญญาณกลับทำเหมือนไม่ได้กลิ่น แค่พยายามดูดซับพลังปราณฟ้าดินกลางอากาศที่กลายเป็นอักขระห้าสี คาดไม่ถึงว่ากายเนื้อจะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ คาดไม่ถึงว่าทารกวิญญาณของหานลี่จะสูงขึ้นสามสี่ฉื่อ ราวกับทารกเติบใหญ่ขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
ยามนี้เงาลวงตาวานรยักษ์ที่อยู่เหนือยอดเขา ซึ่งกลายเป็นเสาลำแสงสายหนึ่งพลันหดกลับเข้าไปในสันเขา
พลังปราณฟ้าดินมหาศาลมาถึงในห้องลับ และพยายามบรรจุเข้าไปในร่างของทารกวิญญาณและกายเนื้อ
ผิวของกายเนื้อเริ่มเปลี่ยนเป็นสีสันแวววาว ในเวลาเดียวกันกลิ่นหอมที่แผ่ออกมาก็ตลบอบอวลขึ้นเรื่อยๆ
คาดไม่ถึงว่าพอลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบทารกวิญญาณที่อยู่ด้านบนก็ยิ่งขยายร่างใหญ่ขึ้นจนเท่ากับกายเนื้อภายในไม่กี่อึดใจ แต่แค่ดวงตาทั้งสองปิดสนิท นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศราวกับไม่มีสิ่งใด หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความเจ็บปวด