คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1761 สหายเก่า
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1761 สหายเก่า
“ดูจากท่าทางของสหายทั้งสี่ เหมือนว่าปราณแท้ที่สูญเสียไปในแดนรกร้างคงจะฟื้นฟูกลับมายังไม่หมด” หานลี่กวาดมองเรือนร่างของทั้งสี่คนแวบหนึ่ง แล้วมองสถานการณ์ของพวกเขาในยามนี้ออกอย่างง่ายดาย พลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ท่านอาวุโสดวงตาเฉียบแหลมนัก ชนรุ่นหลังและพวกสูญเสียปราณแท้ไปจริงๆ ประกอบกับพลังยุทธ์ไม่สูงนัก ยามนี้จึงพอฝืนฟื้นฟูกลับมาได้แค่ครึ่งหนึ่ง” นักปราชญ์ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบัง พลางตอบกลับอย่างซื่อสัตย์
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้ามียาลูกกลอนอยู่ พวกเจ้าทั้งสี่เอาไปเถิด หลอมฤทธิ์ของยาแล้วนั่งสมาธิสักสองสามเดือน ก็จะทำให้พวกเจ้าฟื้นฟูกลับมาดังเดิมแล้ว” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย มือหนึ่งพลิกฝ่ามือในมือมีขวดหยกสีเขียวอ่อนปรากฏขึ้นสี่ขวดแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่มอบยาลูกกลอนให้!” นักปราชญ์และพวกทั้งสี่คนพลันรู้สึกดีใจและคารวะขอบคุณอีกครั้ง
พวกเขาพากันก้าวขึ้นไปข้างหน้า สองมือรับขวดหยกเอาไว้จากนั้นก็เปิดฝาออกกลิ่นหอมของยาตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้องโถง
แค่ได้กลิ่นเล็กน้อยก็รู้สึกผ่อนคลายมีชีวิตชีวาขึ้น
นักปราชญ์และพวกต่างก็รู้สึกยินดีมาก รู้ว่ายาลูกกลอนในขวดจะต้องไม่ธรรมดาประสิทธิภาพอาจจะมากกว่าที่หานลี่กล่าวเอาไว้
“ท่านอาวุโสมาถึงที่พักของชนรุ่นหลังในครั้งนี้ มีเรื่องอันใดให้ชนรุ่นหลังออกแรงหรือ” นักปราชญ์ฝึกฝนจนมาอยู่ระดับขั้นนี้ได้แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนที่โง่เขลา หลังจากรับยาลูกกลอนไปแล้วก็เอ่ยถามอย่างรู้จักวางตัว
“อืม ข้ามีเรื่องจะให้พวกเจ้าไปทำ แม้ว่าเรื่องนี้จะง่ายดายมากแต่ก็ต้องเสียเวลานานหน่อยและยิ่งไปกว่านั้นจะต้องอยู่ที่เมืองเทวะสวรรค์เป็นเวลานาน ไม่ทราบว่าสหายพอมีเวลาหรือไม่ แน่นอนว่าผู้แซ่หานไม่มีทางให้เหล่าสหายทำเรื่องนี้เปล่าๆ” หานลี่เอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจชนรุ่นหลังและพวกทั้งสี่ไม่ได้มีแผนจะออกจากเมืองเทวะสวรรค์ภายในหนึ่งร้อยปีนี้ มีเรื่องอันใดก็รับสั่งมาเถิด หากชนรุ่นหลังทำได้ย่อมไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน” นักปราชญ์ได้ยินหานลี่เอ่ยว่าเรื่องนี้ไม่มีอันตรายใดๆ ก็รู้สึกผ่อนคลายลงแล้วตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
“ในเมื่อสหายเอ่ยเช่นนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเคยเอ่ยถึงสตรีผู้บำเพ็ญเพียรนามว่าหนานกงหวั่น พวกเจ้าช่วยข้าหาสตรีผู้นี้ในเมืองเทวะสวรรค์หน่อย นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุขึ้นมา และอาจจะเปลี่ยนชื่อแซ่ แต่ข้าจะทิ้งคัมภีร์ไว้ให้พวกเจ้าม้วนหนึ่ง ในนั้นเป็นภาพวาดเหมือนของนาง พวกเจ้าจะได้แยกแยะได้ หากหาในเมืองเทวะสวรรค์ไม่พบ ภายในร้อยปีหลังจากนี้หากพวกเจ้าก็ช่วยข้าตามหาสตรีผู้บำเพ็ญเพียรผู้นี้ต่อ จนหาสตรีผู้นี้พบ ข้าจะต้องตอบแทนอย่างหนักแน่” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
“ไม่มีปัญหา ชนรุ่นหลังและพวกมีสหายสนิทอยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ ขอแค่เซียนผู้นี้มาปรากฏตัวที่เมืองเทวะสวรรค์ จะต้องช่วยท่านอาวุโสหาพบแน่” นักปราชญ์ตอบรับอย่างนอบน้อม
“อืม นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่อง ผู้แซ่หานเตรียมจะหลอมยาลูกกลอนจำนวนหนึ่ง แต่มีวัตถุดิบที่ต้องการค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่ล้วนไม่ใช่ของที่พบเห็นได้ทั่วไป แม้แต่ในเมืองเทวะสวรรค์ก็อาจจะไม่ได้รวบรวมจนครบได้ในระยะเวลาอันสั้น ส่วนข้านั้นจะออกไปที่อื่นสักหน่อย จึงทำได้เพียงให้สหายช่วยรวบรวมแทนข้า นี่คือศิลาวิญญาณ น่าจะพอซื้อสมุนไพร นอกจากนี้สมบัติอีกเหล่านี้ ข้าบังเอิญได้มาก มอบให้เหล่าสหายก็แล้วกัน”
เมื่อหานลี่เอ่ยจบก็สะบัดแขนเสื้อไปบนโต๊ะด้านข้าง
ลำแสงวิญญาณหลากสีสันเปล่งแสงสว่างวาบ กล่องหยกขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันสี่กล่องและถุงหนังสีดำปรากฏขึ้น
นักปราชญ์และพวกทั้งสี่ได้ยินก็อดที่จะลอบมองสบตากันด้วยแววตาตกตะลึงไม่ได้ หลังจากถ่ายทอดเสียงพูดคุยกันสองสามประโยคก็เผยสีหน้านอบน้อมแล้วตอบตกลงออกมา
จากนั้นหลังจากที่นักปราชญ์เอ่ยอย่างรู้สึกผิดก็หยิบถุงหนังขึ้นมา หลังจากกวาดจิตสัมผัสเข้าไปข้างในก็ร้องอุทานออกมาพร้อมกับหน้าเปลี่ยนสี สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ชั่วขณะนั้นชายชราชุดเกราะสีแดงและพวกทั้งคนพลันตกตะลึง สายตาที่มองไปที่หานลี่อดที่จะเผยแววตาตกตะลึงระคนสงสัยออกมาไม่ได้
แต่หานลี่กลับมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น
โชคดีที่นักปราชญ์เห็นสิ่งผิดปกติก็รีบร้อนเอ่ยปากอธิบาย “ท่านอาวุโสนี่มันจำนวนมากเกินไป คาดไม่ถึงว่าจะเอาศิลาวิญญาณระดับสุดยอดจำนวนมากขนาดนี้ออกมา ดูแล้วสมุนไพรที่ท่านอาวุโสอยากซื้อ คงไม่ธรรมดาจริงๆ ทว่าในเมื่อท่านอาวุโสเชื่อมั่นในชนรุ่นหลังและพวกเช่นนี้ ชนรุ่นหลังจะทำเต็มที่ขอรับ”
เอ่ยจบนักปราชญ์ก็เก็บถุงหนังเข้าไปอย่างระมัดระวัง หลังจากลังเลเล็กน้อยก็หยิบกล่องหยกบนโต๊ะขึ้นมากล่องหนึ่งแล้วเปิดออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หมอกลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งบินออกมา ในกล่องคือพัดหยกสีขาวด้ามหนึ่ง ผิวของมันเปล่งแสงระยิบระยับ มีอักขระอยู่เต็มไปหมด
นักปราชญ์ยกมือขึ้น หยิบพัดหยกขึ้นมา พอโบกสะบัดเล็กน้อย เงาพัดก็ปรากฏขึ้นด้านหน้า ในเวลาเดียวกันก็แผ่แรงกดที่น่าตกตะลึงออกมา
“พัดภูเขาแม่น้ำด้ามนี้มีอิทธิฤทธิ์ทั้งวายุและธรณี หลังจากพัดออกไป สามารถปล่อยพลังหนักพันชั่งที่ไร้รูปร่างในรัศมีร้อยจั้งได้ นับว่าเป็นสมบัติที่ไม่เลวชิ้นหนึ่ง” หานลี่มองเห็นฉากนี้ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
นักปราชญ์พลันเอ่ยขอบคุณไม่หยุดทันที
คนที่เหลือทั้งสามคนต่างก็หยิบกล่องหยกขึ้นมาคนล่ะกล่อง และเปิดออกอย่างตื่นเต้น
ผลคือในกล่องหยกมีกำไลสีเงินคู่หนึ่ง ผ้าไหมหลากสีสันผืนหนึ่งและใบมีดบินน้ำแข็งทมิฬเล่มหนึ่ง
สมบัติสามชิ้นนี้เป็นแค่ของไร้ค่าสำหรับหานลี่ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงอย่างพวกของนักปราชญ์แล้ว กลับเป็นสิ่งที่เพ้อฝัน จึงเอ่ยขอบคุณด้วยความดีใจเกินคาดเช่นกัน
แน่นอนว่าทั้งสี่คนเก็บสมบัติเข้าไปในทันที แล้วนับว่าเป็นการตอบรับเงื่อนไขของหานลี่อย่างเป็นทางการ
ส่วนทั้งสี่คนจะรู้สึกเสียใจในภายหลังแล้วนำศิลาวิญญาณหนีไปหรือไม่ หานลี่กลับวางใจมาก
ประวัติของทั้งสี่คนนั้นเขาไปสืบหามาจากในเมืองแล้ว
พวกเขามีชื่อเสียงไม่น้อยในเมือง และไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษ ไม่ว่าตระกูลหรือว่าพรรคล้วนหาได้อย่างง่ายดาย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทั้งสี่คนแค่ใช้สมองเล็กน้อย ก็ไม่มีทางทำเรื่องที่โง่เขลาเช่นนี้แล้ว มิเช่นนั้นก็เป็นการนำหายนะมาสู่ญาติพี่น้องของตนเอง
และยิ่งไปกว่านั้นก่อนจะออกจากหอคอย หานลี่ก็ยังใช้น้ำเสียงราบเรียบบอกทั้งสี่คนว่าตนเพิ่งจะบรรลุระดับผสานอินทรีย์เป็นการเตือนอีกครั้ง และแสดงให้เห็นว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ถึงจะควบคุมพลังปราณฟ้าดินได้อย่างง่ายดายได้
นักปราชญ์และพวกทั้งสี่คนพลันตกตะลึงจนตาค้าง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจมีความคิดเป็นอื่นได้
หลังจากที่หานลี่ออกจากหอคอย ก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีตรงไปยังหอคอยศิลายักษ์ที่เคยอาศัยยามที่เป็นผู้พิทักษ์สวรรค์ในปีนั้น
หลังจากนั้นไม่นานหานลี่ก็มาปรากฏตัวใกล้ๆ กับหอคอยศิลาแห่งหนึ่ง มองทางเข้าที่มีผู้พิทักษ์หลากสีสันเดินเข้าออกไม่หยุด ใบหน้าเผยสีหน้าใจลอยออกมา
หอคอยศิลาแห่งนี้คือที่พักยามที่เขารับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ยมโลกนิลในนั้น
ทว่ามาที่นี่อีกครั้งในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองสามร้อยปี ราวกับว่าทุกอย่างเหมือนเดิมทุกระเบียบนิ้ว
หลังจากที่แววตาของหานลี่เปล่งประกายสองสามครั้ง ก็เก็บความรู้สึกปลงอนิจจังกลับไป แล้วกลายเป็นลำแสงหลีกหนีบินไป
ตรงทางเข้าของหอคอยศิลา ผู้พิทักษ์เกราะทมิฬสิบกว่าคนและผู้พิทักษ์ยมโลกนิลสองคนกำลังรักษาการณ์อยู่ตรงนั้น
เมื่อเห็นหานลี่ที่ไม่ใช่ผู้พิทักษ์ของเมืองเทวะสวรรค์บินมา ชั่วขณะนั้นก็กวาดตามองด้วยความสงสัย
หานลี่พลันมีสีหน้าราบเรียบ แต่เมื่อเข้าใกล้กับผู้พิทักษ์เหล่านั้นกลับแผ่นกลิ่นอายระดับผสานอินทรีย์ออกมาอย่างไม่ปิดบัง
แม้ว่าเขาจะแผ่ออกมาเพียงเล็กน้อย แต่ความแตกต่างของระดับพลังยุทธ์ ก็ยังทำให้ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลสองคนที่ไม่ทันระวังตัว หน้าเปลี่ยนสี ตัวสั่นเทาอย่างต่อเนื่อง
ผู้พิทักษ์เกราะสีดำเหล่านั้นยิ่งทนไม่ไหว ถอยร่นไปสองสามก้าวจนดัง “ตึกๆ”
“ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์!” ชายร่างใหญ่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลคนหนึ่งสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง
“เอ๋ เจ้าคือสหายหาน!” ชายชราผู้พิทักษ์ยมโลกนิลเคราสั้นอีกคนหนึ่ง กวาดสายตาตามบนใบหน้าของหานลี่ แล้วพลันอ้าปากค้าง
คาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะรู้จักหานลี่
หานลี่ได้ยินเช่นนั้นพลันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงอดที่จะกวาดมองชายชราเคราสั้นแวบหนึ่งอย่างละเอียดไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าจะดูคุ้นหน้าอยู่สองสามส่วน
“เจ้าคือสหายเย่ว์!” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วจำชายชราขึ้นได้
“สหายหาน…ไม่ใช่ ท่านอาวุโสหาน ท่าน…” ชายชราเคราสั้นมีท่าทีไม่อยากจะเชื่อราวกับเห็นผี ปากก็เอ่ยพึมพำราวกับละเมอออกมา
“ท่านอาวุโสไม่ใช่อาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์สินะ ขอถามแซ่ของท่านอาวุโส ชนรุ่นหลังมีอันใดให้ช่วยหรือ พี่เย่ว์ หรือว่าเจ้ารู้จักกับท่านอาวุโสผู้นี้” แม้ว่าชายร่างใหญ่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลจะตกตะลึงเช่นกัน แต่ก็ไม่กล้าดูแคลนรีบเข้ามาคารวะและเอ่ยถามชายชราแซ่เย่ว์ด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างอดไม่ได้
แต่ในยามนี้ชายชราเคราสั้นกลับกำลังเหม่อลอย อ้าปากพะงาบๆ กลับไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา
“เซียนสวี่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิล อยู่ในหอคอยหรือไม่” หานลี่เอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“อ๋อ เซียนสวี่! สองสามวันก่อนสหายสวี่เพิ่งจะนำกองกำลังออกไปลาดตระเวน เกรงว่าคงต้องรออีกสองสามวันถึงจะกลับมา” แม้ว่าชายร่างใหญ่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลจะประหลาดใจกับท่าทางของชายชรา แต่ก็ตอบกลับอย่างนอบน้อม
“ในเมื่อไม่อยู่ ข้าก็ไม่เข้าไปแล้ว รอเซียนสวี่กลับมา ขอรบกวนสหายช่วยผู้แซ่หานฝากไปบอกหน่อยว่าข้ารออยู่ที่หอรวมเซียนในเมือง เชิญสหายสวี่มาสักครั้ง ส่วนฐานะของข้าสหายเย่ว์รู้ดี ข้าจะไม่พูดแล้ว” หานลี่ขมวดคิ้วมุ่น แต่ทันใดนั้นก็ออกคำสั่งด้วยสีหน้าราบเรียบ
จากนั้นเขาก็ประสานมือคารวะให้ชายชราเคราสั้นอีกครั้ง คนก็กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งพุ่งออกไป
แน่นอนว่าชายร่างใหญ่ย่อมเป็นผู้นำของผู้พิทักษ์เกราะทมิฬแสดงท่าทีน้อมส่ง
“พี่เย่ว์ ท่านอาวุโสหานผู้นี้คือผู้ใดกันแน่ เหตุใดท่านถึงเสียกิริยาขนาดนั้น” เมื่อเห็นว่าสายรุ้งสีเขียวหายไปอย่างไร้เงา ชายร่างใหญ่ก็หันกลับมา เห็นชายชราแซ่ยังมีท่าทีตกตะลึงก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก
“ในเมื่อมาตามหาเซียนสวี่ ดูแล้วคงเป็นผู้นี้ไม่ผิดแน่ พี่ติงอย่าถือสาเลย สามร้อยปีก่อนท่านอาวุโสหานผู้นี้เป็นแค่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลเหมือนพวกเราอย่างไรอย่างนั้น ตอนนั้นครั้งสุดท้ายที่ข้าพบกับ ‘ท่านอาวุโสหาน’ ผู้นี้เขาเพิ่งจะอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นกลาง” ในที่สุดชายชราเคราสั้นก็ดูเหมือนจะได้สติกลับมาแล้ว จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด
“สามร้อยปีก่อน ผู้พิทักษ์ยมโลกนิล! พี่เย่ว์ล้อเล่นอยู่หรือ!” ชายร่างใหญ่ได้ยินพลันสะดุ้งโหยง สองตาเบิกโพลงจนเป็นวงกลม
“พี่ติงเพิ่งจะเข้ามาในเมืองเทวะสวรรค์ได้ไม่ถึงสองร้อยปี ดังนั้นจึงไม่รู้จัก ข้าและ ‘ท่านอาวุโสหาน’ ผู้นี้เป็นผู้พิทักษ์ยมโลกนิลเช่นเดียวกันในปีนั้น แม้ว่าจะไม่มีได้คบค้าอันใดกันมาก แต่ก็เคยถูกอีกฝ่ายช่วยสนับสนุนครั้งหนึ่ง ก่อนหน้านี้ ‘ท่านอาวุโสหาน’ ผู้นี้นับว่ามีชื่อเสียงมากในบรรดาผู้พิทักษ์ยมโลกนิลของพวกเรา สามารถสังหารชนต่างเผ่าระดับหลอมสุญตาได้โดยใช้พลังยุทธ์ระดับเทพแปลง ต่อมาดูเหมือนจะรับภารกิจลับอันใดสักอย่าง เข้าไปในแดนรกร้าง แล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น แค่ไม่ได้พบกันไม่กี่ปี คาดไม่ถึงว่าจะกระโดดจากระดับเทพแปลงไประดับผสานอินทรีย์ มันจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อยกระมัง” ชายชราแซ่เย่ว์พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา คำพูดปกปิดความตกตะลึงระคนอิจฉาเอาไว้ไม่มิด