คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1766 สถานที่ตั้งตระกูลสวี่
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1766 สถานที่ตั้งตระกูลสวี่
“เซียนหลิงหลง หรือว่าจะเป็นสนมของหมาป่าเทวะเทียนขุยที่กลับมาจากแดนล่าง ได้ยินว่าสหายหลิงหลงไม่เพียงเป็นทายาทสายตรงของท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสนมคนโปรดของหมาป่าเทวะ?” แม้ว่าหญิงสาวผมสีม่วงจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเผามนุษย์ ทว่าคาดไม่ถึงว่าจะจะรู้เรื่องนี้ จึงเอ่ยถามด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
“ไม่ผิด ผู้นี้คือสหายหลิงหลง ปีนั้นที่นางกลับมาจากแดนล่าง ก็มีพลังยุทธ์แค่ระดับเทพแปลงขั้นปลาย แต่ยามที่พบกันคราวที่แล้วกลับอยู่ในระดับยอดสุดของระดับหลอมสุญตาขั้นกลางแล้ว กำลังจะเข้าสู่ระดับขั้นปลาย ไม่แน่ว่าก่อนที่เคราะห์มารจะมาถึงก็อาจจะมีโอกาสทะลวงจุดคอขวดอีกครั้ง ถึงอย่างไรเสียคุณสมบัติของหญิงสาวผู้นี้ ก็มีชื่อเสียงเกรียงไกรในเผ่าหมาป่าจันทราตั้งแต่แรกแล้ว หากไม่ใช่เพราะถูกกักเอาไว้แดนล่างนาน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเราแล้ว” หญิงสาวสวมหน้ากากถอนหายใจออกมาขณะเอ่ย
“ต่อให้คุณสมบัติเหนือชั้นแค่ไหน พออยู่ข้างกายท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวไปสองสามร้อยปี ก็จะได้พัฒนาระดับขั้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรแค่ไหน แต่ในเมื่อเป็นสนมของหมาป่าราชา ท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวจะให้สหายหลิงหลงอยู่ข้างกายได้อย่างไร หรือว่าท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวตั้งใจทำเช่นนี้ เพราะมีเหตุผลอื่น?” หญิงสาวผมสีม่วงสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก พลางเอ่ยซักถามสองสามประโยค
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ว่ากันว่าคนอื่นๆ ในเผ่าล้วนกล่าวเช่นนั้น ดูเหมือนว่าหลังจากที่เซียนหลิงหลงติดอยู่ในแดนล่างแล้ว ก็เกิดความแตกแยกระหว่างสหายเทียนขุย เป็นท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวที่เป็นฝ่ายพาสหายหลิงหลงไป บางทีเซียนหลิงหลงจะไม่พอใจที่ตนติดอยู่ในแดนล่างมาหลายปี แต่หมาป่าเทวะกลับไม่สนใจก็ได้กระมัง” หญิงสาวสวมหน้ากากลังเลเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงคาดเดาออกมา
“เอาละ ในเมื่อสหายเอ๋าเสี้ยวไม่เป็นอันใด พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องคาดเดาเรื่องอื่นๆ ของสหาย จากนี้เราจะถกกันเรื่องทูตของเผ่าสามง่ามราตรีและเผ่าพฤกษาที่กำลังมาจะถึง ทั้งสองเผ่าล้วนส่งคนมาที่นี่เพราะเรื่องเคราะห์มาร” ฉับพลันนั้นชายชราชุดขาวพลันเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา
คนอื่นๆ ได้ยินแล้วพลันใจหายวาบ ตั้งใจฟังทันที
เช่นนั้นเวลาจึงค่อยๆ ไหลผ่านไป
อาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์เหล่านี้ถกกันกว่าครึ่งวันเต็มๆ ถึงได้แยกย้ายกันไป
สองวันต่อมาในเมืองเทวะสวรรค์ เขตอาคมส่งตัวแห่งหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนสองคนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปท่ามกลางเขตอาคมส่งตัว
แทบจะในเวลาเดียวกันที่วิหารแห่งหนึ่งพลันมีเสียงอื้ออึงดังขึ้น วิหารอยู่ที่เมืองขนาดยักษ์อีกเมืองหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเทวะสวรรค์ไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่
เขตอาคมส่งตัวที่ถูกดูแลเป็นอย่างดี เปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าขึ้น
นักรบชุดเกราะถือขวานสองสามคนที่ยืนคุยกันอยู่ในบริเวณนั้น พลันตกตะลึง แล้วหันไปมองเป็นตาเดียวกัน
แม้ว่าเขตอาคมส่งตัวนี้จะถูกสิ่งมีชีวิตระดับสูงของเมืองให้ความสำคัญ ปกติแล้วไม่เพียงจะดูแลรักษาเป็นอย่างดี ยังเพิ่มกำลังคุ้นกันเป็นพิเศษด้วย แต่ค่าใช้จ่ายที่สูงลิบนั้นก็ทำให้ผู้ที่ใช้เขตอาคมส่งตัวนี้มีอยู่เพียงไม่กี่คน ปีหนึ่งจะพบได้แค่สองสามครั้งเท่านั้น
แต่ทุกครั้งที่ใช้เขตอาคมส่งตัวนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับกลางหรือต่ำได้
ดังนั้นหลังจากที่ผู้บำเพ็ญเพียรจิตวิญญาณสีทองสองสามคนนี้เห็นเงาร่างคนสองสายปรากฏขึ้นในเขตอาคม ก็ยืนตัวตรงแน่วทยอยกันเผยสีหน้าเคารพนบน้อมออกมา
“ที่นี่คือเมืองเฟิงหลิน?” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ส่งตัวออกมา กวาดสายตาไปแล้วเอ่ยถามนักรบชุดเกราะคนหนึ่งอย่างราบเรียบ
“รายงานท่านอาวุโส ที่นี่คือเมืองเฟิงหลิน ยินดีต้อนรับท่านอาวุโสมาเยี่ยมเยียนที่เมืองของเรา!” นักรบที่ถูกถามตอบกลับอย่างนอบน้อม
พวกเขาใช้จิตสัมผัสกวาดไปยังคนเบื้องหน้าทั้งสอง ล้วนไม่อาจมองพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายออกได้ แน่นอนว่าจึงไม่กล้าดูแคลนเลยสักนิด
“ในเมื่อเป็นเมืองเฟิงหลินก็ดีแล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะร่า และไม่สนใจนักรบชุดเกราะเหล่านั้นอีก พาหญิงสาวผิวพรรณขาวเนียนอีกคนหนึ่งเดินออกจากเขตอาคม ตรงไปยังประตูใหญ่
พวกเขาสองคนย่อมคือหานลี่และเซียนสวี่ที่ส่งตัวมาจากเมืองเทวะสวรรค์
แม้ว่าตระกูลสวี่จะไม่ได้อยู่ในเมืองเฟิงหลิน แต่นี่เป็นเมืองที่ใกล้กับตระกูลสวี่มากที่สุดที่สามารถส่งตัวมาได้แล้ว
หานลี่และพวกทั้งสองคนผ่านผู้ดูแลสองสามชั้นไป ในที่สุดก็ออกมาจากวิหารส่งตัว
ตรงหน้ามีจัตุรัสศิลาสีเขียวขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น
จัตุรัสนี้เรียบง่ายมาก นอกจากอิฐขนาดยักษ์สีเขียวเรียงรายกันแล้ว ก็ไม่มีเครื่องประดับที่สะดุดตาใดๆ อีก
แต่รอบด้านของจัตุรัสนั้นมีสิ่งปลูกสร้างที่ดูเหมือนหอคอยและวิหารอยู่ นอกจากนักรบชุดเกราะที่ลาดตระเวนไปมารอบๆ สองสามกลุ่ม ก็ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ เคลื่อนไหวอยู่
หานลี่แผ่จิตสัมผัสออกไปไกลอีกครั้ง สีหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
คาดไม่ถึงว่าจัตุรัสนี้จะสร้างขึ้นบนสันเขาของยอดเขาที่สูงขึ้นไปพันจั้งเศษ รอบด้านเป็นถนนและบ้านเรือนที่เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
หานลี่หันไปมองยอดเขาแวบหนึ่ง
วิหารขนาดยักษ์ที่สร้างอยู่ตรงนั้น ด้านนอกไม่เพียงวิจิตรงดงาม ด้านในยังมีกลิ่นอายอยู่สองสามสาย ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตา
ดูแล้วสองสามคนนี้คงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่รับหน้าที่ดูแลเมืองแห่งนี้
หานลี่แววตาเปล่งประกาย ดึงจิตสัมผัสกลับมาทันที
จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อด้วยสีหน้าราบเรียบ หมอกสีเขียวแผ่ออกมาจากเรือนร่าง ห่อหุ้มตนและหญิงสาวข้างกายเอาไว้ แล้วกลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไป
ภายในห้องแห่งหนึ่งของวิหารบนยอดเขา ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาสามคนกำลังนั่งดูข้างตัวโต๊ะตัวยาวที่มีผลไม้และสุราวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ท่าทางกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่พวกเขากลับมองสบตากัน แววตาเผยแววตกตะลึงออกมา
“นี่มันเรื่องอันใดกัน จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งเมื่อครู่ ท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์ผู้ใดมาที่เมืองของเราหรือ?” ชายชราสวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ
“ดูจากระดับความแข็งแกร่งของจิตสัมผัสแล้ว เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จะส่งตัวมาที่เมืองของเรา ไม่รู้ว่าเป็นใต้เท้าของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์หรือว่าอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์” บุรุษวัยกลางคนสวมชุดเกราะสีขาวอีกคนหนึ่งเอ่ยด้วยความตกตะลึงระคนสงสัย
“จากที่ข้ารู้ว่าใต้เท้าข้างกายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์มัวแต่ยุ่งอยู่กับการเตรียมการใหญ่ของเมืองเทวะสวรรค์ ไม่อาจปลีกตัวมาเมืองเราได้ น่าจะเป็นอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์กระมัง?” ผู้บำเพ็ญเพียรคนที่สามชายหนุ่มจอนผมสีทองเรืองรองเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
“อืม ในเมื่อเป็นอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์ ก็คงแค่ผ่านทางมาเท่านั้น ดูจากท่าทางรีบร้อนของเขา พวกเราไม่จำเป็นต้องไปทักทายด้วยตัวเองหรอก” ชายชราสวมชุดคลุมสีดำถอนหายใจออกมายาวๆ สีหน้าผ่อนคลายลง
“ทว่าเมืองเฟิงหลินอยู่ในเขตแดนเทียนหยวน นับว่าเป็นที่รกร้าง อาวุโสเมืองเทวะสวรรค์คนหนึ่งมาทำอันใดที่นี่?” บุรุษวัยกลางคนเกราะสีขาวดูเหมือนจะไม่สบายใจเล็กน้อย
“หึๆ สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์เหล่านี้ ชอบทำอันใดลับๆ ล่อๆ อยู่แล้ว ขอแค่ไม่ได้มาหาพวกเรา จะไปยุ่งยากทำไมกัน ข้าอยากจะให้ท่านผู้นี้ออกจากเมืองของเราทันทีแทบไม่ไหวแล้ว” ชายหนุ่มสีหน้าโหดเหี้ยมขณะเอ่ย
“นั่นมันก็จริง ทว่าออกคำสั่งไปให้ผู้ใต้บังคับบัญชาระวังให้มาก อย่าหาเรื่องยุ่งยากมาให้พวกเรา” ชายชราสวมชุดคลุมสีดำกลับมีสีหน้ามั่นคง หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พี่ใหญ่พูดมีเหตุผล ในเมื่อไม่ใช่ใต้เท้าของเมืองศักดิ์สิทธิ์ พวกเราก็ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของเมืองเทวะสวรรค์ แต่สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ ต้องระวังให้มากหน่อยย่อมไม่ผิด” ชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะสีขาวได้ยินพลันพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
ทั้งสามคนพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงที่คิดไม่ซื่อ ดูเหมือนว่ากำลังทำเรื่องที่ไม่อาจพบหน้าพูดใดได้
อีกด้านหานลี่ย่อมไม่รู้ว่าการส่งตัวของมาของตนครั้งนี้ ทำให้เจ้าเมืองหลักและรองทั้งสามเกิดอาการมีพิรุธขึ้นมา
หลังจากที่เขาบินออกจากเมืองเฟิงหลินแล้วก็บินไปทางทิศใต้ ตามการชี้ทางของสวี่เชียนอวี่
ตามคำพูดของหญิงสาวผู้นี้ แม้ว่าที่นี่จะเป็นเมืองของผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ใกล้กับตระกูลสวี่มากที่สุด แต่ก็ยังอยู่ห่างจากตระกูลสวี่ไปเป็นระยะทางสองสามเดือนเต็ม
ดังนั้นไม่นานนักหานลี่ก็ปล่อยสำเภาเหาะออกมา ทั้งสองนั่งอยู่ด้านบนให้มันพุ่งไปกลางอากาศตามกลไก
เห็นได้ชัดว่าที่นี่รกร้างว่างเปล่ามาก หลังจากออกห่างจากเมืองเฟิงหลินได้สองสามแสนลี้ พื้นดินมีเผ่ามนุษย์คนธรรมดาที่หาได้ยากก็ปรากฏขึ้น
แม้ว่าบางครั้งจะมีเมืองขนาดเล็กอยู่เมืองสองเมือง ก็มีคนธรรมดาและผู้บำเพ็ญเพียรใช้ชีวิตปะปนกันไป
ทว่าหลังจากผ่านไปสิบกว่าวัน พื้นดินก็เป็นเทือกเขา นอกจากฝูงอสูรที่บังเอิญปรากฏตัวขึ้นกลางหุบเขาแล้ว ก็ไม่มีเงาของสิ่งมีชีวิตใดๆ อีก
สิ่งที่ทำให้หานลี่ประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ แม้ว่าจะไม่อาจกล่าวได้ว่ายอดเขาเหล่านี้ไม่มีพลังวิญญาณเลย แต่เทียบกับสถานที่อื่นๆ ก็เห็นได้ชัดว่ามีไอวิญญาณเบาบางมาก
ส่วนเงาของชีพจรวิญญาณ หลังจากบินมาหลายวันแล้ว ก็ยิ่งไม่เคยพบเลยสักนิด
“ตระกูลสวี่ของพวกเจ้าเลือกสถานที่แบบนี้ตั้งตระกูลหรือ?” ในที่สุดหานลี่ก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้นบนรถ
“ขายหน้าท่านอาวุโสแล้ว อีกไม่นานท่านอาวุโสก็จะเข้าใจเหตุผลแล้ว” สวี่เชียนอวี่ฉีกยิ้มเบิกบาน คาดไม่ถึงว่าจะเผยท่าทีลึกลับออกมา
“งั้นหรือ! พอไปถึงผู้แซ่หานก็คงได้เปิดประสบการณ์แล้ว” หานลี่ยังคงรู้สึกประหลาดใจ แต่ใบหน้าก็ไม่เผยสีหน้าแปลกใจใดๆ ออกมา
หลังจากที่บินไปรวดเดียวสิบกว่าวัน ยอดเขาด้านล่างที่เดิมเป็นสีเหลืองก็เริ่มมีสีเขียวขจี คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มมีสีแดงแตะแต้มอยู่ ไม่ว่าภูเขาก้อนหินดินโคลน หรือว่าพืชที่เจริญเติบโต ล้วนแตะแต้มไปด้วยสีแดง
ยามแรกหานลี่ยังไม่ได้ใส่ใจสิ่งนี้
แต่หลังจากบินไปอีกสองสามวัน ทั้งเขตก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองแดง ในที่สุดหานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสี
หลังจากแผ่จิตสัมผัสไปบนพื้นดินอย่างละเอียดสองสามรอบ แววตาของเขาก็เผยสีหน้ามีแผนการออกมา
“ในที่สุดท่านอาวุโสก็เข้าใจแล้ว” สวี่เชียนอวี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีเหมืองแร่ทองแดงบริสุทธิ์ที่มีจำนวนไม่น้อยอยู่ มิน่าล่ะถึงยอมสูญเสียแดนที่มีไอวิญญาณมาสร้างตระกูลที่นี่” หลังจากที่หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ก็ตอบกลับ
“ท่านอาวุโสช่างเฉียบแหลมนัก! หมื่นปีก่อนตระกูลสวี่ของพวกเรามาถึงที่นี่ ก็ถกกันไปรอบหนึ่งว่าจะตั้งตระกูลที่นี่หรือไม่ สุดท้ายเหล่าท่านปู่ก็ตัดสินใจ ผลคือทำให้ตระกูลร่ำรวย แต่การฝึกฝนของศิษย์ในตระกูลก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ความได้เปรียบและเสียเปรียบจากเรื่องนี้มันพูดยากจริงๆ” สวี่เชียนอวี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างจนปัญญา
หานลี่ได้ยินก็พยักหน้า แต่แววตาก็เปล่งประกายไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ
หญิงสาวย่อมไม่รบกวนอันใดหานลี่อีกอย่างรู้จักวางตัว
สองสามวันต่อมาขอบฟ้าที่ไกลออกไปก็มีสีเขียวขจีปรากฏขึ้น
ไอวิญญาณพัดเข้ามา ทำให้หานลี่อดที่จะมีชีวิตชีวาขึ้นไม่ได้ รู้ว่าในที่สุดก็มาถึงตระกูลสวี่แล้ว
หลังจากผ่านไปไม่นาน เทือกเขาขนาดเล็กที่เขียวชอุ่มก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
แม้ว่าในเทือกเขาจะมีชีพจรวิญญาณธรรมดาๆ อยู่แห่งสายเดียว แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ไอวิญญาณของที่นี่เหนือกว่ารอบๆ แล้ว
ส่วนยอดเขาสูงสิบกว่าแห่งในเทือกเขา ก็มีสิ่งปลูกสร้างหลากหลายตั้งอยู่อย่างแน่นขนัด
ระหว่างยอดเขาเหล่านั้นยังมีคลื่นประหลาดวนเวียนอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นเขตอาคมที่ร้ายกาจ