คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1769 วิญญาณโลหิต
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1769 วิญญาณโลหิต
ชายชราและชายร่างใหญ่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ใบหน้าพลันเผยสีหน้าดีอกดีใจออกมาเช่นกัน
สวี่เจียวระงับความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ ใช้สัญลักษณ์มือเดียวกันดูดยันต์ของกล่องหยกมา
บุรุษสวมชุดสีขาวกวาดตามองของสองสิ่งทั้งซ้ายและขวา หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ยังคงยื่นมือไปคว้ากล่องหยกสีฟ้ากล่องนั้นเข้ามาในมือ
หลังจากนำคัมภีร์มาแตะเบาๆ ที่หน้าผาก บุรุษผู้นั้นก็หลับตาทั้งสองข้างลง
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ยามแรกบุรุษชุดขาวยังมีสีหน้าผ่อนคลาย แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นฉงน แต่สุดท้ายกลับค่อยๆ ตกตะลึง
ชายชราสวี่หั่วและชายร่างใหญ่ที่อยู่ด้านข้างเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ในใจอดที่จะรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาไม่ได้
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ในที่สุดบุรุษสวมชุดสีขาวก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา สีหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจเล็กน้อยแล้วเลื่อนคัมภีร์ออกจากหน้าผาก
“หลานชาย ในนั้นกล่าวถึงอันใดกันแน่” ชายชราทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
ชายร่างใหญ่เผยสีหน้าร้อนใจออกมา
“ท่านอาหั่ว ท่านดูเองเถิด” สวี่เจียวดูเหมือนว่าจะได้สติขึ้นมาสองสามส่วน สีหน้าสลับซับซ้อนขณะโยนคัมภีร์มา ดูเหมือนว่าจะไม่อยากพูดอันใดมาก
ชายชรายกมือขึ้นรับคัมภีร์ แน่นอนว่าย่อมตกตะลึงระคนสงสัยเล็กน้อย แต่หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็แทรกจิตสัมผัสเข้าไปด้านในเช่นกัน
ยามนี้สวี่เจียวกลับเลื่อนสายตามาตกที่กล่องหยก ครุ่นคิดเล็กน้อย แขนเสื้อข้างหนึ่งปัดผ่านไป
ชั่วขณะนั้นฝากล่องพลันเปิดออกโดยอัตโนมัติ
ในกล่องหยกมีลำแสงสีดำไหลโคจรไปมาไม่หยุด ด้านในมีขวดสีแดงสดความยาวสองสามชุ่นวางอยู่
ผิวของขวดหยกสลักลวดลายแปลกประหลาดอยู่ และแผ่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งออกมา
“เอ๋ นี่ดูเหมือน…” ชายร่างใหญ่ที่อยู่ด้านข้างมองเห็นทุกอย่าง ก็จำอันใดได้ขึ้นมาในทันที
“ไม่ผิด นี่คือขวดวิญญาณโลหิตที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลสวี่ของพวกเรา เดิมเป็นคู่ แต่ปีนั้นถูกบรรพชนวิญญาณน้ำแข็งเอาไปด้วยหนึ่งขวด คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีโอกาสได้รวมกันอีกครั้ง” สวี่เจียวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เป็นสมบัตินี้จริงๆ!” ชายร่างใหญ่กลืนน้ำลาย แล้วเอ่ยพึมพำออกมา
สวี่เจียวไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ และออกคำสั่งกับชายร่างใหญ่
“เจ้าเอาแผ่นป้ายของข้าไป แล้วจัดหน่วยคุ้มกันลับทั้งหมดของเผ่าให้มาล้อมศาลบรรพบุรุษเอาไว้ พร้อมกับเปิดเขตอาคมในบริเวณรอบ แม้แต่แมลงสักตัวก็ไม่อนุญาตให้เข้าไป แล้วไปเชิญท่านบรรพชนอาที่ยังกักตนอยู่ออกมารอที่ศาลบรรพบุรุษ”
“จัดหน่วยคุ้มกันลับอันใด แล้วยังต้องเชิญท่านบรรพชนอาออกมาอีก” ชายร่างใหญ่พลันตกตะลึง ท่าทางไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่แล้ว นี่เกี่ยวข้องกับท่านบรรพชนวิญญาณม่วง ต่อให้ท่านอาจารย์อากำลังฝึกฝนอยู่ในช่วงสำคัญ ก็จำต้องออกจากการกักตน” บุรุษสวมชุดสีขาวกัดฟัน ออกคำสั่งเด็ดขาดอย่างไม่ยอมให้มีข้อสงสัยออกมา
“ผู้นำตระกูลหาเบาะแสของท่านบรรพชนพบแล้วจริงๆ ขอรับ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ชายร่างใหญ่ได้ยินพลันหัวเราะร่า แล้วตอบรับอย่างไม่ลังเลใดๆ อีก ทันใดนั้นก็เดินออกไปด้านนอก
หลังจากที่สวี่เจียวเห็นชายร่างใหญ่ออกไปจากห้องลับ สายตาก็ตกอยู่ที่ขวดสีแดงโลหิตอีกครั้ง สีหน้ากลับเดี๋ยวเคร่งขรึมเดี๋ยวสดใส
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ชายชราสวี่หั่วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็อ่านคัมภีร์จบ และเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง คาดไม่ถึงว่าท่านบรรพชนจะไปที่แดนรกร้างจริงๆ อีกทั้งยังยังไปที่แผ่นดินใหญ่อื่น แต่เกิดเรื่องอันใดขึ้น ก็มีเพียงวิญญาณโลหิตที่ถูกสำแดงและส่งกลับมาเท่านั้นที่รู้” ชายชราเอ่ยพึมพำ ขมวดคิ้วแน่น
“ในคัมภีร์นอกจากเคล็ดวิชาลับเกี่ยวกับวิญญาณโลหิตแล้ว เรื่องอื่นก็กล่าวเอาไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ขอแค่ใช้ ‘โลงผลึกโลหิต’ ปลุกให้วิญญาณโลหิตตื่นขึ้นอีกครั้งถึงจะรู้ได้ โชคดีที่ตอนนั้นท่านบรรพชนวิญญาณน้ำแข็งมีแผนเสริม ให้หลอมโลงผลึกโลหิตและขวดวิญญาณโลหิตคู่นี้ก่อน มิเช่นนั้นแม้ว่าพวกเราก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไร” สวี่เจียวเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทว่าในคัมภีร์กล่าวไว้ว่าหากเอายันต์ออก จำต้องทำพิธีปลุกภายในสองสามวัน มิเช่นนั้นแม้ว่าจะมีขวดวิญญาณโลหิต โลหิตวิญญาณเสี้ยวนั้นก็จะสลายหายไป ถึงอย่างไรเสียโลหิตวิญญาณที่ถูกผนึกอยู่ในขวดก็มีอายุมากแล้ว” ชายชราเผยสีหน้ากังวลใจออกมา
“วางใจ คืนนี้พวกเราจะทำพิธีทันที” บุรุษสวมชุดสีขาวแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย
“ก็มีเพียงเท่านี้ ใช่แล้ว ท่านอาวุโสหานที่อยู่ในวิหารหลักนั้น พวกเราจะตอบแทนอย่างไร ได้ยินอวี่เอ๋อร์กล่าวว่า ท่านผู้นี้มีต้นกำเนิดเดียวกันกับท่านบรรพชนวิญญาณน้ำแข็ง และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนนำวิญญาณโลหิตกลับมาส่งด้วยตนเอง น่าจะไม่มีเจตนาร้ายอันใดกับตระกูลสวี่ของพวกเรา” ชายชราเอ่ยถามอีกครั้ง
“อืม แม้ว่าท่านอาวุโสหานผู้นี้จะเพิ่งพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ได้ไม่นาน แต่ดูเหมือนว่าจะมีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย และยังเชี่ยวชาญด้านเขตอาคม ไม่แน่ว่าอนาคตอาจจะกลายเป็นทัพเสริมที่พึ่งพาได้ของตระกูลสวี่ของพวกเรา ไม่ว่าอย่างไรจะต้องรั้งท่านอาวุโสผู้นี้ไว้ที่ตระกูลสวี่ของพวกเราสักสองสามวัน หลังจากที่จัดพิธีปลุกวิญญาณโลหิตแล้ว ค่อยหาวิธีสร้างความสัมพันธ์กับท่านอาวุโสหาน” สวี่เจียวครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างตัดสินใจแล้วออกมา
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ เช่นนั้นข้าไปจัดการก่อนก็แล้วกัน” สวี่หั่วพยักหน้า แล้วหมายจะจากไปลำพัง
“ช้าก่อน เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ ข้าและท่านอาหั่วไปด้วยกันจะดีกว่า” บุรุษสวมชุดสีขาวลังเลเล็กน้อย แล้วกลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ก็ดี สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องปฏิบัติให้ดี” ชายชราครุ่นคิดแล้วแสดงออกว่าเห็นด้วย
ดังนั้นผู้นำตระกูลสวี่ผู้นี้จึงเก็บขวดสีแดงโลหิตเข้าไปในกล่องหยกอย่างระมัดระวัง แล้วเดินออกจากห้องลับไปพร้อมกับชายชรา
……
หนึ่งชั่วยามผ่านพ้น ภายในหอคอยวิจิตรงดงามที่สร้างขึ้นกลางเทือกเขาแห่งหนึ่ง หานลี่กำลังนั่งสมาธิอยู่บนฟูกชั้นสูงสุด ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย พลางขบคิดอันใดอยู่
ในใจของเขากลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาไม่หยุด
เดิมวางแผนว่าส่งของแล้ว จะทักทายกับคนของตระกูลสวี่เพียงเล็กน้อยแล้วขอตัวกล่าวลา
แต่คิดไม่ถึงว่าผู้นำตระกูลสวี่ผู้นี้จะแสดงท่าทีกระตือรือร้นออกมา ไม่เพียงพยายามรั้งเขาไว้อย่างสุดความสามารถ และยิ่งไปกว่านั้นภายใต้สถานการณ์ที่เห็นว่าเขาตั้งใจจะไป คาดไม่ถึงว่าจะเผยออกมาว่าของที่นำมามอบให้เกี่ยวข้องกับเบาะแสของเซียนวิญญาณน้ำแข็ง
ขอแค่เขาอยู่ที่ตระกูลสวี่นานหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะหาเบาะแสของท่านบรรพชนของพวกเขาพบ
เขาได้ฟังคำนี้ก็อดที่จะลังเลไม่ได้
หากจะบอกว่าหานลี่ไม่สนใจเรื่องของวิญญาณน้ำแข็งเลยสักนิด ก็เป็นไปไม่ได้
ไม่ว่าเขาจะดูดซับเพลิงน้ำแข็งสวรรค์ และเคยเสี่ยงอันตรายเข้าไปในวังนภาสูญ จนได้หม้อนภาสูญมา รวมทั้งวังยมโลกเหนือของต้าจิ้น ล้วนเกี่ยวข้องกับวิญญาณน้ำแข็ง
และยิ่งไปกว่านั้นเขายังสงสัยอยู่หลายจุด และอยากให้เซียนวิญญาณน้ำแข็งผู้นี้อธิบาย
แค่อยู่ที่นี่สักสิบวันหรือครึ่งเดือน เขาย่อมไม่ได้ถือสา
ถึงอย่างไรเสียจากพลังยุทธ์ของเขาในยามนี้ ก็ไม่ต้องกังวลว่าตระกูลสวี่จะคิดแผนการอันใดกับเขา
ในเผ่ามนุษย์และปีศาจ นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานในตำนาน ก็ไม่มีผู้ใดคุกคามเอาชีวิตของเขาได้
ดังนั้นเมื่อผู้นำตระกูลสวี่รวมทั้งผู้บำเพ็ญเพียรของตระกูลสวี่คนอื่นๆ รั้งเขาไว้ สุดท้ายเขาก็ยอมพักอยู่ในหอคอยแห่งนี้
แน่นอนว่าต่อให้ได้เบาะแสของเซียนวิญญาณน้ำแข็งมา แล้วจะทำอย่างไรต่อ ต้องเสียเวลาตามหาต่อหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก เขาต้องดูสถานการณ์ตอนนั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน
หานลี่ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ยกมือขึ้น จากนั้นลำแสงวิญญาณก็เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นในมือพลันมียันต์สีเงินปรากฏขึ้น
ยันต์แผ่นนี้เป็นยันต์ไอวิญญาณที่ใช้แล้วหมดไปของแดนเทพเซียนที่เขาได้มาจากซากปรักหักพังในแดนกว้างเย็น
ระยะเวลาที่ผ่านมานี้เป็นเพราะไม่อาจปรุงยาระดับผสานอินทรีย์ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รีบร้อนฝึกพลังปราณ กลับตั้งสมาธิไว้กับการเรียนรู้ยันต์ของแดนเซียน
แม้ว่ายันต์แผ่นนี้จะไม่มีอานุภาพ แต่อักขระยันต์ด้านบนล้วนเป็นตัวอักษรลูกอ๊อดสีเงิน เหมือนกับยันต์ของหน้ากระดาษสีทองได้มาในอดีต แน่นอนว่าย่อมใกล้เคียงกัน
ทำให้หานลี่เรียนรู้ทั้งหมดที่รู้มาในช่วงนี้
เดิม ‘ยันต์ขวานสวรรค์’ ในหน้ากระดาษสีทองที่ไม่อาจเรียนรู้ได้ คาดไม่ถึงว่าจะเห็นเค้าลางขึ้นมาเล็กน้อย
ยันต์นี้เป็นยันต์อักขระลูกอ๊อดสีเงินชนิดสุดท้ายที่บันทึกไว้ในกระดาษที่ไม่สมบูรณ์ เป็นยันต์โจมตีเพียงชนิดเดียว
ยันต์นี้มีอานุภาพอย่างไรนั้นยังไม่ต้องพูดถึง แค่ความซับซ้อนของมัน ก็มากกว่ายันต์ชำระพิสุทธิ์และยันต์ลูกอ๊อดสีเงินชนิดอื่นๆ แล้ว
จากข้อนี้ ‘ยันต์ขวานสวรรค์’ นี้น่าจะมีคุณค่าพอให้รอคอย
หานลี่จ้องเขม็งยันต์สีเงินในมือไปพลาง นิ้วชี้วาดรูปอันใดสักอย่างกลางอากาศไปพลาง
เนิ่นนานไม่มีอันใดเกิดขึ้น แต่บางครั้งกลับมีอักขระยันต์สีเงินขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว บางครั้งก็ระเบิดออกแล้วสลายหายไป บางครั้งก็รวมตัวกันเปล่งแสงระยิบระยับ เผยท่าทีลึกลับออกมา
วันเวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ไม่นานนัก กลางอากาศตรงเทือกเขาที่ตั้งของตระกูลสวี่ ก็มีจันทราทรงกลดแขวนอยู่สองสามดวง มาถึงยามกลางดึกแล้ว
หานลี่กำลังวาดภาพอันใดอยู่ไม่หยุด ฉับพลันนั้นใบหน้าก็เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
ครูต่อมาเขาพลันยืนขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบ ปรากฏตัวที่หน้าต่างและทอดมองออกไปยังเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไป สีหน้าแฝงไว้ด้วยความฉงนสนเท่ห์
“นี่มันเรื่องอันใดกัน ระลอกคลื่นเขตอาคมนี้ดูแปลกๆ เหมือนกับว่า…” หานลี่ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าจะนึกอันใดออก จึงเงยหน้าขึ้นมองที่สูง
ผลคือทำให้ตกตะลึง!
เห็นเพียงจันทร์ทรงกลมที่เปล่งแสงสีเงินระยิบระยับกลางอากาศ เปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิตตั้งแต่เมื่อใดก็สุดจะรู้ได้ ทำให้เห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ
หานลี่ถอนหายใจยาวๆ ออกมา หลังจากถอนสายตากลับมาแล้ว ก็มองไปที่ยอดเขาเดิม ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลง
รูม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบไม่หยุด ไกลออกไปดูเหมือนจะเป็นยอดเขาธรรมดา ภายใต้เนตรวิญญาณ คาดไม่ถึงว่าจะถูกหมอกลำแสงสีโลหิตชั้นหนึ่งปกคลุมเอาไว้
ลำแสงสีโลหิตเหล่านี้วนล้อมรอบยอดเขา แล้วกะพริบวาบๆ ไม่หยุด ระลอกคลื่นที่น่าตกตะลึงกลุ่มนั้น แผ่ออกมาจากยอดเขานั้นรางๆ
เห็นได้ชัดเลยว่ารอบด้านของยอดเขาวางเขตอาคมลึกลับเอาไว้ แต่ลำแสงสีโลหิตกลุ่มนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ยังคงมีแรงกดส่วนหนึ่งทะลุออกมา
“กลิ่นอายโลหิตคละคลุ้งเช่นนี้ หรือว่าตระกูลสวี่กำลังทำพิธีบวงสรวงโลหิต? ทว่าต่อให้ทำพิธีบวงสรวงโลหิต ก็คงไม่ทำตอนที่มีคนนอกอยู่หรอกกระมัง หรือว่าเกี่ยวข้องกับของที่ข้ามอบให้วันนี้?” หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ลำแสงสีฟ้าในแววตาของเขาถึงได้หม่นแสงแล้วสลายหายไป พลางเอ่ยพึมพำด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เขาเป็นผู้ที่มีสติปัญญาล้ำเลิศขนาดไหน แค่ครุ่นคิดเพียงเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะเดาเรื่องนี้ออกเจ็ดแปดส่วน