คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1782 เคล็ดวิชาตาแห้งและเคล็ดวิชาดูปราณ
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1782 เคล็ดวิชาตาแห้งและเคล็ดวิชาดูปราณ
เวลาต่อมาหานลี่และผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สามคนก็ถกประสบการณ์ในการฝึกบำเพ็ญเพียรและเคล็ดวิชาต่างๆ ไปเกือบครึ่งวัน ถึงได้ขอตัวลามาอย่างได้ความรู้ไม่น้อย
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนยืนอยู่ตรงขอบของรถอสูร สายตามองหานลี่ที่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวหายวับไปจากท้องฟ้า ปากก็ออกคำสั่ง
ขบวนรถที่แต่เดิมหยุดอยู่กลางอากาศ พลันเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง
“กับสหายหานผู้นี้ ปรมาจารย์เทียนฉานพวกเจ้ารู้สึกอย่างไร?” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนนั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลัก พลางเอ่ยถามคำถามที่ไม่มีหัวไม่มีหางออกมา
“อ่อนเยาว์มาก!”
“ไม่เลวเลย!”
หลังจากที่ชายชราร่างกายผ่ายผอมและภิกษุมองสบตากันแวบหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยขึ้นมาพร้อมกันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“หึๆ เคล็ดวิชาตาแห้งของสหายหวงดูอายุขัยกระดูกที่แท้จริงของคนได้ อ่อนเยาว์มาก นั้นเข้าใจได้ง่ายมาก ส่วนไม่เลวเลยกลับต้องฟังปรมาจารย์อธิบายอย่างละเอียด เคล็ดวิชาดูปราณของสหายเทียนฉาน จัดอยู่ในสามอันดับแรกของเผ่ามนุษย์ของพวกเรา เชื่อว่าคงไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“แม้ว่าการเก็บกลิ่นอายของคนผู้นี้จะลึกลับมาก แต่เคล็ดวิชาดูปราณของอาตมาไม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของพลังยุทธ์จากจิตสัมผัสได้ จากที่อาตมาดูระดับของคนผู้นี้คือระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นไม่ผิดแน่ แต่พลังปราณในร่างกลับลึกล้ำกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นธรรมดาๆ หากให้เปรียบเทียบให้เห็นชัด ก็น่าจะเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ชั้นต้นธรรมดาๆ เกือบเท่าตัว ต่อให้บอกว่าสหายหานผู้นี้มีพลังยุทธ์อยู่แค่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น แต่พลังปราณกลับไม่ด้อยไปกว่าอาตมาที่อยู่ระดับขั้นกลาง” ภิกษุเทียนฉานครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า
“ดูแล้วสหายผู้นี้คงฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ทำให้พลังปราณเพิ่มขึ้น มิเช่นนั้นคงไม่เป็นเช่นนี้ ทว่าโดยปกติแล้วอิทธิฤทธิ์ด้านอื่นๆ ก็จะอ่อนแอ” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนหน้าเปลี่ยนสี พลางพยักหน้า
“หากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์คิดเช่นนั้น เกรงว่าคงผิดแล้ว นอกจากพลังปราณที่ลึกล้ำแล้ว ข้ายังมองออกว่าคนผู้นี้มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกร นอกจากเคล็ดวิชาหลักในการฝึกฝนแล้ว คนผู้นี้น่าจะมีอิทธิฤทธิ์ที่ร้ายกาจอย่างน้อยอีกสามสี่ชนิด ทุกชนิดเกรงว่าจะไม่ด้อยไปกว่า ‘เคล็ดวิชาลับหยกวิญญาณ’ ของอาตมา” ภิกษุกลับสั่นศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ ชายชราร่างกายผ่ายผอมกลับร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
“แม้ว่าสหายหานจะมีพละกำลังอยู่นอกเหนือความคาดหมาย แต่สหายหวงไม่ต้องประหลาดใจขนาดนั้นกระมัง หรือว่าสหายพบสิ่งอื่นเข้า!” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนเหลือบตามองชายชราแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“ท่านจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์น่าจะรู้ เคล็ดวิชาตาแห้งของตาเฒ่านั้นนอกจากจะมองทะลุอายุของกระดูกได้แล้ว ยังมองกายเนื้อออก” หวงตั้งกลับเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“หรือว่ากายเนื้อของสหายหานมีความพิเศษอันใด!” ครั้งนี้เทียนฉานทนไม่ไหวถามย้อนขึ้น
“ไม่มีอันใดพิเศษ แค่แข็งแกร่งมากเท่านั้น” หวงตั้งดูเหมือนจะนึกอันใดออก สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดใจ
“แข็งแกร่งมาก? หรือว่าแข็งแกร่งกว่ากายเนื้อของจักรพรรดิ?” ภิกษุได้ยิน กลับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“ต่อให้สู้ไม่ได้ ข้าว่าก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเท่าใดนัก” หลังจากที่กล้ามเนื้อบนใบหน้าของชายชรากระตุกแล้วกลับเอ่ยสิ่งที่ทำให้ภิกษุหน้าเปลี่ยนสีออกมา
“มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ หรือ” แววตาของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนเปล่งประกาย แล้วเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
“เป็นไปไม่ได้! สหายหวง หรือว่าเจ้าล้อเล่น แม้ว่าใต้เท้าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จะฝึกฝนเคล็ดวิชาขงจื๊อเป็นหลัก แต่ปีนั้นมีต้นกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนระดับสุดยอด ประกอบกับผ่านการฝึกฝนอย่างหนักมาหลายปี เกรงว่าระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อคงไม่ด้อยไปกว่าราชาปีศาจเหล่านั้น แม้ว่าสหายหานจะฝึกฝนร่างกายได้ แต่ก็ไม่อาจเทียบกับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้” ภิกษุเทียนฉานสั่นศีรษะราวกับรัวกลองก็ไม่ปาน
“ต่อให้เคล็ดวิชาตาแห้งของตาเฒ่าผิดพลาด แต่ระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อเป็นดังที่ตาเฒ่าเห็นแน่ คนที่สองรองจากใต้เท้าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์” ชายชราร่างกายผ่ายผอมลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
“แต่นี่มันจะเกิน…”
“ปรมาจารย์เทียนฉานไม่ต้องสงสัยอันใด เคล็ดวิชาตาแห้งของสหายหวงยังไม่เคยผิดพลาดมาก่อน หึๆ พลังปราณลึกล้ำกว่าระดับเดียวกัน มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรหลายชนิด กายเนื้อแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าราชาปีศาจ แถมยังอ่อนเยาว์เช่นนี้ หากผ่านเคราะห์มารที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นานไปได้ เกรงว่าจากนี้คงกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ด้อยไปกว่าข้าจริงๆ” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนโบกมือตัดบทคำพูดฉงนสงสัยของภิกษุ สองตาหรี่ลงดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในภวังค์ความครุ่นคิด
ส่วนชายชราร่างกายผ่ายผอมและภิกษุได้ยินหลังจากมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว ก็เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
ในเวลาเดียวกันนั้นหานลี่ที่กลายเป็นลำแสงหลีกหนีกลับอยู่ห่างไปหมื่นลี้ตั้งนานแล้ว และพุ่งตรงไปยังเทือกเขาเขียวขจี
เทือกเขานี้มียอดเขาตั้งตระหง่านราวกับกระบี่ยักษ์อยู่เก้าลูก แน่นอนว่าเป็นภูเขาเก้าเซียนที่ใกล้จะเปิดงานชุมนุมหมื่นสมบัติแล้ว
ทว่ายามนี้ในรัศมีพันลี้จากขอบของเทือกเขานั้นมีเขตอาคมต้องห้ามแล้ว
ก่อนที่งานชุมนุมจะเปิดตัวขึ้น นอกจาก ‘ใต้เท้า’ ที่มีฐานะพิเศษแล้ว ผู้ใดเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา โทษสถานเบาคือขับไล่ออกไป โทษสถานหนักคือสังหารอย่างไม่มีข้อยกเว้น
ดังนั้นเผ่ามนุษย์และปีศาจที่มาเข้าร่วมงานชุมนุมจากแดนไกล ส่วนใหญ่ก็พักค้างแรมชั่วคราวอยู่ตรงเทือกเขาที่อยู่บริเวณรอบ
เซียนเย่ว์หัวผู้นั้นเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมคนหนึ่ง แน่นอนว่าจึงเป็นเช่นนี้
ยามที่หานลี่แยกจากพวกของไห่ต้าเซ่า ก็ทิ้งสัญลักษณ์ติดตามเอาไว้ในร่างกายของเขา จึงไม่กลัวว่าจะหากันไม่เจอ
ดังนั้นยามที่เห็นลำแสงหลีกหนีของหานลี่เข้ามาใกล้กับภูเขาเก้าเซียน แต่กลับเปลี่ยนทิศทาง บินเฉียงไปอีกด้าน
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร สายรุ้งสีเขียวก็พุ่งลงมาที่เนินเขาของยอดเขาแห่งหนึ่ง
ลำแสงสีเขียวหม่นแสงลง หานลี่ปรากฏตัวขึ้นในป่าลับผืนเล็กๆ
เขาเงยหน้าขึ้นกวาดมองป่าไม้เขียวขจี แล้วพลันเผยรอยยิ้มออกมา แขนเสื้อข้างหนึ่งสะบัดไปทางป่าไม้เบาๆ
ชั่วขณะนั้นหมอกสีเขียวพลันม้วนวนออกมา
ฉับพลันนั้นป่าไม้ก็เริ่มบิดเบี้ยว หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น กลายเป็นจุดลำแสงสลายออก
ป่าผืนเดิมสลายหายไป ที่เดิมกลับมีกำแพงหินสูงใหญ่ที่ดูเปล่าเปลี่ยวรกร้างปรากฏขึ้น
บนกำแพงหินประตูหินสีขาวความสูงสองสามจั้งตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
หานลี่ก็ไม่ได้พูดจา ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ลำแสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในประตูหินอย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นเขาก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ อีก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ประตูหินพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นพลันพุ่งสูงขึ้น
เงาร่างคนเดินออกมาจากด้านในเป็นสาย
เซียนเย่ว์หัว ไป๋หัวจี๋ ไห่ต้าเซ่า รวมทั้งชี่หลิงจื่อล้วนอยู่ด้านใน นอกจากนี้ยังมียายแก่ถือไม้เท้าหัวมังกรเดินอยู่หน้าสุด เรือนผมสีขาวโพลน ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย แต่กลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงคนหนึ่ง
นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย!
ส่วนยายแก่ผู้นั้นเมื่อมองเห็นหานลี่ แววตาก็เปล่งประกายวาวโรจน์ พิจารณาอย่างละเอียดแวบหนึ่ง แล้วก้าวมาข้างหน้า คารวะหานลี่อย่างนอบน้อม
“ชนรุ่นหลังเถียนชิงเย่ พาลูกศิษย์มาคารวะท่านอาวุโสหาน!”
เซียนเย่ว์หัวที่อยู่ด้านหลัง เห็นยายแก่ทำเช่นนี้ ก็รีบร้อนคารวะตามทันที
ส่วนบุรุษวัยกลางคนและพวกของไห่ต้าเซ่าก็คารวะเช่นกัน แต่แค่มีสีหน้าแปลกประหลาดอยู่เล็กน้อย
“พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด มีอันใด ก็ไปคุยกันข้างใน” หานลี่กลับเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เจ้าค่ะ ชนรุ่นหลังเตรียมชาวิญญาณชั้นเลิศเอาไว้แล้ว หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่รังเกียจ!” หลังจากที่ยายแก่เอ่ยว่าเจ้าค่ะแล้ว ถึงได้กล้าลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น
หานลี่พยักหน้า ไม่ได้เอ่ยอันใดได้อีก หลังจากยกขาขึ้น ก็เดินเข้าไปในประตู
กลุ่มคนจึงเดินตามหลังไปอย่างนอบน้อม
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็นั่งลงตรงกลางศาลาหินที่สะอาดสะอ้านโดยมียายแก่อยู่ด้วย
เซียนเย่ว์หัวและพวกยืนประสานมือทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยกัน ส่วนไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อก็ดูเหมือนว่าจะยังคงไม่อยากจะเชื่อว่า ‘พี่หาน’ จะกลายเป็น ‘ท่านอาวุโสหาน’ และยังคงเหลือบมองหานลี่ไม่หยุด
หานลี่กลับทำเหมือนไม่เห็นทั้งสองคน แค่เอ่ยถามยายแก่อย่างราบเรียบ
แค่สั้นๆ ไม่กี่ประโยค ก็รู้ประวัติความเป็นมาของยายแก่และศิษย์กระจ่างแล้ว
ที่แท้ยายแก่ก็มีต้นกำเนิดมาจาก ‘พรรคจินกว่าง’ พรรคระดับกลางในเขตเสวียนอู่ และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นหนึ่งในอาวุโสทั้งสองของพรรค
เซียนเย่ว์หัวคือศิษย์ในพรรคของนาง คุณสมบัติล้ำเลิศ ปกติแล้วมักจะได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากยายแก่
ส่วนไป๋กั่วเอ๋อร์คือหลานสาวของหญิงสาว และเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวของนาง ดังนั้นพ่อลูกอย่างไป๋ฮั่วจี๋ถึงได้ติดตามยายแก่เข้าร่วมงานชุมนุมหมื่นสมบัติได้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าบุรุษวัยกลางคนจะอยากขายโสมโลหิตที่ได้รับถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ เพื่อแลกเปลี่ยนกับยาต้านพิษเย็นเยียบในร่างของไป๋กั่วเอ๋อร์ แต่กลับติดกับโจรภูเขาทิศใต้ทั้งสาม
หากไม่ใช่เพราะบังเอิญพบกับพวกของหานลี่ เกรงว่าชีวิตของบิดาและบุตรสาวคงจะหาไม่ไปแล้วจริงๆ
ดังนั้นยายแก่เอ่ยจนมาถึงตรงนี้ ก็รีบร้อนให้เซียนเย่ว์หัวและไป๋ฮั่วจี๋เข้ามา ขอบคุณบุญคุณที่หานลี่ได้ช่วยชีวิตเอาไว้อีกครั้ง
หานลี่ย่อมโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่จำเป็น
“แม้ว่าชนรุ่นหลังจะออกจากสำนักน้อยมาก แต่ก็ได้ยินชื่อเสียงของท่านอาวุโสที่เพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ในเขตเทียนหยวนมาบ้าง ชื่อแซ่เหมือนกับท่านอาวุโสเลย ขอบังอาจเรียนถามว่าใช่ท่านอาวุโสหานหรือไม่” ยายแก่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
เห็นได้ชัดว่าชื่อเสียงของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์นั้นยิ่งใหญ่มาก จนถึงยามนี้แม้แต่ยายแก่ก็ยังไม่กล้ายืนยันฐานะของหานลี่
“หึๆ คิดไม่ถึงว่าชื่อเสียงของผู้แซ่หานจะแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรในเขตเสวียนอู่ก็ยังรู้จักข้า” หานลี่กลับหัวเราะอย่างราบเรียบ ท่าทางไม่คิดเช่นนั้น
“ที่แท้ก็เป็นท่านอาวุโสหานที่มาเยี่ยมเยียน คิดดูแล้วก็ใช่ ผู้ที่ถูกจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เรียนเชิญได้ ย่อมมีเพียงท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์ที่อยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้น” ยายแก่ได้ยินคำนี้ ก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดี
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงธรรมดาๆ อย่างนาง ปกติแล้วจึงไม่มีโอกาสรู้จักกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อันใด ยามนี้หากสร้างความสัมพันธ์กับหานลี่ได้ ย่อมมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งไม่ว่าต่อพรรคของนางหรือว่าตัวนางเอง
ดังนั้นจากนี้ยายแก่จึงยิ่งนอบน้อมมากยิ่งขึ้น
แต่หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปรอบๆ กลับเอ่ยสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคนออกมา
“เหตุใดแม่หนูที่มีนามว่ากั่วเอ๋อร์ถึงไม่อยู่ที่นี่ เรียกนางมา ข้าจะดูสักหน่อย”
เมื่อได้ยินคำนี้ของหานลี่ ยายแก่และพวกก็มองสบตากัน เซียนเย่ว์หัวยิ่งใจหายวาบพลางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ท่านอาวุโสหาน หลังจากที่กั่วเอ๋อร์กลับมาก็พิษกำเริบ ยามนี้กำลังพักผ่อนอยู่ด้านหลัง ท่านอาวุโสโปรดรอสักครู่ อีกเดี๋ยวนางจะพานางมาคารวะท่านอาวุโส”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าเองก็ไม่ต้องรอหรอก พอข้าไปดูแม่หนูผู้นั้นเถิด ผู้แซ่หานมาหาพวกเจ้าในครั้งนี้ กว่าครึ่งก็เพราะแม่หนูผู้นั้น” หานลี่เอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้มบางๆ จากนั้นก็ยืนขึ้น