คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1788 สตรีปีศาจจิ้งจอกสวรรค์
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1788 สตรีปีศาจจิ้งจอกสวรรค์
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไร ต่อให้อาตมาไม่เอ่ยเรื่องนี้ ก็คงมีสหายท่านอื่นบอกสหายเรื่องนี้เช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากนี้ไม่แน่ว่าอาตมาอาจจะมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ต้องให้สหายลงมือช่วยเหลือ!” อรหันต์ว่านกู่เอ่ยพร้อมกับยิ้มจนตาหยี
“อรหันต์เกรงใจเกินไปแล้ว จากนี้มีอันใดให้ผู้แซ่หานช่วยเหลือ สหายว่านกู่โปรดบอกมาเถิด” ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือเท็จ หานลี่ย่อมต้องตอบรับด้วยรอยยิ้มบางๆ
เช่นนั้นเวลาต่อจากนี้ทั้งสองจึงยิ่งสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์การฝึกบำเพ็ญเพียรกัน อรหันต์ว่านกู่ก็จงใจหาลูกศิษย์สาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นมาให้หานลี่ได้ชื่นชมความงดงามจากการร่ายรำระบำมารสวรรค์ แล้วถึงได้มาส่งเขาที่หน้าเขตอาคมส่งตัวด้วยตนเอง พลางใช้สายตาส่งเขาจากไป
เมื่อเงาร่างของหานลี่สลายหายไปท่ามกลางลำแสงจากเขตอาคมส่งตัว รอยยิ้มบนใบหน้าของนักพรตชราก็หุบลง เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
และในยามนี้ฉับพลันนั้นก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาร่างอรชนอ้อนแอ้นสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นด้านหลังนักพรตชรา และส่งเสียงหัวเราะอย่างเย้ายวนใจออกมา
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่ว่านกู่คิดว่าคนผู้นี้จะถูกเข้าร่วมหรือไม่? อย่าเสียเวลาจนสุดท้ายไม่ได้อันใดล่ะ”
หญิงสาวสวมผ้าโปร่งบางสีขาว หน้าตางามพริ้มพราย ไม่เพียงจะแต่งกายเหมือนกับสนมคนโปรดที่อยู่ในอ้อมกอดของนักพรตชราก่อนหน้า แม้แต่ดวงหน้าก็คล้ายคลึงกันเจ็ดส่วน
แต่ความแตกต่างแค่นี้ย่อมทำให้หญิงสาวผู้นี้และสนมคนโปรดแตกต่างกันเป็นคนละคน แววตาของหญิงสาวผู้นี้เต็มไปด้วยแววชวนลุ่มหลง ทุกการเคลื่อนไหวล้วนแผ่พลังเย้ายวนที่ทำให้บุรุษเพศคลุ้มคลั่งออกมา ไม่ใช่ผู้ที่สนมคนโปรดผู้นั้นจะเทียบเทียมได้เลยสักนิด
อรหันต์ว่านกู่ได้ยินเสียงของหญิงสาว ใบหน้าไร้ซึ่งแววประหลาดใจ กลับหันกายมาเอ่ยว่า “จะสำเร็จหรือไม่ ไหนเลยจะดูออกได้ในยามนี้ แม้ว่าบุรุษผู้นี้จะอ่อนเยาว์ แต่บรรลุระดับผสานอินทรีย์ได้ จะเป็นแค่คนธรรมดาได้อย่างไร แต่มั่นใจเช่นนี้ พวกเราก็ต้องไม่เสียเวลาชักจูง ยังไม่แน่ว่าจะสำเร็จ และยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ก็พละกำลังมาก ไม่แน่ว่าอีกสองสามร้อยปี อาจจะพัฒนาระดับขั้นอีกก็ได้ หากชักจูงเขาได้ ก็แข็งแกร่งกว่าชักจูงจิ้งจอกชราที่ไม่น่านับถือสองสามตนนั้นมาก”
“บรรลุระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง? เจ้าให้ค่าสหายหานผู้นี้มากเกินไปแล้ว แม้ว่าเขาจะพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่การเหยียบเข้ามาในระดับนี้ ความยากของการพัฒนาระดับขั้นทุกขั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ก่อนหน้าจะเทียบเทียมได้ มิเช่นนั้นเจ้ากับข้าพัฒนาระดับผสานอินทรีย์มาได้สองสามหมื่นปี จะยังติดอยู่ในระดับยอดสุดของระดับขั้นต้นได้อย่างไร ทำให้พลังปราณไม่อาจพัฒนาได้อีก และยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่แค่เราสองคน สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็ติดอยู่ในระดับนี้เช่นกัน ถึงอย่างไรเสียพัฒนาจนมาถึงระดับขั้นกลางก็มีแค่ไม่กี่คน ระดับขั้นปลายยิ่งน้อยมาก บุรุษผู้นี้มีคุณสมบัติเหนือชั้นขนาดไหน หลังจากรออีกสองสามพันปี ถึงจะมีโอกาสทะลวงระดับขั้นต้นได้ มิเช่นนั้นยามที่เคราะห์มารมาถึง เขาก็อาจจะพัฒนาจนมาอยู่ขั้นกลางและยอมคุ้มครองเซียน ข้าก็จะยอมสัญญาด้วยความเต็มใจ” หญิงงามถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ยพึมพำ
เมื่อได้ยินคำว่า ‘เคราะห์มาร’ อรหันต์ว่านกู่ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แววตาฉายแววหวาดกลัวออกมา
แต่ถึงอย่างไรเสียคาดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา ชั่วครู่ก็ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติ และยิ่งไปกว่านั้นก็เอ่ยอย่างราบเรียบ
“เคราะห์มาร์ครั้งที่แล้วเจ้ากับข้าล้วนได้เผชิญด้วยตัวเอง ความน่ากลัวของเผ่ามารโบราณไม่ต้องพูดถึงอีก คาดไม่ถึงว่าผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษระดับผสานอินทรีย์ของทั้งเผ่ามนุษย์และปีศาจจะเพลี่ยงพล้ำไปกว่าครึ่ง น่าจะมีไม่ถึงสี่ห้าคนที่รอดชีวิตจากเคราะห์มารได้ ส่วนจำนวนของสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ในขุมอำนาจอื่นๆ ที่รอดชีวิตก็มากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษมาก สาเหตุที่แท้จริงแน่นอนว่าเป็นเพราะผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษอย่างพวกเราสู้ด้วยตัวเอง สุดท้ายก็ถูกสิ่งมีชีวิตระดับสูงของเผ่ามารโบราณล้อมสังหาร ดังนั้นครั้งนี้ก่อนหายนะมารจะปะทุ พวกเราจะต้องพยายามดึงผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ มาเป็นพวก ถึงยามนั้นพอมารวมตัวกัน ก็น่าจะมีอัตราในการมีชีวิตรอดเพิ่มขึ้นไม่น้อย”
“แม้ว่าคำพูดของสหายจะมีเหตุผล! ข้ายังรู้สึกว่าเป็นการเสียแรงเป็นอย่างมากในการชักชวนผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษ ไม่แน่ว่าจะได้ผล ไม่สู้เจ้าสลายสำนักกระดูกขาวแล้วเข้าร่วมกับสามจักรพรรดิ ข้าจะกลับไปหาวิธีปะปนเข้าไปในผู้ใต้บังคับบัญชาของราชาปีศาจคนใดสักคน ถึงอย่างไรเสียมีสำนักใหญ่คุ้มกะลาหัวก็ยังดี” หลังจากที่แววตาของหญิงสาวเปล่งแสงสว่างวาบ ก็เบะปากขณะเอ่ย
คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวผู้นี้จะเป็นชนเผ่าปีศาจคนหนึ่ง!
“หึ อย่าคิดเรื่องนี้เลย เจ้ากับข้าคุ้นชินกับการเป็นอิสระ ไหนเลยจะเข้าร่วมกับผู้อื่นแล้วยอมให้ถูกข้อกำหนดของผู้อื่นบีบบังคับได้ มิเช่นนั้นตอนแรกเจ้าคงไม่ออกจากเผ่าสุนัขจิ้งจอกสวรรค์ ข้าก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับคำเชิญเป็นสามจักรพรรดิ แล้วอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาจนถึงทุกวันนี้หรอก และยิ่งไปกว่านั้นปกติแล้วพวกเราก็ไม่ได้ออกแรงแทนขุมอำนาจเหล่านั้น ยามนี้คิดจะขอพึ่ง แม้ว่าพวกเขาจะยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง แต่วันข้างหน้าจะต้องถูกเรียกใช้เป็นลูกกระสุนปืนใหญ่ หากต้องเสี่ยงอันตราย จะต้องเป็นพวกเราที่เพิ่งเข้าไปในขุมอำนาจแน่ หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ข้าไม่สู้อยู่คนเดียว จะรุกหรือถอยได้ตามประสงค์ และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้สามจักรพรรดิเจ็ดราชาปีศาจที่มีขุมอำนาจมั่นคง ก็ไม่มีทางปลอดภัยทั้งหมด เคราะห์มารครั้งที่แล้วก็มีหนึ่งในสามจักรพรรดิเพลี่ยงพล้ำไปในสงคราม ยามนี้พวกเราวางแผนล่วงหน้า ยิ่งดึงสหายระดับผสานอินทรีย์เข้าร่วมกับพวกเราได้มากเท่าไหร่ อัตราการรอดชีวิตในเคราะห์มารก็มากขึ้นหนึ่งส่วน ถึงอย่างไรเสียข้าก็ยอมเชื่อตัวเอง ไม่มีทางเอาชีวิตไปมอบให้คนข้างๆ” นักพรตชราตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“หากต้องทำเช่นนี้จริงๆ งานหมื่นสมบัติครั้งนี้คือโอกาสงามๆ ในการร่วมมือกันกับผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษคนอื่นๆ มิเช่นนั้นนอกจากผู้ที่พูดน้อยแล้ว ปกติแล้วก็หาคนอื่นพบได้ไม่สมใจ ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์มอบให้อรหันต์ ส่วนทางด้านเผ่าปีศาจข้าจะไปชักจูงด้วยตนเอง เชื่อว่าผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษเหล่านั้น แม้ว่าจะมีคนรู้ข่าวคราวเคราะห์มารแล้ว แต่ก็ไม่ได้เข้าใจชัดเจนเหมือนพวกเรา รู้ว่าจะระเบิดภายในพันปี ใช่แล้ว ก่อนมาที่นี่ข้าเคยคุยเรื่องนี้กับหมาป่าดำตัวนั้นแล้ว เขาดูเหมือนจะสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหากจะชักชวนเขาจริงๆ ก็ต้องคุยกันให้ละเอียด” หญิงงามดูเหมือนจะถูกนักพรตชราชักจูงอีกครั้ง หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็พยักหน้าขณะเอ่ย
“เยี่ยมไปเลย สหายหมาป่าดำเทียนคุนเคยแย่งชิงตำแหน่งราชาปีศาจกับราชาหมาป่าเทียนขุย สู้กันหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงได้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แน่นอนว่าอิทธิฤทธิ์ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษธรรมดาๆ จะเทียบเทียมได้ ส่วนเผ่ามนุษย์ คนอื่นๆ ข้าไม่แน่ใจ แต่บรรพชนเทียนอินของภูเขาเทียนอินและข้าก็มีความสัมพันธ์กัน ครั้งนี้ก็จะเข้าร่วมงานชุมนุมหมื่นสมบัติ น่าจะชักชวนได้ไม่มีปัญหา” อรหันต์ว่านกู่ได้ยิน ก็เอ่ยอย่างยินดี
“หากชักชวนให้ทั้งสองคนมาเข้าร่วมได้ แม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่อาจชักชวนมาได้ พวกเราก็พอจะปกป้องตนเองในเคราะห์มารได้แล้ว” หญิงสาวฉีกยิ้มเบิกบาน ใบหน้าเกิดความเย้ายวนใจขึ้น ราวกับว่ากลิ่นอายเสน่หาที่แผ่ออกมาเพิ่มมากขึ้น
แม้ว่าอรหันต์ว่านกู่จะเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาเด็ดตะวันเสริมอาทิตย์ มองใบหน้าของหญิงสาว ก็อดที่จะเผยแววตางุนงงออกมาไม่ได้
“อันใดหรือว่าพี่ว่านกู่อยากลองเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับข้า? หากมีความคิดนี้จริงๆ ล่ะก็ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะลองดู!” หญิงสาวเห็นอรหันต์ว่านกู่มีท่าทีเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งเย้ายวนขึ้น
ราวกับว่าอีกฝ่ายพูดแค่คำเดียว ร่างกายที่นุ่มนิ่มราวกับไม่มีกระดูกก็จะปล่อยให้นักพรตชราลิ้มลองจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
แต่เมื่อนักพรตชราได้ยินคำพูดที่เย้ายวน กลับสั่นสะท้าน โบกมือด้วยรอยยิ้มขมขื่นทันที
“เซียนล้อเล่นแล้ว! เซียนมีร่างจิ้งจอกสวรรค์ ไหนเลยจะพบกับอาตมาได้ นักพรตชราไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่เพิ่มสักปีสองปีเหมือนยามเยาว์วัยนะ”
“นั่นน่าเสียดายมาก ข้าอยากแลกเปลี่ยนหนทางการฝึกคู่บำเพ็ญเพียรกับสหาย น่าเสียดายสหายมีใจชั่วร้ายแต่ไม่มีใจกล้า” หญิงสาวเผ่าปีศาจหัวเราะคิกคัก ความเย้ายวนบนใบหน้าเพิ่มพูนขึ้น
นักพรตชราท่องคาถานักพรต ไม่กล้ามองใบหน้าของหญิงสาวตรงๆ หลังจากเลื่อนสายตาออก ก็รีบร้อนเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา
“จะว่าไปแล้ว เคล็ดวิชาลวงตาของเซียนฮัว อยู่ในระดับที่บริสุทธิ์แล้วจริงๆ ยามที่เซียนแต่งกายเป็นสาวใช้ แม้แต่อาตมารู้อยู่แล้ว ก็ยังไม่อาจสัมผัสความผิดปกติได้ คิดดูแล้วสหายหานผู้นี้คงมองอันใดไม่ออก คู่ควรกับที่เป็นเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ พรสวรรค์ในเรื่องอำพรางกายและลวงตานั้นจัดอยู่ในสามอันดับแรกของเผ่าต่างๆ ในเผ่าปีศาจ”
“หึ สหายว่านกู่ เจ้าคิดว่าอีกฝ่ายมองการแต่งตัวของข้าไม่ออกหรือ?” เมื่อได้ยินนักพรตชรากล่าวเช่นนี้ หญิงสาวที่แต่เดิมยิ้มกริ่มกลับหุบยิ้ม น้ำเสียงเย็นชาขึ้น
“เซียนหมายความว่าอย่างไร?” นักพรตชราได้ยินพลันตกตะลึง
“สหายว่านกู่ไม่พบก็ไม่แปลก เพราะว่าเมื่อครู่ที่ข้าปลอมตัวเป็นสนมรักของเจ้า ในจิตสัมผัสของอีกฝ่ายมีระลอกคลื่นเล็กน้อย แล้วพุ่งมาที่ข้าทันที หากไม่ใช่เพราะข้าสำแดงเคล็ดวิชาลับสังเกตคนผู้นี้ตั้งนานแล้ว ก็ไม่พบอันใดเช่นกัน สหายหานผู้นี้มีจิตสัมผัสแข็งแกร่ง ในชีวิตนี้ข้ายังพบเห็นได้น้อยมาก หากจะเทียบล่ะก็ เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าสามจักรพรรดิเจ็ดปีศาจ” หญิงสาวเงียบขรึมไปเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยอย่างเคร่งเครียด
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” อรหันต์ว่านกู่ย่อมสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปเฮือกหนึ่ง สีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส
“ทว่า พี่ว่านกู่โปรดวางใจ อีกฝ่ายพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ได้ทั้งที่เยาว์วัยเช่นนี้ จะต้องมีพรสวรรค์ที่น่าเหลือเชื่อแน่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเขาจะมองใบหน้าที่แท้จริงของข้าออก แต่พลังปราณแท้ของข้า ก็ใช้เคล็ดวิชาลับของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ผนึกเอาไว้ชั่วคราว ต่อให้เขามีพลังยุทธ์เหนือฟ้า ก็ไม่อาจมองระดับผสานอินทรีย์ของข้าออก และยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ไม่ได้ทำการสุ่มเสี่ยงใดๆ เขาเองก็น่าจะดูออกว่าเราสองคนไม่มีเจตนาร้ายต่อเขา มิเช่นนั้นคงไม่คุยกับสหายว่านกู่ตั้งนานเพียงนี้ ถึงได้จากไป”
“เซียนก็พูดมีเหตุผล อย่างน้อยยามที่พบกันครั้งต่อไป หากเขาเอ่ยถาม ข้าก็จะหาข้ออ้างบอกไป” นักพรตชราครุ่นคิดอย่างละเอียด สีหน้าผ่อนคลายลง
“ความจริงแล้วต่อให้ทำให้คนผู้นี้รู้ฐานะของข้าจริงๆ แล้วจะเป็นอย่างไร หรือว่าข้าไปพบหน้าผู้อื่นมิได้หรือ?” หญิงสาวกลับเอ่ยด้วยเสียงไพเราะ
อรหันต์ว่านกู่ได้ยินพลันกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก ยามนั้นทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ปริปาก