คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1793 กังวลใจ
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1793 กังวลใจ
“อิ่งเอ๋อร์ หากสหายหานยอมเข้าร่วมตระกูลเยี่ย ผู้ที่จะช่วยสำแดงเคล็ดวิชานิพพานก็คือเจ้าสินะ ก็ใช่จากฐานะระดับผสานอินทรีย์ของสหายหาน เกรงว่าโลหิตเที่ยงแท้หงส์สวรรค์ของศิษย์ตระกูลเยี่ยทั่วๆ ไปคงบริสุทธิ์ไม่พอ ไม่อาจฝึกฝนได้ ข้าเคยได้ยินมานานแล้วแม้ว่าตระกูลเยี่ยจะมีศิษย์อยู่จำนวนมาก แต่ดูเหมือนว่าจะมีผู้ที่สืบทอดโลหิตเที่ยงแท้หงส์สวรรค์อยู่แค่ไม่กี่คน ส่วนสหายหานก็ดูเหมือนว่าจะเป็นโสด นั่นเหมาะสมมาก!” ยามนั้นหญิงสาวโยนความคิดในใจทิ้งไป ใช้น้ำเสียงเย้าแหย่เอ่ยขึ้น
“เรื่องนี้…อิ่งเอ๋อร์จะทราบได้อย่างไรเจ้าคะ ต้องดูว่าท่านอาวุโสหานจะยอมเข้าร่วมตระกูลเยี่ยจริงๆ หรือไม่ ถึงจะให้ท่านแม่เป็นผู้ตัดสินใจ” หญิงสาวมีใบหน้าแดงก่ำ และเอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ ออกมา
หลิวชิงกลับฉีกยิ้มไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้าง
หานลี่ไม่ใช่คนโง่เขลา ชั่วครู่ก็เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าเคล็ดวิชานิพพานแล้ว ความจริงแล้วก็เป็นเคล็ดวิชาของคู่บำเพ็ญเพียรชนิดหนึ่ง
ส่วนท่าทางเขินอายของหญิงสาวตรงหน้า หากยอมเข้าร่วมตระกูลเยี่ย หญิงสาวที่จะช่วยเขาฝึกฝน ก็คงจะเป็นเยี่ยอิ่งผู้นี้
หานลี่รู้สึกประหลาดใจ แต่สีหน้ากลับนิ่งขรึม แต่หลังจากที่ขบคิดอย่างรวดเร็วก็สั่นศีรษะ
“ขอบคุณความหวังดีของตระกูลเยี่ย แต่ข้าน้อยตัดสินใจแล้ว ว่าไม่รับพันธสัญญาจากผู้ใด คงทำได้เพียงต้องขอบคุณความหวังดีของตระกูลเจ้าแล้ว”
เมื่อได้ยินหานลี่ปฏิเสธเรื่องนี้ทันที เยี่ยอิ่งก็ดูเหมือนว่าจะผ่อนคลายลง แต่ส่วนลึกในแววตาคู่งามกลับเผยแววผิดหวังออกมาเล็กๆ แต่ทันใดนั้นก็ตอบกลับด้วยสีหน้าปกติ
“ในเมื่อท่านอาวุโสหานไม่ทำเพราะของนอกกาย เช่นนั้นเรื่องที่จะเข้าร่วมตระกูลเยี่ย ชนรุ่นหลังก็จะไม่เอ่ยถึงแล้ว แต่หากเปลี่ยนเงื่อนไข ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสจะยอมช่วยตระกูลเยี่ยอีกสิบปีให้หลังหรือไม่?”
“สิบปี สหายหมายถึงพิธีวิญญาณเที่ยงแท้หรือ!” หานลี่ได้ยินก็อดที่จะเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาไม่ได้
“เอ๋ ท่านอาวุโสรู้เรื่องนี้ หรือว่า…” เยี่ยอิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว จึงเดาออกได้ในทันที
“ใช่แล้ว เซียนมาสายไปแล้วก้าวหนึ่ง ข้าน้อยตอบรับเซียนเส้าเฟิงของตระกูลกู่ว่าจะช่วยในพิธีวิญญาณเที่ยงแท้ไปแล้ว” หานลี่มีสีหน้าเสียดาย
“ตระกูลกู่ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ตระกูลกู่และตระกูลเยี่ยมีความสัมพันธ์อันดีกันมาก ท่านอาวุโสหานคงไม่เจอกับตระกูลเยี่ยอย่างพวกเราในพิธี” เยี่ยอิงเอ่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลายลง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นผู้แซ่หานก็วางใจแล้ว” มุมปากของหานลี่หยักรอยยิ้มออกมาพลางพยักหน้า
หญิงสาวเอ่ยสิ่งที่ต้องการออกมาจะหมดแล้ว
แน่นอนว่าหานลี่ก็ไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อ หลังจากพูดคุยอีกสองสามประโยค ก็ขอตัวกล่าวลาอย่างมีมารยาท
หลิวชิงย่อมพาหญิงสาวมาส่งที่เขตอาคมส่งตัวพร้อมกัน
เมื่อทั้งสองเห็นเงาร่างของหานลี่หายวับไป หลิวชิงกลับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง และเอ่ยคำว่า “น่าเสียดาย” อย่างราบเรียบออกมา
“น้าหลิวหมายความว่าอย่างไร? เสียดายอันใดหรือ?” เยี่ยอิงได้ยินก็อดที่จะรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้
“แน่นอนว่าต้องเสียดายที่ท่านแม่ของเจ้าดึงคนผู้นี้เข้าตระกูลเยี่ยมิได้ มิเช่นนั้นคนผู้นี้ขึ้นมาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ได้โดยที่อายุอานามแค่นี้ หากผ่านเคราะห์มารไปได้อย่างปลอดภัย อนาคตย่อมไร้ขีดจำกัดแน่” หลิวชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดของเผ่ามนุษย์ แต่ท่านแม่ก็อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางแล้ว หากกระตุ้นโลหิตหงส์สวรรค์ก็อาจจะสู้ได้แม้กระทั่งกับระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย ยามนี้น้าหลิวเองก็เข้าร่วมตระกูลเยี่ยแล้ว หากทั้งอาวุโสหานเข้าร่วมด้วยจริงๆ ก็เป็นแค่ดอกไม้ที่ประดับอยู่บนผ้าไหมเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพิธีวิญญาณเที่ยงแท้ที่จะจัดขึ้นในอีกไม่นานหรือว่าเคราะห์มารหลังจากนั้น ตระกูลของพวกเราก็น่าจะเอาตัวรอดได้แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นอาศัยเงื่อนไขของตระกูลเยี่ย ดึงผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ก็มีโอกาสแล้ว” เยี่ยอิ่งแค่นเสียงหึ คำพูดดูเหมือนจะไม่ใส่ใจ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจอยู่เล็กๆ
“ก็อาจจะ ท่านแม่ของเจ้าให้ความสำคัญกับเขากว่าครึ่งคงมองที่พลังของเขา แต่ข้ารู้สึกแปลกๆ กับสหายหาน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เห็นตระกูลเยี่ยของพวกเจ้าอยู่ในสายตา น่าเสียดายข้าเป็นแค่ร่างแยกหุ่นเชิด หากอยู่ในร่างจริงคงจะเชิญให้อีกฝ่ายลองประลองกับข้าเพื่อทดสอบความสามารถที่แท้จริงสักหน่อย” แววตาคู่งามของหลิวชิงเปล่งประกาย แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้าออกมา
“นี่มีอันใดแปลกกัน จากวิธีของน้าหลิว ต่อให้เขามีอิทธิฤทธิ์แค่ไหนก็เป็นแค่ผู้ที่เพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ ย่อมไม่อาจสู้กับท่านน้าหลิวได้นานอยู่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นฟังจากท่านแม่กล่าว ก่อนที่ใต้เท้าจักรพรรดิวิญญาณเทียนเมี่ยวจะเพลี่ยงพล้ำ ได้มอบหุ่นเชิดที่ตั้งใจหลอมให้น้าหลิวสองสามตัว เกรงว่าอิทธิฤทธิ์ของน้าหลิวในยามนี้คงไม่ด้อยไปกว่าสามจักรพรรดิและเจ็ดราชาปีศาจสินะ” เยี่ยอิ่งกลอกตาไปมา แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“ข่าวสารของตระกูลเยี่ยเฟื่องฟูเสียจริง ผู้ที่รู้เรื่องนี้น่าจะมีแค่ไม่กี่คน คาดไม่ถึงว่าจะไปถึงหูท่านแม่ของเจ้า จุดนี้ ข้าไม่ชื่นชมมันไม่ได้จริงๆ!” หลิวชิงได้ยินคำนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี แต่ก็นึกอันใดได้ จึงทำได้เพียงสั่นศีรษะด้วยรอยยิ้มขมขื่น
หญิงสาวเม้มปากฉีกยิ้มบางๆ ออกมา
ในเวลาเดียวกันหานลี่ที่กลับมายังที่พักของตนเอง หลังออกคำสั่งกับไห่ต้าเซ่าและพวกที่กลับมารอที่ตำหนักอยู่ก่อนแล้ว ก็เข้าไปในห้องลับพลางนั่งสมาธิ
เดิมเป็นเพราะหานลี่เพิ่งพัฒนาขึ้นมาอยู่ระดับผสานอินทรีย์ จึงรู้สึกว่าควรพักการฝึกบำเพ็ญเพียรสักระยะ หลังจากรู้ว่าเคราะห์มารจะปะทุความคิดนี้ย่อมหายวับไปแล้ว
ยามนี้เขาต้องครุ่นคิดแผนการอีกสองสามร้อยปีให้หลังใหม่สักหน่อย และต้องพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเอง เพื่อไม่ให้เพลี่ยงพล้ำไปในเคราะห์มาร
ถึงอย่างไรเสียเคราะห์มารครั้งที่แล้วก็มีสามจักรพรรดิเจ็ดราชาปีศาจที่เพลี่ยงพล้ำไป และเคราะห์มารครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าจะรุนแรงกว่าครั้งก่อน!
สิ่งที่ทำให้หานลี่ยิ่งหวาดผวาก็คือ ยามที่อยู่ในแดนมนุษย์เขาเคยล่วงเกินบรรพชนหยวนซาของแดนมาร มารตนนี้แยกจิตเป็นร่างแยกลงมาที่แดนมนุษย์ และถูกอิ๋นเย่ว์กลืนกินไปเพราะเขา
ส่วนบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ในแดนมาร ก็เทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิตระดับมหายานของเผ่ามนุษย์
จากอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่าย หากถือโอกาสที่เคราะห์มารปะทุมาที่แดนวิญญาณ เกรงว่าคงจะส่งคนหรือมาหาด้วยตัวเอง
เช่นนั้นก่อนที่เคราะห์มารจะปะทุ เขาต้องเพิ่มพลังยุทธ์ขึ้นมาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายให้ได้
มีเพียงเช่นนี้เขาถึงจะอาศัยอิทธิฤทธิ์และสมบัติอาคมปกป้องตัวเองจากเคราะห์มารได้ แม้ว่าเผชิญหน้ากับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์มารโบราณ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีกำลังต่อสู้
ทว่าจะว่าไปแล้วแม้ว่าเขาจะเพิ่งพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ได้ไม่นาน แต่สองสามวันที่ไปคบค้าสมาคมกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ก็รู้ว่าความยากในการพัฒนาไปอยู่ขั้นปลายนั้นอยู่นอกเหนือกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต้นธรรมดาๆ ต้องเสียเวลาหลายพันปี หรือหลายหมื่นปี แม้กระทั่งคนส่วนใหญ่จนถึงวันที่เพลี่ยงพล้ำในเคราะห์สวรรค์ก็ไม่อาจทะลวงจุดคอขวดระดับขั้นกลางได้
ส่วนผู้ที่พัฒนามาอยู่ขั้นปลายได้ย่อมมีอยู่น้อยมาก
ต่อให้เป็นหนึ่งในสามจักรพรรดิและเจ็ดราชาปีศาจก็ยังไม่ได้มีพลังยุทธ์ระดับขั้นปลายทุกคน
ยิ่งไปกว่านั้นเวลาที่เหลือของเขาก็มีไม่มากแล้ว โชคดีที่ได้สมุนไพรวิญญาณจากแดนเซียนมาจากแดนกว้างเย็น จึงสามารถหลอมยาลูกกลอนสำหรับพัฒนาพลังยุทธ์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ได้จำนวนมาก
อย่างน้อยก็ประหยัดเวลาเมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ไปได้สองสามเท่า หากฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักไม่หยุดสักสองสามร้อยปี ก็น่าจะสะสมพลังปราณได้อย่างไม่มีปัญหา
ปัญหาเดียวก็คือการทะลวงจุดคอขวด
แม้ว่าเขาจะกินสมุนไพรวิญญาณที่ใช้ปรับพัฒนารากวิญญาณไปจำนวนมาก คุณสมบัติแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไป จึงต้องบอกว่าขอแค่เตรียมตัวมากหน่อย พยายามช่วยกระตุ้นให้ทะลวงจุดคอขวดได้
อย่างน้อยยาลูกกลอนหลอมสูญเม็ดหนึ่งและนมเทวะแม่น้ำยมโลกในมือของเขาก็เป็นสิ่งที่เฝ้ารอคอยเป็นอย่างมาก
หานลี่ขบคิดในใจเช่นนี้แล้วพลันรู้สึกผ่อนคลายลง ทันใดนั้นแววตาพลันเปล่งประกายนึกอันใดได้ พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งกำไลอสูรสีดำวงหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
หานลี่แผ่จิตสัมผัสเข้าไปในกำไล แล้วขมวดคิ้ว
เห็นเพียงหมอกสีดำจางๆ รวมตัวกันอยู่ในกำไล ด้านในมีวานรน้อยสีดำกำลังหลับอุตุอยู่
นั่นคืออสูรวิญญาณครวญ
ตอนแรกหลังจากที่อสูรตัวนี้สังหารมารเหนือฟ้าไป ก็เอาแต่หลับปุ๋ยอยู่ในกำไลอสูรวิญญาณ
มิเช่นนั้นอสูรตัวนี้สำแดงอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อออกมาต่อกรกับศัตรูในยามแรก ย่อมเป็นเครื่องมือสังหารชนิดหนึ่ง
โชคดีที่ยามนี้อยู่ห่างจากเคราะห์มารไม่นานแล้ว เขากลับไม่เชื่อว่าอสูรตัวนี้จะหลับเป็นพันปีจริงๆ
เมื่อขบคิดในใจเช่นนั้น หานลี่ก็สะบัดมือ กำไลอสูรวิญญาณสลายหายไป
ในมือกลับมีภาพหมื่นกระบี่เปล่งแสงสีทองเรืองรองปรากฏขึ้นแทน สะบัดข้อมือโยนออกไปกลางอากาศ หลังจากเปิดออกเล็กน้อยก็หยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
คาถากระบี่ที่ซ่อนอยู่ในภาพเป็นความสามารถที่น่าเหลือเชื่อชนิดหนึ่ง ตอนแรกเขาแค่เรียนรู้ไปเล็กน้อย ก็แทรกเข้าในเขตอาคมกระบี่ขดมรกต ทำให้อานุภาพของเขตอาคมกระบี่เพิ่มขึ้น
หากเรียนรู้ทุกอย่างแล้วล่ะก็ จะต้องพัฒนากำลังขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้นแน่
ถึงอย่างไรเสียในยามนี้เขาก็ได้รู้จักผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์มาไม่น้อย แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษและผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักและตระกูลต่างๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว
การคบค้าสมาธิคบกับสิ่งมีชีวิตระดับสามจักรพรรดิและเจ็ดราชาปีศาจก็ต้องใช้วาสนาถึงจะได้
โดยเฉพาะราชาปีศาจเทียนขุย แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้พบโฉมหน้าที่แท้จริง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องของอิ๋นเย่ว์ ก็รู้สึกกลัดกลุ้มและไม่สบายใจอยู่ลึกๆ
ไม่รู้ว่าเมื่ออิ๋นเย่ว์ได้ฐานะชายาปีศาจหลิงหลงกลับมาและกลับแดนวิญญาณมาหลายปีแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง
ทว่าในฐานะของชายาของราชาหมาป่าเทียนขุย กว่าครึ่งคงกลับไปอยู่ข้างกายราชาปีศาจ แม้กระทั่งอาจจะได้พบอีกฝ่ายอีกครั้งในงานหมื่นสมบัติที่ใกล้เข้ามานี้
แต่เมื่อหานลี่นึกถึงสายตาแปลกประหลาดที่หญิงสาวผู้นั้นมองตนก่อนจะจากไปนั้น ก็รู้สึกใจคอแห้งเหี่ยวไม่น้อย
เขาไม่ใช่เด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ แน่นอนว่าย่อมมองออกว่าสายตานั้นแฝงความรู้สึกอันใดอยู่
อิ๋นเย่ว์และเขาอยู่ข้างกายกันมาหลายปี และร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา หากบอกว่าเขาไม่มีความรู้สึกต่อหญิงสาวผู้นี้เลยสักนิดย่อมเป็นไปไม่ได้
แต่ปีนั้นเขาเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดจิ๊บจ๊อยคนหนึ่ง จึงเปลี่ยนแปลงอันใดไม่ได้ ยามนี้แม้ว่าจะพัฒนามาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์แล้ว เขาก็มาถึงแดนวิญญาณ แต่ผ่านไปนานขนาดนี้ยามนี้ชายาปีศาจหลิงหลงยังคงเป็นอิ๋นเย่ว์เหมือนในวันวานหรือไม่กันนะ?
หานลี่ไม่รู้ว่าเมื่อจิตสำนึกนึกถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ระดับจิตใจของตนเกิดรอยปริแตกขนาดใหญ่
ความคิดของเขาแล่นหมุนวนอยู่ในหัว ชั่วครู่ถึงได้ทำสมาธิฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติ แล้วแววตาถึงได้เปล่งประกายสีฟ้า จ้องเขม็งไปยังภาพหมื่นกระบี่ตรงหน้า
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ก็มีสีหน้าราบเรียบ จมเข้าสู่ในภวังค์ของภาพกระบี่สีทองเหล่านั้น