คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1801 ไหมแนบจิต
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1801 ไหมแนบจิต
“ไม่ต้องร้อนรน! เกิดเรื่องอันใดขึ้น อธิบายให้อาจารย์ฟังซิ” หานลี่ลืมตาขึ้น แววตาเปล่งประกายตกตะลึงขณะเอ่ย
แม้ว่างานหมื่นสมบัติจะมีมนุษย์และปีศาจปะปนกัน แต่หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นต่อหน้าทุกคน ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก
“ท่านอาจารย์ ข้าและศิษย์น้องหาท่านอาวุโสเผ่าปีศาจที่ท่านอาจารย์ตามหาพบแล้ว แต่ระหว่างทางกลับยามที่เดินผ่านมุมที่ค่อนข้างเปลี่ยว ก็เจอฮูหยินคนหนึ่ง ฮูหยินผู้นั้นแค่พิจารณาศิษย์น้องชี่หลิงจื่อสองแวบ ก็เรียกพายุประหลาดๆ ออกมา ชิงตัวศิษย์น้องไป” ไห่ต้าเซ่าเห็นท่าทางเยือกเย็นของหานลี่ก็เยือกเย็นลง แล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ฮูหยินผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร มีลักษณะพิเศษหรือไม่?” ครานี้หานลี่ประหลาดใจแล้วจริงๆ พลางเอ่ยถามด้วยแววตาเย็นชา
“ฮูหยินผู้นั้นสูงทั้งผอม เป็นหญิงชราผมยาว ใช่แล้ว หน้าผากของหน้ามีไฝสีเขียว เรือนร่างแผ่กลิ่นอายมืดมนออกมา ท่าทางน่ากลัวมาก ใช่แล้ว ก่อนจากไปฮูหยินผู้นี้ยังตบข้าที่หนึ่ง ทำให้ข้าหมดสติ ต่อมาถูกผู้บำเพ็ญเพียรอีกกลุ่มที่ผ่านทางมาปลุก ถึงได้รีบมาขอความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์” ไห่ต้าเซ่าเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ตบเจ้าทีหนึ่ง? เข้ามาให้อาจารย์ดูซิ” หานลี่ได้ยินกลับใจเต้น กวักมือเรียกไห่ต้าเซ่าขณะเอ่ย
“ขอรับ!” ไห่ต้าเซ่าได้ยินพลันตกตะลึง แต่ก็ก้าวเข้ามาโดยไม่ได้เอ่ยอันใด
“เป็นเช่นนี้นี่เอง! ช่างเป็นอุบายที่ชั่วร้ายนัก!” หานลี่แผ่จิตสัมผัสไปในร่างของไห่ต้าเซ่า ใบหน้าเผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมา
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น คว้าข้อมือของไห่ต้าเซ่าเอาไว้ จากนั้นหว่างนิ้วก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ทะลักเข้าไปในร่างของไห่ต้าเซ่า
หลังจากผ่านไปชั่วครู่เส้นไหมสีดำเส้นหนึ่งที่ถูกลำแสงสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้ก็ถูกบีบออกมาจากร่างของไห่ต้าเซ่า
เมื่อเส้นไหมสีดำเช่นนี้ออกจากร่างของไห่ต้าเซ่า ก็พยายามดิ้นรนอยู่ในลำแสงสีเขียวสุดชีวิต คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแมลงประหลาดนิรนามชนิดหนึ่ง
ไห่ต้าเซ่าเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ย่อมหน้าเขียวคล้ำ อดที่จะตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวไม่ได้
“นี่คืออันใด ฮูหยินผู้นั้นลงมือกับข้างั้นหรือ?”
“หึ นอกจากนางจะมีผู้ใดได้ แมลงนี้เรียกว่าไหมแนบจิต คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแมลงปีศาจที่หายาก ยามที่เพิ่งฟักไข่จะมีขนาดบางเท่าตะเกียบ แต่หลังจากที่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรสายควบคุมแมลงสำแดงออกมา ร่างกายกลับจะค่อยๆ บางขึ้น สุดท้ายเมื่ออยู่ในระดับที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าถึงจะเป็นความสามารถที่แท้จริง หากใช้ต่อกรกับศัตรู ก็เป็นสิ่งที่ไร้สีไร้รูปร่าง ป้องกันได้ไม่มีหมดสิ้น และหากถูกแมลงตัวนี้ทะลวงเข้ามาในร่างก็ต้องตายในยามเที่ยง ผู้ที่ถูกเจาะทะลวงจิตจะจบชีวิตในทันที และกลับหาสาเหตุได้ยาก แม้ว่าไหมแนบจิตตัวนี้จะยังหลอมไม่เสร็จสิ้น แต่ก็เสียเวลาหลอมไปอย่างน้อยสองสามร้อยปี นำมาใช้กับผู้ฝึกตนระดับกลางอย่างเจ้ามันน่าเสียดายจริงๆ!” หานลี่แค่นเสียงหึ แล้วอธิบายให้ไห่ต้าเซ่าฟัง
“ฮูหยินผู้นี้มีเจตนาใดกันแน่ ในเมื่ออยากฆ่าปิดปาก เหตุใดถึงไม่สังหารข้าเลย จะทำเรื่องหลอกลวงเช่นนี้เพื่ออันใด” ไห่ต้าเซ่ามองแมลงไหมดำในลำแสงสีเขียว พลางกลืนน้ำลายด้วยหน้าที่เปลี่ยนสี แต่ก็อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
“ก่อนที่นางจะลงมือกับเจ้า เจ้าได้เอ่ยอันใดหรือไม่?” หลังจากที่หานลี่เงียบขรึมไปเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยถามอย่างไม่มีหัวไม่มีหางออกมา
“เอ่ยอัน…อ๋อ ยามนั้นข้าเหมือนจะตะโกนว่าพวกเราพักอยู่ที่วังต้อนรับเซียน! หรือว่าเป็นเพราะประโยคนี้ เลยทำให้นางไม่กล้าลงมือจริงๆ” ไห่ต้าเซ่ากะพริบตาปริบๆ ท่าทางประหลาดใจเล็กๆ
“น่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง! ทว่านางก็ไม่กล้ายืนยันว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือไม่จึงใช้ไหมแนบจิตตัวนี้มาตรวจสอบ หากพ้นยามเที่ยงแมลงปีศาจตัวนี้ยังคงไม่ถูกกำจัด เจ้าย่อมต้องตายทันที หากเจ้ามีความสัมพันธ์กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จริง แน่นอนว่าย่อมปิดบังหูตาไม่ได้ และหากถูกขับไล่ นางก็จะสัมผัสได้และเตรียมการป้องกันได้เช่นกัน ส่วนเหตุใดไม่ลงมือ แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะหวาดกลัวผู้คุ้มกัน พวกเขาไม่ใช่แค่ของจัดแสดง หากเป็นข้อพิพาทส่วนตัวย่อมไม่ถูกซักถาม แต่หากลงมือกับผู้อื่นโจ่งแจ้ง ผู้ดูแลย่อมไม่มีทางมองอยู่เฉยๆ แน่” หานลี่มองแมลงไหมสีดำในลำแสงสีเขียว แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
ไห่ต้าเซ่าได้ยินถึงได้เข้าใจขึ้นมา
และในยามนี้เส้นไหมสีดำในลำแสงสีเขียวก็สั่นเทาอย่างรุนแรง หลังจากที่ลำแสงสีดำที่ผิวกายไหลวนโคจรไปมา คาดไม่ถึงว่าจะฝืนดีดตัวพุ่งออกมา
หานลี่ขยับมุมปาก ตะปบฝ่ามือไปกลางอากาศ พลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มลงมา
หลังจากเสียง “สวบ” ดังขึ้น ไหมสีดำพุ่งออกไปราวกับลูกธนู ชั่วครู่ก็ถูกดูดกลับมา
หานลี่ถูมือทั้งสองข้างด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เปลวเพลิงสีเงินในมือปรากฏขึ้น
ไหมแนบจิตตัวนี้หายวับไปท่ามกลางเปลวเพลิงสีเงิน
แม้ว่าแมลงปีศาจจะทนไฟ แต่จะต้านทานการเผาไหม้ของไฟชนิดนี้ได้อย่างไร
แทบจะในเวลาเดียวกันที่แมลงไหมสีดำสลายหายไป ในสันเขาบนภูเขาเล็กๆ ที่อยู่ด้านนอกภูเขาเก้าเซียน
หญิงชราเรือนผมสีดอกเลา เล็บยาวสีดำสนิทพลันตื่นจากภวังค์สมาธิ และหน้าซีดขาว กระอักโลหิตสดๆ ออกมา ดูเหมือนว่าปราณแท้จะได้รับความเสียหายไม่น้อย
“ฮูหยิน เจ้าไม่เป็นไรสินะ!”
ชายชราคิ้วดำหนาที่นั่งอยู่ด้านข้างรีบร้อนเอ่ยถามอย่างลนลาน
“ลนลานอันใด! แค่ไหมแนบจิตของข้าถูกสังหารเท่านั้น แค่นั่งสมาธิสักสองสามวันก็ไม่เป็นไรแล้ว” หญิงชรากัดฟันเอ่ยอย่างเย็นชา
“ไม่เป็นไรก็ดี!” แม้ว่าชายชราจะรู้ทั้งรู้ ไหมแนบจิตเป็นสิ่งที่ฮูหยินเลี้ยงดูมาพันปี มาถูกสังหารทิ้งเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อถูกฮูหยินชราถลึงตาใส่ กลับไม่กล้าเอ่ยอันใดราวกับหนูเห็นแมว
“ดูแล้วคำพูดของเจ้าเด็กนั้นคงจะเป็นความจริง พวกเขาเกี่ยวข้องกับตัวประหลาดเฒ่าที่วังต้อนรับเซียนจริงๆ” เมื่อเห็นชายชราไม่ปริปาก ฮูหยินกลับเอ่ยพึมพำกับตัวเอง ในเวลาเดียวกันก็มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส
“เช่นนั้นก็ปล่อยเจ้าเด็กนี้ไปเถิด ถึงอย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ หากเราไปล่วงเกินจะยุ่งยากใหญ่” ชายชราคิ้วดำเอ่ยพึมพำออกมา
“ปล่อยอันใด! เราสองคนอายุขนาดนี้ เพิ่งจะมีบุตรชาย ‘หมิงเอ๋อร์’ แค่คนเดียว ขอแค่ย้ายเคล็ดวิชาลับที่ถ่ายทอดมาจากคนผู้นั้นมาอยู่ในร่างของหมิงเอ๋อร์ ไม่เพียงจะทำให้เขาอาศัยพลังวิญญาณที่ถ่ายทอดมารักษาโรค ในเวลาเดียวกันยังได้เคล็ดวิชาลับที่ถ่ายทอดกันมา ข้าดูไข่มุกสมบัติที่ถ่ายทอดมาในร่างของเจ้าเด็กนั่นแล้ว ผิวของมันมีผนึกที่ลึกลับมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นเคล็ดวิชาถ่ายทอดที่ไม่ธรรมดา หลังจากที่หมิงเอ๋อร์ได้ไป หนทางในการฝึกบำเพ็ญเพียรก็เหนือกว่าพวกเราแล้ว และหากพลาดโอกาสนี้ ไหนเลยจะหาผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันที่มีสิ่งที่ถ่ายทอดมาได้” ” ฮูหยินชรามีสีหน้าบิดเบี้ยว แล้วเอ่ยอย่างโกรธแค้น
“แต่เบื้องหลังของเขาเป็นตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ พวกเราผู้ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาสองคน ไม่ว่าอย่างไรก็ต่อกรไม่ไหว” ชายชราคิ้วดำยังคงมีท่าทีรู้สึกผิด
“หึ เจ้าเด็กนั้นเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณ ประกอบร่างวิญญาณธรรมดาๆ คิดดูแล้วต่อให้มีความสัมพันธ์กับตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ แต่ก็ไม่มากแน่ พวกเราแค่ไปหาที่พึ่งสักคน ตัวประหลาดเฒ่าก็คงไม่มาทำอันใดพวกเราแค่เพราะศิษย์ระดับสร้างปราณคนหนึ่ง อย่างมากก็แค่มอบของมีค่าที่คุ้มค่าให้อีกฝ่ายก็พอแล้ว” หญิงชราดูเหมือนจะขบคิดตั้งนานแล้ว จึงเอ่ยอย่างเย็นชาออกมา
“ความหมายของฮูหยินขึ้นให้ไปหา…” ชายชราคิ้วดำสัมผัสอันใดได้ ก็เอ่ยถามด้วยความตกตะลึงเล็กๆ
“ใช่แล้ว! อย่าลืมล่ะ ข้าก็แซ่หล่ง บรรพชนแซ่หล่งเป็นบิดาของข้า พวกเราไปที่วังต้องรับเซียนของตระกูลหล่งกันเถิด” ฮูหยินเอ่ย
“แต่ตามกฎของตระกูลหล่ง หญิงที่แต่งออกมาแล้ว ไม่นับว่าเป็นคนตระกูลหล่ง มิเช่นนั้นใต้เท้าท่านพ่อเย่ว์คงไม่สนใจและไม่ไถ่ถามเราเลยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ฮูหยิน ข้าว่าเรื่องนี้ช่างมันเถิด” ชายชรากลับมีสติปัญญามาก พลางเอ่ยชักจูงด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“ใช่ หญิงจากตระกูลหล่งไม่อาจกระตุ้นโลหิตมังกรเที่ยงแท้ได้ ย่อมไม่ถูกให้ความสำคัญ แต่เจ้าอย่าลืมล่ะ หมิงเอ๋อร์มีโลหิตของตระกูลหล่ง และยิ่งไปกว่านั้นครั้งที่แล้วที่ข้าตรวจสอบโลหิตมังกรเที่ยงแท้ในร่างของเขา แม้ว่าจะเบาบางมาก แต่ขอแค่บอกเรื่องนี้กับพี่ใหญ่ เขาย่อมสนใจแน่” ฮูหยินกัดฟันเอ่ย
“ฮูหยิน เจ้ากับข้าไม่ได้คุยกันแล้วหรือว่าจะไม่บอกเรื่องโลหิตมังกรเที่ยงแท้ในร่างของหมิงเอ๋อร์กับตระกูลหล่งของพวกเจ้า? เจ้าเปลี่ยนใจแล้วหรือ!” ชายชราคิ้วดำได้ยินหญิงชรากล่าวเช่นนี้ ก็อดที่จะมีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมาไม่ได้
“ข้ารู้ว่าสามีอยากให้หมิงเอ๋อร์สืบทอดเพลิงหอมของตระกูลหลี่ และไม่อยากให้เขากลับตระกูลหล่ง แต่ยามนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้วมิใช่หรือ! หากไม่ใช่วิธีนี้ อายุขัยของหมิงเอ๋อร์ก็อยู่ได้แค่ไม่กี่ร้อยปี เจ้าทนได้จริงๆ หรือ?” ฮูหยินเงียบขรึมไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา
“ข้า…” ชายชราทำปากพะงาบๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา
“เอาละ เรื่องนี้ ไม่อาจเยียวยาได้ เรื่องของเจ้าเด็กนั้น อย่าเพิ่งเอ่ยกับท่านพี่ก็แล้วกัน หากตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ไม่มาหาเรื่อง ก็หมายความว่าเจ้าเด็กนั้นไม่ได้รับความสำคัญ หลังจากงานหมื่นสมบัติจบลง ก็ไปจากตระกูลหล่งอย่างเงียบๆ เถิด เช่นนั้นไม่แน่ว่าหมิงเอ๋อร์ก็ไม่จำเป็นต้องไปจากพวกเราแล้ว” ฮูหยินชราเห็นชายชรามีท่าทีโศกเศร้า ก็ทนไม่ไหวเอ่ยปลุกปลอบ
“ฮูหยินอย่าหลอกข้า หลังจากที่โลหิตมังกรเที่ยงแท้ของหมิงเอ๋อร์ถูกกระตุ้น จะปิดบังสายตาพี่ใหญ่ของเจ้าได้อย่างไร” ชายชราสั่นศีรษะขณะเอ่ย
เมื่อได้ยินชายชรากล่าวเช่นนี้ ใบหน้าของฮูหยินก็กระตุก แล้วรู้สึกหมดคำพูด
“เอาละ ทุกอย่างทำตามที่ฮูหยินกล่าวก็แล้วกัน เพื่ออนาคตของหมิงเอ๋อร์ กลับไปตระกูลหล่งก็ไป หมิงเอ๋อร์มีโลหิตมังกรเที่ยงแท้ หากอยู่ในตระกูลหล่งจะต้องแข็งแกร่งกว่าเจ้ากับข้าเป็นร้อยเท่าแน่” หลังจากที่ชายชราหน้าเปลี่ยนสีไปชั่วครู่ก็กัดฟันเอ่ยขึ้น
“การกระทำของสามีเป็นสิ่งที่ถูกแล้ว จากที่ข้ารู้มา ยามนี้โลหิตมังกรเที่ยงแท้ที่ถูกกระตุ้นในตระกูลมีไม่มากนัก หลังจากที่หมิงเอ๋อร์ไป จะต้องได้รับการให้ความสำคัญแน่” แน่นอนว่าฮูหยินชราย่อมดีอกดีใจเป็นอย่างมาก