คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1803 บุก
จากความคุ้นเคยของไห่ต้าเซ่า ไปสืบข่าวในละแวกย่านร้านค้าที่มีคนอยู่จำนวนมากไม่นานก็รู้ฐานะของผู้ที่พักอยู่ที่ชั้นเก้าของวังต้อนรับเซียนแล้ว ทันใดนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ด้วยความตกตะลึง แต่กลับไม่เผยสีหน้าแปลกประหลาดใจใดๆ ออกมา พลางรีบร้อนจากไป
“อันใด ตระกูลหล่ง!” หานลี่ที่นั่งอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่งหน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่าจะเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
“ใช่แล้ว ศิษย์ได้ยินมาชัดเจน ว่ากันว่าชั้นเก้านั้นไม่เพียงมีบรรพชนของตระกูลหล่งและอาวุโสแขกผู้มีเกียรติพักอยู่ แม้แต่ผู้นำตระกูลหล่งคนปัจจุบันรวมทั้งอาวุโสระดับหลอมสุญตาก็พักอยู่ที่นั่น” ไห่ต้าเซ่าอดที่จะเผยสีหน้ากังวลใจออกมาไม่ได้
“ยุ่งยากจริงๆ ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไร?” ไห่ต้าเซ่าพลันตกตะลึงและไม่เข้าใจ
“ปัญหาก็คืออาจารย์มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลหล่ง เดิมคิดว่าหากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ธรรมดาๆ ก็จะไปขอศิษย์น้องของเจ้าตรงๆ โดยปกติแล้วขอแค่อีกฝ่ายไม่หน้ามืดก็น่าจะไว้หน้าท่านอาจารย์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่หากเป็นตระกูลหล่งเกรงว่าจะไม่ได้” หานลี่มีน้ำเสียงเย็นชา
ไห่ต้าเซ่าได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี
“ทว่าไม่อาจไปขอตรงๆ ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีวิธีเอาตัวศิษย์น้องของเจ้ากลับมา หึๆ ถึงอย่างไรเสียก็เคยล่วงเกินไปครั้งหนึ่งแล้ว ล่วงเกินอีกสักครั้งจะเป็นอะไรไป! และยิ่งไปกว่านั้นข้าก็จะไม่ทำให้พวกเขารู้ เย่ว์เทียนเจ้ากลับที่พักไปก่อนข้าจะรีบไปรีบกลับ!” หลังจากที่หานลี่หัวเราะอย่างเย็นชาผิวก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ จากนั้นเงาร่างก็พลิ้วไหวหายวับไปจากที่เดิม
ไห่ต้าเซ่าย่อมฟังเจตนาของหานลี่ออก ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจระคนดีใจออกมา ทันใดนั้นก็ตอบรับคำพูดของหานลี่อย่างนอบน้อมโดยไม่สนใจว่าหานลี่จะยังอยู่ในบริเวณนั้นหรือไม่ แล้ววิ่งลงภูเขาไป
ระยะทางยี่สิบสามสิบลี้สำหรับหานลี่ย่อมมาถึงได้ในพริบตา
ห่างจากวังต้อนรับเซียนไปสองสามลี้ หานลี่มาปรากฏตัวกลางอากาศอย่างเงียบเชียบ
เขามองไปที่ชั้นเก้าของวังขนาดยักษ์ ในหัวกลับมีภาพเขตอาคมต้องห้ามขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น
แม้ว่าวังต้อนรับเซียนทั้งเก้าจะตั้งอยู่คนละที่แต่จากการตรวจสอบของเขา เขตอาคมต้องห้ามที่วางอยู่ก็ไม่แตกต่างกันนัก
แม้ว่าเขตอาคมเหล่านี้จะมหัศจรรย์และเข้มงวดมาก แต่สำหรับเขาที่มีอิทธิฤทธิ์หลากหลายชนิดอยากทลายเขตอาคมเข้าไปเงียบๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เขาขบคิดในใจ พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง หนังบางๆ สีเงินบางๆ ระยิบระยับปรากฏขึ้น
นั่นคือหน้ากากเปลี่ยนหน้าที่เขาได้มาจากหลิวสุ่ยเอ๋อร์ในแดนกว้างเย็น
เจ้าสิ่งนี้มหัศจรรย์มากหลังจากที่เขาผ่านป่าอสูรลับมา สตรีผู้นี้ก็ไม่มีเจตนาจะเอาของสิ่งนี้คืนยามนี้จึงได้นำออกมาใช้
หานลี่เองก็ไม่ได้พูดจาโยนหน้ากากไปด้านหน้าสะบัดข้อมืออีกครั้ง
กำไลเก็บของเปล่งแสงสีเขียววาววับ หนังอสูรสีทองที่มีขนปกคลุมถูกโยนออกมา
มือหนึ่งร่ายอาคม มือหนึ่งชี้ไปที่สองสิ่งนั้น
ชั่วขณะนั้นหน้ากากก็เคลื่อนไหวกลายเป็นลำแสงสีเงินจมหายไปในหนังอสูร
จากนั้นหนังอสูรสีทองก็หมุนคว้าง พุ่งมาหาหานลี่และเปล่งแสงสว่างวาบหายวับไป
แทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่ก็ร้องคำรามต่ำๆ ออกมาหน้าตาเปลี่ยนไป
ผิวหนังที่เดิมเรียบเนียนมีขนสีทองงอกออกมาปกคลุมใบหน้าทั้งหมดเอาไว้ ในเวลาเดียวกันดวงตาก็เปล่งแสงสีฟ้า รูม่านตาเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเข้มเต็มไปด้วยความดุร้ายที่อธิบายไม่ถูก
หานลี่ยกมือขึ้นลูบขนสีทองบนใบหน้าแล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
“หนังอสูรของวานรแขนทองใช้ดีจริงๆ เช่นนี้ก็น่าจะหลบหลีกหูตาของตระกูลหล่งได้แล้ว” ขณะเอ่ยไปพลางหานลี่ที่เปลี่ยนหน้าไปแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ผิวหนังเปล่งแสงสีดำสว่างวาบผ้าสีดำสองผืนปรากฏขึ้น
ทั้งสองหมุนวนรอบหานลี่กลายเป็นหมอกสีดำกระโจนมาหาเขา
ครู่ต่อมาร่างของหานลี่ก็รางเลือนไปในลำแสงสีดำ สุดท้ายก็หายวับไปจากกลางอากาศ
หานลี่ก้มหน้าลงมองร่างกายที่เกือบจะโปร่งแสงของตนเองอยู่ที่เดิม แล้วพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ความจริงแล้วหากใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์ประสิทธิภาพในการอำพรางกายย่อมดียิ่งกว่า
แต่หากใช้ยันต์นี้กลับไม่อาจสำแดงอิทธิฤทธิ์การทลายเขตอาคมอื่นๆ ได้ง่ายๆ จึงมีเพียงต้องล้มเลิกความคิดนี้
เมื่อขบคิดในใจเช่นนี้หานลี่ก็ลอยไปยังชั้นเก้าของวังที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาก็เข้าใกล้เป้าหมายอย่างเงียบเชียบ
ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ม่านลำแสงสีขาวปรากฏขึ้นตรงหน้าและยิ่งไปกว่านั้นบนผิวยังมีลำแสงอัสนีเปล่งประกายคาดไม่ถึงว่าประจุไฟฟ้าสองสามสายจะปรากฏขึ้น
แต่หานลี่กลับมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงยื่นมือออกมาจากแขนเสื้อกางนิ้วทั้งห้าดีดประจุไฟฟ้าสีทองออกไปเช่นกัน
เมื่อประจุสีเงินก่อตัวขึ้นยังไม่ทันส่งเสียงฟ้าร้องออกมาก็สัมผัสกับประจุไฟฟ้าสีทองแล้วหายวับไป
ส่วนหานลี่ก็มีหมอกสีเทาปกคลุมร่าง ร่างกายพลิ้วไหวคาดไม่ถึงว่าจะทะลวงผ่านไปราวกับมองไม่เห็นม่านลำแสงสีขาว
จากนั้นก็เห็นในม่านลำแสงสีขาวมีรูขนาดเท่าตัวคนปรากฏขึ้น ส่วนหานลี่กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทว่ารูนี้กลับประสานกลับเข้าหากันอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ชั่วพริบตาก็กลับมาเป็นปกติ จากนั้นม่านลำแสงสีขาวก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ผู้คุ้มกันระดับเทพแปลงสองคนที่บินออกมาจากชั้นหนึ่งของวังต้อนรับเซียนก็พุ่งออกไปกลางอากาศ
หลังจากกะพริบวาบๆ ทั้งสองคนก็มาอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น
“ระลอกคลื่นเขตต้องห้ามเมื่อครู่มาจากตรงนี้ไม่ผิดแน่ ทว่าดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอันใด!” ชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีพิจารณาสองสามแวบแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ในเมื่อไม่มีปัญหาก็คงเป็นแค่วิหคบินชนเขตอาคมเท่านั้นมิเช่นนั้นพลังที่พวกเราสัมผัสได้คงไม่เบาบางเช่นนี้” ผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งกลับเป็นชายชราร่างกายผ่ายผอมไว้เคราแพะยาว มีเขาสั้นๆ งอกออกมาจากศีรษะคู่หนึ่ง ดวงตาเล็กๆ รูปสามเหลี่ยมเปล่งประกายขณะเอ่ย
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นปีศาจผู้บำเพ็ญเพียร!
“พี่กงซุน เจ้าล้อเล่นหรือ! หากวิหคตัวหนึ่งทำให้เขตอาคมต้อนรับเซียนมีปฏิกิริยาได้จริง ปรมาจารย์ด้านเขตอาคมที่วางเขตอาคมนี้ก็คงเป็นพวกไร้ประโยชน์” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“หึๆ ต่อให้ไม่ใช่วิหคก็อาจจะเป็นอสูรวิญญาณที่หลุดออกมาจากย่านร้านค้าใกล้ๆ หรือไม่ก็เป็นท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์ท่านใดโดนเขตอาคมเข้าโดยบังเอิญ เจ้ากับข้าจะตรวจสอบอันใดได้! อีกอย่างขอพูดประโยคที่ไม่น่าฟังหน่อย ต่อให้มีคนแอบเข้าไปในวังต้อนรับเซียนก็เพราะต้องการหาเรื่องท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์สหายคิดว่าเจ้ากับข้าจะจัดการเรื่องนี้ได้หรือ?” ชายชราปีศาจผู้บำเพ็ญเพียรหัวเราะต่ำๆ ออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่อยากหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว
“อ๋อ คำพูดของสหายกงซุนก็มีเหตุผล ในเมื่อเขตอาคมไม่เสียหายพวกเราก็ไม่ต้องจริงจังมากนัก ข้าน้อยเกือบจะคิดว่าที่นี่เป็นตำหนักในของเมืองเสวียนอู่เสียแล้ว” ชายหนุ่มมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าสหายเป็นคนฉลาด ตาเฒ่ามีสุราวิญญาณชั้นดีอยู่ไหหนึ่ง เดี๋ยวจะให้สหายลองชิม” ชายชราได้ยินชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะตรวจสอบก็ฉีกยิ้มเบิกบาน
ดังนั้นหนึ่งคนหนึ่งปีศาจจึงบินลงไปด้านล่างแล้วไม่สนใจเขตอาคมอีก
……
เปลวเพลิงสีเงินถูกพ่นออกมา หลังจากหมุนวนก็ทำให้เส้นไหมลำแสงตรงหน้าหายวับไป
จากนั้นเงาร่างคนเปล่งแสงสว่างวาบร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นหน้ากำแพงของชั้นที่เก้า
มองไปยังกำแพงสีขาวบริสุทธิ์ที่อยู่ใกล้แค่คืบเห็นเพียงผิวของมันมีอักขระสีเงินขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด เผยให้เห็นความลึกลับออกมา
หานลี่มองกำแพงนี้กลับเผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมา
อักขระสีเงินเหล่านี้ไม่ใช่อักขระยันต์ธรรมดา แต่เป็นเขตอาคมด้านห้วงเวลา เคล็ดวิชาธรรมดาไม่อาจมีปฏิกิริยาตอบสนองอันใดกับกำแพงได้
แต่โชคดีที่เขามีอิทธิฤทธิ์ด้านห้วงเวลา การรุกรานเข้ามาในกำแพงจึงไม่ใช่เรื่องยาก
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว สองมือร่ายอาคมหว่างคิ้วมีลำแสงสีดำปรากฏขึ้นจากนั้นพลันหมุนวน รอยแยกสีโลหิตแยกออก ดวงตาปีศาจสีดำสนิทปรากฏขึ้น
ดวงตาปีศาจนี้ดูเหมือนจะจ้องเขม็งไปที่กำแพงตรงหน้า ชั่วขณะนั้นลำแสงสีดำก็พุ่งออกมาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีไปที่กำแพง
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น
ชั่วพริบตาที่ลำแสงสีดำสัมผัสกับอักขระสีเงินรอบกำแพงสีขาว คาดไม่ถึงว่าจะจืดจางลงและหายไป
จากนั้นหานลี่พลันร้องตะโกนออกมาเบาๆ ลำแสงสีดำที่เดิมมีขนาดเท่านิ้วมือขยายขนาดใหญ่ขึ้นหลายเท่า
ชั่วขณะนั้นกำแพงสีขาวตรงหน้าพลันสั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะมีรูกลมๆ สีดำความยาวสองสามฉื่อปรากฏขึ้น
แววตาของหานลี่ฉายแววเย็นชา ลำแสงสีดำตรงหว่างคิ้วหายวับไปกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวจมหายเข้าไปในรูทรงกลมสีดำ
ครู่ต่อมารูทรงกลมเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากกำแพงสีขาว
……
หานลี่รู้สึกเพียงว่าตรงหน้ามีแสงสีขาวเจิดจ้าปรากฏขึ้นกลางอากาศ
คาดไม่ถึงว่าเขาจะมาอยู่ในป่าแห่งหนึ่งและกำลังอยู่ใต้ต้นไม้สีเขียวขนาดยักษ์
แต่สิ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกก็คือห่างจากเขาไปไม่ถึงสามจั้งบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งและหญิงสาววัยดรุณีหน้าตางดงามคนหนึ่งกำลังใช้สายตาไม่อยากจะเชื่อมองมาที่เขา
หานลี่ย่อมมีปฏิกิริยาตอบสนองก่อน ปากก็ร้องอุทานออกมา ฉับพลันนั้นสองมือก็ขยับ
ได้ยินเพียงเสียงประหลาด “ฟึ่บๆ” สองแขนขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่าแล้วตบออกไป
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้นชั่วขณะนั้นบุรุษและสตรีคู่นี้ก็ถูกเขาตบจนล้มลงกับพื้น
ทว่าเป็นศิษย์ตระกูลหล่งระดับหลอมรวมคนหนึ่งและระดับสร้างปราณคนหนึ่ง เขากลับไม่มีเจตนาจะลงมือฆ่า แค่ใส่พลังปราณลงไปในสติสัมปชัญญะของทั้งสองทำให้สลบไป
หานลี่เองก็ไม่เกรงใจ มือข้างหนึ่งตะปบไปทางบุรุษวัยกลางคนทันที
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ศีรษะของบุรุษผู้นี้ก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา
ใบหน้าของหานลี่เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นพลันสำแดงเคล็ดวิชาค้นวิญญาณ!
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ก็ปล่อยศีรษะของบุรุษผู้นี้ออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อยแล้วตะปบไปที่หญิงสาวผู้นั้นพลางกระทำเช่นเดียวกัน
ผลคือหลังจากที่หานลี่ปล่อยหญิงสาววัยดรุณีออกก็อดที่จะเอ่ยพึมพำไม่ได้
“ชี่หลิงจื่อถูกพามาที่ตระกูลหล่งจริงๆ คาดไม่ถึงว่าฮูหยินชรานั้นจะเป็นน้องสาวของผู้นำตระกูลหล่ง! น่าเสียดายความรักในจิตสำนึกในศิษย์ตระกูลหล่งเหล่านี้ถูกปกปิดเอาไว้จึงรู้ข่าวได้ไม่มาก”