คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1805 บรรพชนสงครามวานรยักษ์
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1805 บรรพชนสงครามวานรยักษ์
ชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอมที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็ยกมือขึ้นด้วยหน้าเปลี่ยนสี ใบมีดแวววับปรากฏขึ้นในมือและสับไปที่ฝ่ามือที่มีขนสีทองอย่างแรง
เสียง “เคร้ง” ดังขึ้น!
เมื่อใบมีดยาวสับไปที่กำปั้นก็ระเบิดลำแสงสีทองเจิดจ้าออกมา
ไม่เพียงใบมีดยาวระเบิดแหลกสลายออก แม้แต่ร่างของชายหนุ่มก็ต้องล่าถอยไปสองสามก้าว อ้าปากออกกระอักโลหิตสดๆ ออกมา ร่างทั้งร่างล้มลงกับพื้นทันทีไม่อาจลุกขึ้นยืนได้อีก
“ที่นี่ถูกข้าลงอาคมเอาไว้แล้ว ต่อให้พวกเจ้าร้องตะโกนกันจนคอแตกก็ไร้ประโยชน์ พวกเจ้าช่างอาจหาญไม่น้อยทั้งๆ ที่รู้ว่านักพรตน้อยเป็นคนของข้าก็ยังไม่มีเจตนาจะปล่อยไป พวกเจ้าคิดว่าเป็นตระกูลหล่งแล้วข้าจะไม่กล้ามารับคนหรือ” เสียงบุรุษที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลันดังขึ้นในห้องอีกครั้ง น้ำเสียงเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นกลางอากาศก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาร่างสีทองสายหนึ่งปรากฏขึ้นในห้อง
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นวานรปีศาจขนสีทองสวมเกราะสงครามสีเงินความสูงประมาณสามสี่จั้ง
วานรปีศาจตัวนี้มีดวงตาสีเขียวมรกตเขี้ยวงอกออกมากลิ่นอายสัตว์ป่าแผ่ออกมาจากเรือนร่างและมีจิตสังหารสีดำวนล้อมรอบร่างกายอยู่
ช่างน่าหวาดกลัวนัก!
“ปีศาจผู้บำเพ็ญเพียร! จะเป็นไปได้อย่างไร!” ชายชราคิ้วดำเห็นวานรยักษ์ก็อดที่จะร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงไม่ได้
ฮูหยินชรากลอกตาไปมาแล้วเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“หึๆ จะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร ในเมื่อพวกเจ้ากล้ารนหาที่ตายก็อย่ามาโทษว่าข้าโหดเหี้ยม!” แววตาของวานรยักษ์ขนสีทองฉายแววโหดเหี้ยม ปากก็ส่งเสียงร้องคำรามออกมาจากนั้นฝ่ามือสีทองที่คว้าฮูหยินเอาไว้ก็เปล่งแสงสีทองดูเหมือนว่าต้องการจะบีบให้ฮูหยินตายคามือ
“ท่านอาวุโสอย่า!”
“หยุดนะ!”
ชายชราคิ้วดำและชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอมที่เพิ่งได้สติกลับมาแทบจะร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
แต่ร่างกายของทั้งสองกลับอ่อนยวบพลังปราณในร่างสับสน ไหนเลยจะเข้ามาขัดขวางได้
มองเห็นฮูหยินชราหน้าซีดขาว แววตาเต็มไปด้วยเค้าลางแห่งความตาย กลับมีเสียงราบเรียบดังออกมาจากนอกห้อง
“ข้าว่าสหายก็อาจหาญไม่น้อยเลยนะ! คาดไม่ถึงว่าจะแอบเข้ามาในที่พักของบรรพชนเพียงลำพังแล้วยังกล้าลงมือสังหารอีก”
สิ้นเสียงนั้น ก็เกิดเสียงดังขึ้นมาจากเพดานราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ จากนั้นมือใหญ่สีม่วงขนาดสองสามจั้งพร้อมกับอักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนก็แหวกเขตอาคมออกมาปรากฏขึ้นเหนือศีรษะวานรยักษ์ขนสีทอง และตะปบลงมาอย่างไม่ปรานี
“ตัวประหลาดเฒ่าหล่ง!”
วานรยักษ์ขนสีทองหน้าเปลี่ยนสีหลังจากร้องคำรามต่ำๆ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจฮูหยินชราที่อยู่ในมือ โยนนางออกไป มือสีทองขยายใหญ่ขึ้นต้านทานฝ่ามือยักษ์สีม่วงอย่างไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมา ในเวลาเดียวกันมืออีกข้างหนึ่งก็ตะปบไปที่ชี่หลิงจื่อที่แข็งทื่ออยู่กลางอากาศ
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น!
ดวงแสงขนาดยักษ์สีทองและม่วงระเบิดออกในห้อง พลังแรงกดมหาศาลฉีกกำแพงรอบด้านและเพดานออก
ท่ามกลางลำแสงเจิดจ้าชั่วพริบตานั้นพลันมีเสียงแค่นเสียงดังขึ้น
จากนั้นเงาสีทองสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากดวงแสงราวกับลูกธนู เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปในระยะร้อยจั้งเศษ
“ยังคิดจะหนี?”
เจ้าของมือยักษ์สีม่วงร้องตะโกนอย่างเย็นชา
จากนั้นลำแสงสีม่วงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเพดานหอคอยสีทองที่อยู่ไม่ไกลนักราวกับสายรุ้งไล่ตามเงาสีทองไป
ความเร็วของมันดูเหมือนจะเร็วกว่าเงาสีทองด้านหน้าสองสามส่วน
การเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่นี้ย่อมทำให้ทุกคนที่อยู่ในป้อมทยอยกันได้สติ ลำแสงหลีกหนีจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นไปจากสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ดูเหมือนว่าอยากจะมองดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่ล่าช้าไปแค่เล็กน้อย เงาสีทองและสายรุ้งสีม่วงก็พุ่งออกไปจากกำแพงเมืองจมหายเข้าไปในหมอกสีขาวรอบนอก
และยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งทั้งหมดรีบไล่ตามไปที่ขอบของม่านหมอกกลับมีเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในทะเลหมอก
จากนั้นเป็นเสียงคำรามร้องตะโกนด้วยความโกรธ พลังแรงกดสองกลุ่มพวยพุ่งออกมาจากส่วนลึกของทะเลหมอกคาดไม่ถึงว่าจะทำให้ภาพลวงตาทั้งหมดบิดเบี้ยวและมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นรางๆ
เจ้าของพลังแรงกดทั้งสองดูเหมือนจะยืนกรานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งที่อยู่ใกล้เคียงเห็นเช่นนั้นก็มองสบตากันแล้วเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
พวกเขาในยามนี้ย่อมรู้ว่าหนึ่งในคนที่อยู่ในทะเลหมอกก็คือบรรพชนตระกูลหล่งของพวกเขา ส่วนอีกคนหนึ่งคาดไม่ถึงว่าจะมีพลังไม่ด้อยไปกว่าเขา หรือว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายอีกคนหนึ่ง
หากเป็นเช่นนี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาและระดับเทพแปลงอย่างพวกเขาบุกเข้าไปในการต่อสู้จะไม่เป็นการรนหาที่ตายหรือ
ผู้นำของผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งเหล่านี้ก็คือผู้ดูแลตระกูลหล่งผู้นั้น บุรุษวัยกลางคนสวมชุดสีม่วงที่มีสีหน้าเข้มงวด
เขามองทะเลหมอกด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดมหาศาลในทะเลหมอกก็ลังเลเช่นกัน
“เหอะๆ ผู้ดูแลตระกูลหล่งต้องให้ข้าลงมือแยกสหายทั้งสองหรือไม่” เสียงสตรีไพเราะดังขึ้นด้านหลังผู้นำตระกูลหล่ง
ชายวัยกลางคนชุดสีม่วงได้ยินพลันใจหายวาบรีบหันหน้ามา
เห็นเพียงหญิงสาวสวมชุดสีเหลืองท่าทางอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีปรากฏตัวอยู่ด้านหลังและใช้สายตายิ้มๆ มองมาที่เขา
หากหานลี่อยู่ที่นี่ย่อมจำหญิงสาวผู้นี้ได้ในปราดเดียว นั่นก็คือสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวที่มีชื่อเสียงของเผ่าอาวุธวิญญาณ
“ที่แท้ก็เป็นท่านอาวุโสเชียนชิว หากท่านอาวุโสยอมลงมือช่วยจับเป็นคนผู้นั้นย่อมดียิ่ง” ชายร่างใหญ่สวมชุดสีม่วงย่อมตกตะลึง แต่ปากกับเอ่ยราวกับยินดีออกมา
“จับเป็น? นั่นเป็นไปไม่ได้ต่อให้เพิ่มข้าเข้าไปก็ทำไม่ได้และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าข้าจะมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหล่งแต่ก็ไม่อาจล่วงเกินผู้ที่มีความสามารถอีกคนในเผ่าของพวกเจ้าได้ สิ่งที่ข้าทำได้ก็มีแค่แยกพวกเขาสองคนออกจากกันเท่านั้น” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวสั่นศีรษะพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มจนตาหยี
“แยก…นั่นก็ได้ สองสามวันก่อนบิดาของข้าสูญเสียปราณแท้ไป ยามนี้ไม่ควรสู้กับศัตรู” ผู้นำตระกูลหล่งมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสแล้วกระทืบเท้าตอบรับ
“ได้ ในเมื่อผู้นำตระกูลหล่งเห็นด้วย เช่นนั้นข้า… เอ๋ ดูแล้วคงไม่ต้องให้ข้าลงมือแล้ว” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวพลันฉีกยิ้มบางๆ แต่ครู่ต่อมาแววตาที่มองไปที่ทะเลหมอกก็เคร่งขรึม
“อันใด ท่านอาวุโสหมายความว่า…” ชายวัยกลางคนชุดสีม่วงพลันตกตะลึงแต่ไม่รอให้ซักถามอย่างละเอียดก็สัมผัสได้ว่าพื้นดินรอบๆ ป้อมปราการสั่นเทาอย่างรุนแรง จากนั้นเสียงอึกทึกก็ดังออกมาจากทะเลหมอกจากนั้นเสียงกรีดร้องแหลมสูงก็ดังขึ้น
ระลอกคลื่นสีทองและม่วงสองสีทะลักออกมาจากม่านหมอกกวาดม่านหมอกไปจนเกลี้ยงและม้วนมาทางผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งทุกคน
เมื่อเห็นท่าทางน่ากลัวของระลอกคลื่นนี้ชั่วขณะนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้นภายในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่ง ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังยุทธ์ต่ำต้อยเหล่านั้นทยอยกันล่าถอยไปด้านหลังหลบอยู่ด้านหลังกำแพงเมือง
ส่วนสิ่งมีชีวิตระดับสูงอย่างระดับหลอมสุญตาก็ปล่อยสมบัติคุ้มครองตัวออกมากลายเป็นหมอกลำแสงต้านทานเอาไว้เบื้องหน้า และล่าถอยไปสองสามก้าว
มีเพียงสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวที่กวาดตามองระลอกคลื่นด้านหน้าแต่กลับยังยืนนิ่งอยู่มีแค่รอยยิ้มบนใบหน้าที่หายไป กลับกลายเป็นสีหน้าเคร่งขรึม
ยามนี้ระลอกคลื่นได้กวาดหมอกสีขาวที่อยู่ไกลออกไปจนเกลี้ยง
ครู่ต่อมาทุกคนก็มองเห็นเงาร่างของทั้งสองคนที่ลอยอยู่กลางอากาศชัดเจน
คนหนึ่งคือวานรยักษ์ขนสีทองสูงสามสิบจั้งราวกับภูเขาขนาดย่อม มือหนึ่งคว้าผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่เตรียมการพร้อมรบเอาไว้คนหนึ่ง อีกมือหนึ่งขวางอยู่ด้านหน้าท่าทางโหดเหี้ยมน่ากลัว
เงาร่างคนธรรมดาที่อยู่ตรงข้ามเขากลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนหน้าทองที่ปรากฏตัวในงานประมูลเป็นคนสุดท้าย
ยามนี้เขามีเขามังกรสีทองงอกออกมาจากศีรษะ โหนกแก้มมีเกล็ดสีทอง ในเวลาเดียวกันดวงตาทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นสีทองเรืองรอง และยิ่งไปกว่านั้นก็มีกำปั้นเปล่าๆ เช่นกัน