คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1810 นำทูตเข้าสู่ประตู
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1810 นำทูตเข้าสู่ประตู
เวลาในช่วงต่อมา นักพรตเฒ่าก็เล่าเรื่องข้อห้ามต่างๆ ของงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬให้หานลี่ฟัง
หานลี่เอาแต่พยักหน้าติดๆ กัน
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งกาน้ำชา นักพรตเฒ่าก็มองไปยังท้องฟ้าที่ครึ้มๆ ก่อนเอ่ยพลางยกยิ้ม
“ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว พวกเราทั้งคู่เข้าไปยังทางเข้าพร้อมกันเถิด ทางเข้าทุกครั้งของงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬนั้นมีไม่น้อย ที่ที่พวกเราต้องไป เดาว่าน่าจะมีแค่สี่ห้าคนอย่างมาก แต่ก่อนหน้าจะไปที่นั่น ต้องปกปิดหน้าตาเดิมเสียก่อน แต่ไม่ต้องใช้กลวิธีเลิศเลอแต่อย่างใด ระหว่างงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬมีข้อจำกัดที่ทำหน้าที่จำกัดพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว วิธีการปกปิดแบบทั่วไปก็เพียงพอที่จะปกปิดการมองเห็นของคนอื่นแล้ว ขอเพียงก่อนหน้าที่จะเข้าไป ทางที่ดีไม่ถูกนักบำเพ็ญเพียรคนอื่นจำได้ก็พอ แต่หากถูกจำได้ก็ไม่เป็นไร หลังจากเข้าไปในงานแล้วก็เปลี่ยนวิธีการบดบังก็พอ อย่างนั้นอีกฝ่ายก็ไม่มีทางจำได้ระหว่างการแลกเปลี่ยนแล้ว”
อรหันต์ว่านกู่มิเสียแรงที่เป็นคนที่เข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬมาหลายครั้งแล้ว จริงๆ คำกล่าวแนะนำเป็นพืดนั้นเอ่ยออกมาอย่างง่ายดายเสียจริง
“ขอบคุณอรหันต์ว่านกู่มากที่ชี้แนะ ผู้แซ่หานนั้นทราบแล้วว่าควรทำอย่างไร” หานลี่ยกยิ้มพลางเอ่ยตอบ และแทบจะขณะเดียวกันกับที่เอ่ยออกมา ก็เกิดแสงสีเทาปกคลุมขึ้นมาหนึ่งชั้นม้วนตัวออกมา ทำให้ทั้งร่างกายถูกปกคลุมอยู่ในนั้น
และก็เป็นแสงเทวะดูดปราณที่ถูกเขาดึงออกมานอกกาย
หากมีแสงนี้บดบังล่ะก็ ดวงจิตของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อื่นก็ยากจะมองทะลุใบหน้านี้ได้
อรหันต์ว่านกู่เมื่อเห็นใบหน้าของหานลี่อย่างนี้ ก็หัวเราะเหอะๆ ออกมา
ด้วยการบีบมือเพียงข้างเดียว มวลอากาศสีดำก็พรั่งพรูออกมาจากร่างกายของเขา และปกคลุมร่างกายของเขาไว้ด้วย
ดังนั้นต่อมา ทั้งสองได้ลุกขึ้นตามแสง พร้อมพุ่งตัวตามแสงไปยังเทือกเขา
ในเวลาเดียวกัน สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ทั้งหลายที่อยู่ท่ามกลางเทือกเขาเก้าเซียนและนักพรตลึกลับบางคน ก็จากที่พำนักไปแล้วเช่นกัน หายไปด้านนอกแนวเทือกเขา
เพียงแต่ที่ที่คนเหล่านี้ไปต่างคนละทิศทาง ไม่เหมือนกัน
หลายชั่วโมงต่อมา หลังจากที่สีท้องฟ้าสว่างเต็มที่ หานลี่และอรหันต์ว่านกู่ก็ออกไปจากเทือกเขาเก้าเซียนแล้ว
ที่นั่นก็มีคนสองคนรออยู่เงียบๆ ตรงนั้นอยู่แล้ว
คนหนึ่งที่มีประกายสีทองทั้งร่าง ร่างหมดก็เปล่งประกายจนไม่อาจมองตรงๆ ได้ อีกคนกลับร่างโปร่งแสงราวกลับควันสีเขียว ไม่ว่ามองอย่างไรก็มองอะไรได้ไม่ชัดเจนเลย
ทั้งสอง คนหนึ่งยืนทางเหนือคนหนึ่งยืนทางใต้ ต่างก็ยืนอยู่ห่างกันมาก เมื่อเห็นการมาถึงของหานลี่ ทั้งสองก็เพียงกวาดสายตามองแวบหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองนั้นไม่ได้เหมือนกับหานลี่และนักพรตเฒ่า ไม่ได้เป็นคนที่มาด้วยเจตนาเดียวกัน
หานลี่เพียงมองทั้งสองด้วยตาเปล่า ไม่ได้แผ่กระแสจิตประเมินอีกฝ่ายตามอำเภอใจ
เนื่องจากตอนมา นักพรตเฒ่าได้เอ่ยไว้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะก่อนหน้าหรือหลังจากงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬ การมีอยู่ของทั้งคนและปีศาจสองเผ่าที่เข้าร่วมการประชุมนี้ หากใช้ดวงจิตสำรวจอีกฝ่ายจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรอย่างยิ่ง
ข้อหาอย่างเบาคือมีท่าทียั่วยุ สถานหนักคือจะเปลี่ยนสีหน้าลงมือเพื่อสั่งสอน
หานลี่ไม่ได้ไม่พอใจในเงื่อนไขข้อนี้ เมื่อไม่สามารถใช้ตาเนื้อมองเห็นชัดว่าทั้งสองคือใครก็ถอนสายตากลับมาทันที
แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าสามารถที่จะมองการปกปิดของทั้งสองคนนี้ได้อย่างปรุโปร่งก็ตาม แต่อีกฝ่ายมีการบำเพ็ญวิชาความลับพิเศษ ทั้งยังอาจจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบ
เขาไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนอะไรก่อนที่จะเข้าไปยังงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬ
ดังนั้นหานลี่และอรหันต์ว่านกู่จึงหาจุดที่อยู่ในจุดได้เปรียบค่อนข้างสูง ออกไปอยู่ห่างไกล อีกสองคนนั้นก็รอคอยเงียบๆ ไม่ขยับไปไหน
สี่คนในที่นั้นล้วนปกปิดใบหน้า ผู้ใดก็ล้วนไม่มีความสนใจจะเจรจาแลกเปลี่ยนใด
เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ บรรยากาศในที่นั่นจึงประหลาดนัก นอกจากเสียงลมพัดแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นเลย
หานลี่กลับหรี่ตาลง ในใจลอบคำนวณถึงเวลาที่จะมาถึง
เหมือนเวลาจะผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ขอบฟ้าก็มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นอีกครั้ง
ต่อมาก็ปรากฏแสงประหลาดอึมครึมสีเขียวก้อนหนึ่งไม่ไกลในมุมสูง และมันสว่างแวบเดียวก็พุ่งตรงมาทางนี้
หลังจากกะพริบไม่กี่ครั้ง แสงสีเขียวก็ตกลงมาจากที่สูงราวกับอุกกาบาต แต่เมื่อมันกำลังจะกระทบพื้นอย่างแรง จู่ๆ มันก็หยุดลงและอยู่สูงจากพื้นหลายจั้งโดยไม่เกิดเสียงใดๆ
หานลี่เหลือบมองอย่างเฉยเมย เพียงเห็นร่างหนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงสีเขียว
และตำแหน่งของเงานี้ กลับอยู่ตรงกลางระหว่างหานลี่พวกเขาพอดี
เขามองทั้งสี่คนอย่างประเมิน ท่ามกลางแสงสีเขียวนั้นราวกับสามารถมองเห็นเขาแสยะยิ้มได้อย่างนั้น
หานลี่เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ก็ตกตะลึงก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา ราวกับรู้สึกว่าคนผู้นี้น่าสนใจหน่อยๆ
แต่กลับเป็นนักพรตเฒ่าที่อยู่ด้านข้าง สายตาที่มองไปยังเงาคนที่อยู่ในแสงสีเขียวนั้น ราวกับนึกถึงเรื่องใดขึ้นมาได้ หัวคิ้วเขาขมวดขึ้นเล็กน้อย
อ้างอิงจากคำกล่าวของอรหันต์ว่านกู่ เห็นได้ชัดว่าคนที่เข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬในที่แห่งนี้ มีเพียงพวกเราห้าคนเท่านั้น
กว่าครึ่งชั่วยามต่อมา จู่ๆ หานลี่ก็รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนแปลกๆ ในแขนเสื้อ จึงใช้ดวงจิตตรวจสอบโดยมือล้วงลึกลงไปสัมผัสทันที
ล้วงเอาป้ายคำสั่งสามเหลี่ยมในมือออกมาจากด้านใน
รูปร่างสีดำสนิท แต่มีแสงสีขาวจางๆ ที่ประเดี๋ยวก็มืดประเดี๋ยวก็สว่างปกคลุมอยู่ ราวกับมีสิ่งใดที่กำลังเรียกอยู่
หานลี่รู้สึกตื่นเต้นในใจ เขาเงยหน้ามองไปทางคนอื่น
เห็นเพียงไม่ว่าจะเป็นอรหันต์ว่านกู่หรือว่าอีกสามคนที่เหลือ ก็ล้วนล้วงเอาป้ายคำสั่งที่ไม่ต่างกันเลยออกมา บนนั้นก็นังมีแสงสีขาวจางๆ ขยับต่อเนื่องอยู่ด้วย
ในขณะเดียวกัน เสียงคำรามต่ำก็ดังขึ้น ออกมาจากเหนือเทือกเขา
ต่อมาเกิดคลื่นรุนแรงขึ้นในอากาศ กระเทือนขึ้นในที่เดียวกัน
ห้าคนที่อยู่ด้านล่างล้วนตกตะลึง ในขณะเดียวกันก็มองไปทางที่เกิดคลื่นขึ้น
เห็นเพียงด้านบนที่เดิมท้องฟ้าปลอดโปร่งมีวิหคโบยบิน เวลานี้มีเมฆครึ้มบดบังไปหมด
และท่ามกลางเมฆมืดครึ้มนี้ โค้งสีเงินก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ และรวมเข้าด้วยกันเป็นจังหวะริบหรี่ที่เกี่ยวพันกันเป็นก้อน
หลังจากฟ้าร้องเสียงดัง ประตูเงินขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับสายฟ้าแลบ!
ประตูนี้สูงกว่าสิบจั้ง มีพื้นผิวที่เรียบง่ายและลึกลับ และมีตัวอักษรสีเงินกลิ้งเกลือกไปมาอยู่รอบๆ
ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจเสียจริง!
ยังดีที่ทั้งห้าคนในหุบเขามิใช่การมีอยู่ทั่วๆ ไป ล้วนเป็นคนที่เจอเรื่องแปลกประหลาดมากกว่านี้มาไม่รู้เท่าไรแล้ว แต่ละคนตั้งใจจะยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ ล้วนมีสีหน้าไม่สะทกสะท้านเลย
ทันใดนั้น ประตูสีเงินขนาดมหึมาก็ส่งเสียง ภายใต้การสั่นสะเทือนของตัวอักษรที่อยู่รอบด้าน ก็พลันหยุดเคลื่อนไหวพร้อมกัน
ทันใดนั้นประตูใหญ่ก็เปิดช่องเล็ก ๆ ออกอย่างช้าๆ
ลำแสงสีดำพุ่งออกมาจากช่องประตู เงาร่างนั้นสั่นไหว นักพรตลึกลับสวมชุดคลุมสีดำคลุมทั้งตัว ปรากฏตัวออกจากประตูและลอยไปมาอยู่หน้าประตูยักษ์
บุคคลนี้ถูกห่อหุ้มด้วยอากาศสีดำแปลก ๆ และมองไปยังผู้คนด้านล่างด้วยสายตาที่เย็นชา แต่เขาไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาสักคำ
หานลี่หรี่ตาลงมองในขณะที่มองไปยังชายชุดดำ ในใจรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
ปราณในร่างกายของบุคคลนี้แปลกมาก ชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนแข็งแกร่งอย่างผิดปกติ และชั่วขณะหนึ่ง มันอ่อนแอจางหายไป ราวกับว่าปราณของเขาไม่มั่นคงอย่างนั้น
นี่คือวิชาอะไรกัน ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเจอมาก่อนเลย
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหานลี่ ขณะเดียวกันดวงจิตของเขาก็เริ่มขยับ
“ข้าคือทูตผู้ชักนำของอาณาจักรทมิฬ” คนผู้มีแสงสีทองตลอดร่างเอ่ยขึ้น ราวกับมิใช่ครั้งแรกที่เข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬนี้แล้ว เสียงเอ่ยถามกังวานราวระฆังสัมฤทธิ์
“คำสั่งชักนำพวกท่านนำมาแล้วหรือ หากนำมาแล้ว ทูตนี้จะทำการเปิดประตูชักนำ เพื่อรับพวกท่านเข้าสู่ด้านในอาณาจักรทมิฬ หากไม่มีคำสั่งชักนำแล้วประสงค์เข้าไป——สังหารเท่านั้น”
ชายชุดดำทำราวกับไม่ได้ยินคำถามของคนร่างสีทอง ในทางกลับกัน หลังจากที่แสงสีเขียวประหลาดแวบเข้ามาในดวงตาของเขา เขาก็พูดคำที่เต็มไปด้วยวิญญาณชั่วร้าย
เสียงของเขาแหลมแสบแก้วหู ทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นหญิงหรือชาย
คนร่างสีทองครางเสียงหึอย่างเย็นชา ดูเหมือนไม่พอใจกับความเย่อหยิ่งของชายเสื้อคลุมสีดำ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย
ในส่วนของหานลี่และคนอื่นๆ แน่นอนว่าไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
เมื่อชายชุดดำเห็นว่าห้าคนด้านล่างต่างก็ไม่มีข้อโต้แย้ง ก็พลิกฝ่ามือเดียวอย่างไม่เกรงใจ ในมือมีอาวุธที่รูปร่างเหมือนกับกระบองกลองที่สว่างอันหนึ่ง
เพียงพลิกฝ่ามือก็ใช้อาวุธนี้ทุบไปยังประตูใหญ่
เสียงดัง “ตึง” สนั่น ประตูสีเงินที่เดิมอ้าออกเสียงนิด ก็เปิดออกท่ามกลางเสียงครืนต่ำๆ
หานลี่มองไปด้านในประตูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เห็นเพียงด้านในของประตูยักษ์ที่เปิดออกอย่างช้าๆ ด้านในดำสนิท ไม่มีแม้แต่แสง ราวกับเป็นโลกสีดำไร้พรมแดนเลย มิเสียแรงที่ได้สมญานามว่าแดนทมิฬเลย
ขณะที่หานลี่กำลังลอบพึมพำในใจด้วยความดีใจ ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าป้ายคำสั่งชักนำในมือของเขาร้อนระอุ จากนั้นในวินาทีต่อมา ก็เกิดเสียงดัง “ปัง” ก็กลายเป็นแสงสีดำแล้วกระจายออกไป ห่อหุ้มร่างของเขาไว้
ในขณะเดียวกัน หานลี่เพียงรู้สึกว่าอากาศบีบรัด ฟังหนึ่งดันขึ้น พุ่งตัวไปทางประตูใหญ่สีเงินที่เปิดออกในท้องฟ้า
หานลี่ตกตะลึง แต่เมื่อสายตาหันกลับไป เห็นว่าอีกสี่คนที่เหลือก็ถูกแสงสีดำม้วนตัวขึ้นไปเช่นกัน ในใจก็สงบลงไม่น้อย
ในชั่วพริบตา ภายใต้สายตาอันเย็นชาของชายชุดดำ พวกเขาทั้งห้าจมเข้าไปในประตูเงินขนาดยักษ์ทีละคน
เมื่อชายชุดดำเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จึงรีบฟาดไปที่ประตูด้วยอาวุธวิเศษของเขาเองหลังจากตีสองด้านของประตูใหญ่ ก็โผเข้าไปด้านในประตู
เสียงดังก้องดังขึ้นอีก และประตูเงินขนาดยักษ์ก็ปิดลงอย่างช้าๆ ตามด้วยเสียงฟ้าร้อง และกลายเป็นคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนที่กระจัดกระจายออกไปอีกครั้ง
เมฆดำที่อยู่ใกล้เคียงหายไปในอากาศทันทีหลังจากที่คลื่นนั้นหายไป
ท้องฟ้าที่มืดมิดก่อนหน้ากลับคืนสู่ความปลอดโปร่งดังเดิมอีกครั้ง
……
ท่ามกลางแสงสีดำ หานลี่มองไปรอบ ๆ ทุกสิ่งด้วยสีหน้าที่อยากรู้อยากเห็น
หลังจากเข้าสู่ประตูเงินขนาดใหญ่ เขาและคนอื่นๆ อีกสี่คนยังคงถูกแสงสีดำล้อมรอบ และเข้าแถวเป็นแนวในความว่างเปล่าที่ลอยเคว้งอย่างเงียบๆ
ในเวลานี้ เพราะเขาอยู่ในพื้นที่ลึกลับหลังประตูใหญ่แล้ว หานลี่จึงสามารถเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘แดนทมิฬ’ ได้อย่างชัดเจน
มีทะเลหมอกสีดำที่เกิดจากอากาศสีดำทุกหนทุกแห่ง และอากาศสีดำบางส่วนไหลวนไปมา ซึ่งดูผิดปกติแบบธรรมดานั่นแหละ พลังปราณสีดำบางส่วนรุนแรงสุดแสน วนเวียนอยู่ในเมฆอย่างบ้าคลั่ง ทำลายทุกสิ่งรอบด้านอย่างบ้าคลั่ง และก่อตัวเป็นพายุ สีดำ แค่มองก็รู้ว่ามันอันตรายอย่างผิดปกติ
ที่ทำให้หานลี่ถึงขั้นต้องขยับสีหน้าเลยก็คือ ท่ามกลางมวลอากาศสีดำนั้น รับดูได้ถึงปราณสัตว์ปีศาจที่แปลกมากอย่างหนึ่งในปริมาณมากจริงๆ แต่ก็ใหญ่เกินกว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของสัตว์ปีศาจ
พวกมันซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหมอกที่อยู่ห่างไกล ท่าทางเหมือนจดจ้องตาเป็นมันมายังพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดที่ยังเกรงกลัวไม่กล้ารุกออกไป
ต่อให้เขาอยู่ไกลขนาดนี้ แต่หานลี่ก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงพลังปราณความเหี้ยมโหดที่เหล่าสัตว์ปีศาจที่ไม่อาจดูถูกได้เหล่านั้น